ในโลกนี้ หลายคนมักคิดว่าการออกไปเห็นทุกสิ่งคือหนทางสู่ความรู้ แต่เต๋าสอนว่าการหยุดนิ่งและมองให้ลึกในสิ่งที่อยู่ตรงหน้า อาจเผยความจริงที่กว้างไกลกว่าการออกเดินทาง
มีนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องหนึ่ง ที่เล่าจื๊อสอนบัณฑิตหนุ่มให้เข้าใจว่าความรู้และปัญญาแท้เกิดจากการสังเกตและพิจารณาสิ่งเล็ก ๆ รอบตัว โดยไม่ต้องออกไปไกล กับนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องมองไกลโดยไม่ออกเดิน

เนื้อเรื่องนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องมองไกลโดยไม่ออกเดิน
ข้าย้อนนึกถึงเมื่อครั้งข้ายังเป็นบัณฑิตหนุ่ม ใจของข้าเต็มไปด้วยสมุดแผ่นคำถามและแผนที่ จะออกไปดูให้ทั่วจักรวาลเหมือนดวงตาที่ไล่จับแสง
ทุกครั้งที่อ่านคัมภีร์ ข้ารู้สึกว่าความจริงยังซ่อนอยู่ไกลออกไปอีกเสมอ รู้สึกว่าการเห็นด้วยตา จะทำให้ชื่อของสิ่งต่าง ๆ แน่นอนขึ้น และความรู้นั้นจะหนาแน่นมีน้ำหนักกว่าคำพูดบนกระดาษ
ด้วยความคิดเช่นนั้น ข้าจึงเดินทางจากเมือง ผ่านทุ่ง ผ่านลำน้ำ จนมาถึงวัดป่าเล็ก ๆ ที่กุฏิหนึ่งตั้งใต้ร่มไทร ใบไม้ทอดเงาจนลานหินดูเปียกชื้น เสียงแมลงคำรามอู้ ๆ เสียงธูปคละกลิ่นคลุกอยู่กับควันเตา
เมื่อเห็นพระผู้เฒ่านั่งสงบอยู่หน้ากุฏิ ข้ากราบแล้วพูดตรง ๆ ด้วยความแน่วแน่ว่า “หลวงพ่อ ข้าปรารถนาจะเข้าใจฟ้าแผ่นดิน หากต้องการรู้จักโลกให้ลึก ข้าจะต้องออกเดินทางไกลไปไหนไหม?”
พระผู้เฒ่ายกสายตาขึ้นมองข้า ริมฝีปากท่านคลี่ยิ้มบาง ๆ “บัณฑิตเอ๋ย หากเจ้าเอาแต่ก้าวไปข้างนอก เจ้าก็เพียงวิ่งไล่ตามเงา แท้จริงแล้ว ความจริงไม่ได้อยู่ที่ไกลห่าง แต่ซ่อนอยู่ในสิ่งตรงหน้า”
ข้าส่ายหน้าเบา ๆ แล้วหัวเราะในใจ “ไม่ออกไปเห็นด้วยตา จะรู้ได้อย่างไร? ถ้าไม่ได้ยินเสียงต่างเมือง จะเข้าใจโลกได้จริงหรือ?”
พระผู้เฒ่าเพียงวางสายตาอย่างอ่อนโยน ไม่โต้ตอบทันที ท่านหันไปตักน้ำร้อนจากหม้อดิน เทชาลงถ้วย กลิ่นหอมลอยขึ้นอย่างสงบ ควันบาง ๆ คล้ายจะบอกบางสิ่งโดยไม่ต้องใช้คำพูด
เมื่อยกถ้วยวางตรงหน้า ข้าจึงได้ยินท่านเอ่ยช้า ๆ “พรุ่งนี้เช้ามานั่งที่นี่อีกครั้ง เจ้าจะได้คำตอบจากสิ่งที่เห็นเอง”
รุ่งอรุณวันถัดมา หมอกขาวยังคลุมพื้นหญ้า เสียงนกก้องจากพงไม้ พระผู้เฒ่าพาข้ามานั่งบนลานหินใต้ต้นไทรเหมือนวันก่อน
ท่านชี้ไปที่หยดน้ำค้างเล็ก ๆ บนใบหญ้าแล้วว่า “ลองมองดู หยดใสเล็ก ๆ นี้บรรจุทั้งแสงตะวัน เมฆ และเงาไม้ หากเจ้ามองลึก สิ่งเล็กน้อยย่อมเผยความจริงของสิ่งใหญ่”
ข้าเพ่งมองไป เห็นเมฆขาวสะท้อนอยู่จริง ๆ ภายในหยดน้ำค้างเล็กนั้น เห็นเส้นใบหญ้าและแสงสว่างแวววับราวกับโลกทั้งใบรวมอยู่ตรงหน้า
ข้าหันไปถามอย่างไม่แน่ใจ “เพียงหยดเดียวนี้ จะเทียบได้กับทั้งฟ้าและแผ่นดินหรือ?”
พระผู้เฒ่ายิ้มอ่อน “เจ้าอยากเข้าใจโลกหรือเพียงสะสมภาพในหัว? สิ่งเล็กย่อมบอกถึงสิ่งใหญ่ มดที่ขยันเดินหาอาหารสอนเราเรื่องระเบียบได้ไม่ต่างจากเมืองใหญ่ที่จัดการบ้านเมือง กล้วยไม้เล็กในซอกหินก็สอนเราความงดงามไม่แพ้ทุ่งดอกไม้กว้างใหญ่”
ท่านหยุดแล้วเอ่ยต่ออย่างเรียบง่าย “ยิ่งเจ้าเดินออกไปไกล ใจเจ้าก็ยิ่งฟุ้งซ่านไปตามสิ่งที่พบ แต่หากหยุดและมองให้ลึก เจ้าจะเข้าใจได้มากกว่าที่ดวงตาจะพาไปเห็น”
ถ้อยคำนั้นทำให้ข้านิ่งไป ราวกับมีบางสิ่งผลักความเชื่อเดิมออกจากใจ ข้าเริ่มเขียนบันทึกเล็ก ๆ ลงบนกระดาษ ไม่ใช่บันทึกเส้นทางใหม่ แต่เป็นสิ่งที่เห็นตรงหน้า ใบไม้ร่วงหนึ่งใบ เสียงลมหนึ่งครา หรือหยดน้ำค้างเพียงหยดเดียว
ตอนนั้นเอง ข้ารู้สึกเหมือนประตูความเข้าใจถูกเปิดทีละน้อย…

วันเวลาผ่านไป ข้ายังคงนั่งกับพระผู้เฒ่า แม้บางครั้งท่านไม่พูดอะไร ข้าก็เรียนรู้จากทุกสิ่งรอบตัว เสียงลมพัดใบไผ่ เสียงน้ำไหล และแม้แต่การร่วงหล่นของดอกไม้หนึ่งดอก
วันหนึ่ง ข้าถามตรง ๆ ด้วยความสงสัย “หลวงพ่อ โลกกว้างใหญ่เกินกว่าที่ตาเห็น ข้าจะเข้าใจได้อย่างไร หากไม่ออกไปเผชิญ?”
ท่านมองข้าด้วยสายตาอ่อนโยน แล้วหยิบก้อนกรวดขึ้นจากพื้น “เจ้าดูให้ดี ก้อนกรวดเล็ก ๆ นี้บอกเล่าเรื่องราวของภูเขาและสายน้ำ หากเจ้าศึกษาเพียงสิ่งใหญ่โดยไม่ลงลึก ข้ากลัวเจ้าจะไม่เห็นอะไรเลย การเรียนรู้เกิดขึ้นจากการหยั่งเข้าไปในสิ่งที่อยู่ตรงหน้า และเข้าใจชีวิตอย่างแท้จริง”
ข้าเริ่มเข้าใจว่า สิ่งสำคัญไม่ใช่การออกไปเห็นโลกภายนอก แต่คือการลงไปสู่สิ่งเล็ก ๆ รอบตัวและชีวิตของตนเองอย่างเต็มความหมาย
เมื่อข้ากลับสู่กุฏิและชีวิตประจำวัน ข้าลองทำตามคำสอน หยุดนิ่ง มองรอบตัว และพิจารณาสิ่งเล็กให้ลึกที่สุด
ข้าพบว่า เสียงลมหนึ่งกระแสสอนเรื่องการเปลี่ยนแปลง ดอกไม้หนึ่งดอกสอนเรื่องเวลา และความเงียบของค่ำคืนสอนเรื่องความสมบูรณ์ของความว่าง ข้าเริ่มเข้าใจภารกิจของชีวิต ว่าหากข้าต้องการเรียนรู้จริง ๆ ข้าต้องลงไปให้ลึกที่สุดในสิ่งที่ข้าทำและเป็นอยู่
และด้วยการหยั่งเข้าใจชีวิตเช่นนี้ ข้าสามารถเรียกสิ่งต่าง ๆ ได้ถูกต้อง โดยไม่ต้องเห็นด้วยตา ทำให้สิ่งที่ควรสำเร็จบรรลุลง โดยไม่ต้องเร่งรีบ
คำสอนนั้นของพระผู้เฒ่าและประสบการณ์ของข้า กลายเป็นถ้อยคำหนึ่งของเต้าเต๋อจิงของข้าที่จะส่งต่อให้กับผู้คน
“โดยไม่ต้องก้าวพ้นประตูบ้าน ก็เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นทั่วฟ้าแผ่นดิน
โดยไม่ต้องมองออกจากหน้าต่าง ก็เห็นหนทางแห่งสวรรค์
ยิ่งเดินออกไปไกลเท่าไร กลับรู้น้อยลง”
และข้าก็เข้าใจแล้วว่าภารกิจของชีวิตคือการลงลึก ไม่ใช่การไปให้ไกล

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… การเรียนรู้และปัญญาแท้ไม่ได้อยู่ที่การออกไปไกล แต่เกิดจากการหยุดนิ่ง สังเกตรอบตัว และลงลึกสู่สิ่งที่มีอยู่ตรงหน้า ความเข้าใจโลกและชีวิตเกิดจากการเห็นรายละเอียดเล็ก ๆ และพิจารณาสิ่งเหล่านั้นด้วยใจสงบ นี่คือแก่นของการมองไกลโดยไม่ต้องออกเดิน
ในเรื่อง เล่าจื๊อสมัยเป็นบัณฑิตหนุ่มได้เรียนรู้จากพระผู้เฒ่าที่วัดป่า โดยมองหยดน้ำค้าง ใบไม้ และสิ่งเล็ก ๆ รอบตัว ทำให้เขาตระหนักว่าความรู้และปัญญาแท้เกิดจากการมองให้ลึก เข้าใจความสัมพันธ์และภารกิจของชีวิต ไม่ใช่การสะสมภาพของโลกภายนอกเพียงอย่างเดียว
อ่านต่อ: นิทานเต้าเต๋อจิงแฝงข้อคิดดี ๆ และปรัชญาชีวิตสุดลึกซึ้งในวิถีเต๋าของเล่าจื๊อ
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องมองไกลโดยไม่ออกเดิน (อังกฤษ: Surveying What is Far-Off) นิทานเรื่องนี้มาจากคัมภีร์เต้าเต๋อจิงบทที่ 47 ซึ่งกล่าวถึงการ “การมองไกลโดยไม่ต้องออกไป” อันเป็นแก่นแท้ของวิถีเต๋า การหยุดนิ่ง สังเกตรอบตัว และเข้าใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ถือเป็นหนทางแห่งปัญญาที่แท้จริง เพราะยิ่งออกไปไกลก็ยิ่งไม่เห็นความจริง แต่การมองลึกจากที่อยู่ตรงหน้าจะเผยให้เห็นความสัมพันธ์และความสมดุลของสรรพสิ่ง โดยเล่าจื๊อได้บันทึกไว้ว่า:
มองไกลโดยไม่ต้องออกไป
โดยไม่ต้องก้าวพ้นประตูบ้าน ท่านก็เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นทั่วฟ้าแผ่นดิน
โดยไม่ต้องมองออกจากหน้าต่าง ท่านก็เห็นหนทางแห่งสวรรค์
ยิ่งเดินออกไปไกลเท่าไร ท่านกลับยิ่งรู้น้อยลงเพราะเหตุนี้เอง บัณฑิตผู้รู้จึงได้ความเข้าใจโดยไม่ต้องเดินทาง
สามารถเรียกสิ่งต่าง ๆ ได้ถูกต้อง โดยไม่ต้องเห็นด้วยตา
และทำให้สิ่งที่ควรสำเร็จบรรลุลง โดยไม่ต้องเร่งรัด
โดยเล่าจื๊อสอนว่า ผู้ที่เข้าใจหลักนี้ย่อมสามารถเรียนรู้ได้กว้างไกลแม้ไม่ต้องเคลื่อนกายออกไป เข้าใจความจริงของชีวิตโดยไม่วุ่นวายไปกับโลกภายนอก รู้จักพิจารณา ลงลึก และทำหน้าที่ของตนอย่างเต็มความหมาย จนสามารถเข้าถึงความสงบและปัญญาอันแท้จริงอย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่เร่งรัด ซึ่งเป็นหนทางสู่ความสมบูรณ์ของชีวิตและการอยู่ร่วมกับเต๋าอย่างแท้จริง
นิทานเรื่องนี้จึงถูกแต่งขึ้นเพื่อสะท้อนคำสอนในบทดังกล่าว โดยเปรียบการมองสิ่งเล็ก ๆ รอบตัวของบัณฑิตกับการเข้าใจโลกทั้งผืน แม้โลกภายนอกจะกว้างใหญ่ แต่ความรู้และปัญญาแท้เกิดจากการหยั่งลึกลงไปในชีวิตและสิ่งที่อยู่ตรงหน้า นี่คือหัวใจของ “มองไกลโดยไม่ต้องออกไป” ที่เล่าจื๊ออยากให้ผู้คนได้ตระหนักและเรียนรู้
คติธรรม: “ยิ่งใจสงบ ยิ่งเห็นชัด สิ่งที่อยู่ใกล้ชิดก็เผยความจริงของโลกทั้งใบ”

