ในโลกของคำเล่าเรื่อง ทุกถ้อยคำสามารถสะกดใจผู้ฟังได้ แต่ไม่ใช่ทุกคำที่มาจากความเข้าใจที่แท้จริง
มีนิทานเซนเรื่องหนึ่งพาเราย้อนสู่เสียงที่เคยอบอุ่นที่สุดในชีวิต เสียงที่ไม่ได้เล่าด้วยฝีมือ แต่เล่าด้วยหัวใจ และการเดินทางอันยาวนานเพื่อเข้าถึงสิ่งนั้นอีกครั้ง กับนิทานเซนเรื่องนักเล่าเรื่องแห่งวิถีเซน

เนื้อเรื่องนิทานเซนเรื่องนักเล่าเรื่องแห่งวิถีเซน
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เอนโชเป็นนักเล่าเรื่องชื่อดังที่สุดคนหนึ่งของญี่ปุ่น ไม่ว่าเขาจะเล่าเรื่องรักหรือสงคราม ผู้ฟังมักน้ำตาไหลหรือหัวเราะได้ตามใจของเขา
เสียงของเอนโชมีพลังดึงคนเข้าไปในโลกของนิทานได้อย่างน่าอัศจรรย์ ยามเขาเล่าเรื่องรบ คนฟังแทบจะได้ยินเสียงดาบกระทบกัน ยามเขาเล่าเรื่องรัก หัวใจของผู้ฟังแทบสั่นสะท้านไปกับตัวละคร
วันหนึ่ง เอนโชได้พบกับชายคนหนึ่งนามว่า ยะมาโอกะ เทสชู ฆราวาสผู้ใกล้บรรลุในวิถีแห่งเซน เขาทอดสายตานิ่ง ๆ มองเอนโช แล้วกล่าวว่า
“ข้าได้ยินมาว่า ท่านคือยอดนักเล่าเรื่องของแผ่นดิน สามารถทำให้คนหัวเราะหรือร้องไห้ได้ดั่งใจ ท่านจะเล่าเรื่องโปรดของข้าให้ฟังได้ไหม?”
“เรื่องอะไรหรือ?” เอนโชถาม
“นิทานเรื่องเด็กชายลูกท้อ” ยะมาโอกะตอบเบา ๆ “ตอนข้ายังเล็ก แม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ฟังเสมอ ข้ามักจะหลับไปก่อนจะฟังจบ ท่านช่วยเล่าให้ข้า… เหมือนที่แม่ข้าเคยเล่าได้ไหม?”
เอนโชชะงักไปทันที ไม่มีใครเคยขออะไรแบบนี้กับเขามาก่อน
เขาไม่กล้าลองแม้แต่จะเริ่ม จึงขอเวลาศึกษาและฝึกฝนเพิ่มเติม เขาคิดว่าไม่นานก็คงเล่าได้แบบที่ยะมาโอกะต้องการ
หลายเดือนต่อมา เอนโชกลับมาหายะมาโอกะอีกครั้ง “โปรดให้ข้ามีโอกาสเล่าให้ท่านฟังเถิด”
แต่ยะมาโอกะกลับตอบเพียง “วันหลังเถอะ”
เอนโชกลับไปฝึกฝนต่ออีก แล้วกลับมาขออีกครั้ง ยะมาโอกะก็ยังส่ายหน้า “ยังไม่เหมือนแม่ของข้า”
เขาปฏิเสธเช่นนี้ทุกครั้ง แม้เอนโชจะพูดแค่ประโยคแรก ยะมาโอกะก็บอกให้หยุด “ไม่ใช่ ยังไม่ใช่”

เวลาผ่านไป ปีแล้วปีเล่า เอนโชไม่ยอมแพ้ เขาฝึกฝนไม่ใช่เพียงเรื่องเสียงหรือจังหวะ แต่กลับไปทบทวนความรู้สึกของเด็กที่นอนข้างแม่ ความอบอุ่น ความนิ่ง และความจริงใจที่ไม่อาจแสดงได้ด้วยศิลปะเพียงอย่างเดียว
เขาเริ่มเข้าใจว่า สิ่งที่ยะมาโอกะต้องการฟัง ไม่ใช่เสียงเล่าเรื่องที่ไพเราะที่สุด แต่คือ “หัวใจ” ที่เล่าเรื่องนั้นด้วยความรักและความว่างบริสุทธิ์
จนในปีที่ห้า เอนโชจึงกลับมาอีกครั้ง ก้มศีรษะเบื้องหน้ายะมาโอกะ แล้วกล่าวเบา ๆ “ครั้งนี้ ข้าขอเล่าเรื่องให้ท่านฟัง ไม่ใช่ด้วยเสียงของข้า… แต่ด้วยหัวใจของแม่ท่าน”
เอนโชเริ่มเล่าเรื่องเด็กชายลูกท้อด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย ไม่มีเทคนิค ไม่มีการแสดงที่หวือหวา
เพียงแค่เล่า… ด้วยความอ่อนโยนและความเข้าใจที่แฝงอยู่ในทุกถ้อยคำ “มีชายชราและหญิงชราสองคน พวกเขาไม่มีบุตร วันหนึ่ง หญิงชราเก็บลูกท้อใบโตจากแม่น้ำ…”
น้ำเสียงของเอนโชช้าลงในบางประโยค คล้ายจะปล่อยให้ความทรงจำของคนฟังทำงานต่อเอง เขาไม่เร่ง ไม่ขับเน้น ไม่มีจังหวะเร้าอารมณ์ มีเพียงความสงบที่ไหลรินอยู่ในเสียงนั้น เหมือนมือแม่ที่ลูบหลังลูกเบา ๆ จนหลับ
ยะมาโอกะหลับตาลงช้า ๆ ฟังอย่างเงียบงัน ราวกับเขากำลังได้ฟังเสียงจากอดีต เสียงของมารดาผู้จากไป
เมื่อเอนโชจบเรื่อง เขาเงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะได้ยินยะมาโอกะเอ่ยเบา ๆ “ขอบคุณ… ครั้งนี้ เจ้าเล่าได้เหมือนแม่ข้าจริง ๆ”
ในความนิ่งนั้น เซนได้ถ่ายทอดสู่เอนโช ไม่ผ่านบทเทศนา ไม่ผ่านตำรา แต่ผ่านเรื่องเล่า และหัวใจที่แท้จริงในการฟัง

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… การสื่อสารที่ลึกที่สุด ไม่ได้เกิดจากฝีมือหรือเทคนิคอันล้ำเลิศ แต่เกิดจากความจริงใจ ความนิ่ง และหัวใจที่ไร้ความปรุงแต่ง
เอนโชผู้มากฝีมือใช้เวลา 5 ปี ไม่ใช่เพื่อเล่าเรื่องให้ไพเราะกว่าเดิม แต่เพื่อเข้าถึง “ความรู้สึกเดิม” ที่ไม่มีอะไรต้องพิสูจน์ เหมือนมารดาที่เล่านิทานให้ลูกน้อยฟังก่อนนอน ไม่ใช่เพื่อสร้างความประทับใจ แต่เพราะมีรักบริสุทธิ์อยู่ในทุกคำ
สิ่งที่ทำให้เขาเปลี่ยนผ่าน ไม่ใช่เพียงความเข้าใจ แต่คือความอดทนต่อความไม่สมบูรณ์ของตนเอง ความพยายามที่ไม่ล้มเลิกกลางทาง การฝึกฝนที่ต่อเนื่องแม้ไม่มีคำชม และวินัยที่รักษาไว้แม้ไม่มีผู้สังเกตเห็น
เซนจึงไม่ได้อยู่ในความสามารถ แต่อยู่ในความว่าง ที่เต็มไปด้วยความหมาย โดยไม่จำเป็นต้องอธิบายเลยแม้แต่น้อย
อ่านต่อ: เรียนรู้ธรรมะวิถีเซนสอนชีวิต, การปล่อยวาง, และความสงบผ่านนิทานเซนสั้น ๆ สนุก ๆ และเต็มไปด้วยข้อคิดดี ๆ
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานเซนเรื่องนักเล่าเรื่องแห่งวิถีเซน (อังกฤษ: Storyteller’s Zen) มีต้นกำเนิดจากคัมภีร์รวมเรื่องเล่าเซนในชื่อ Zen Flesh, Zen Bones ซึ่งรวบรวมโดย Paul Reps และ Nyogen Senzaki หนังสือเล่มนี้ได้นำเกร็ดเซนโบราณจากจีนและญี่ปุ่นมาร้อยเรียงใหม่อย่างเรียบง่าย แต่ลึกซึ้ง
ตัวละครในเรื่องอย่างเอนโช (Encho) มีต้นแบบมาจากนักเล่าเรื่องผู้มีชื่อเสียงในยุคเมจิ ส่วนยะมาโอกะ เทสชู (Yamaoka Tesshū) นั้นเป็นบุคคลที่มีอยู่จริง เป็นนักดาบ ผู้มีบทบาททางทหารและจิตวิญญาณในสมัยนั้น และเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ฝึกเซนอย่างเข้มข้นจนแทบเป็นอาจารย์
เรื่องนี้สะท้อนวิธีสอนของเซน ที่ไม่ได้เน้นการสั่งสอนตรง ๆ แต่ใช้ชีวิตประจำวัน บทสนทนา และแม้กระทั่งการเลื่อนนัดซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็น “แบบฝึก” ที่ผลักดันให้ผู้เรียนกลับมาดูตนเองอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น จนเกิดการเปลี่ยนแปลงจากภายในอย่างแท้จริง
คติธรรม: “เสียงของหัวใจ ไม่ต้องเปล่งดัง แต่ต้องจริง ความเข้าใจที่ลึกที่สุด มักเกิดจากความเงียบที่ฝึกฝนมาอย่างยาวนาน”