ปกนิทานเซนเรื่องมิโซะเปรี้ยว

นิทานเซนเรื่องมิโซะเปรี้ยว

ในชีวิตประจำวัน เราอาจเคยมีเจตนาดีต่อใครบางคน อยากให้เขาได้รับสิ่งที่ดีที่สุด แต่ในบางครั้ง ความปรารถนาดีนั้นอาจกลายเป็นการยกตนหรือทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำโดยไม่รู้ตัว

มีนิทานเซนเรื่องหนึ่งที่ถ่ายทอดบทเรียนนี้ไว้อย่างงดงาม ผ่านเหตุการณ์ระหว่างพระอาจารย์เซนกับศิษย์ผู้ตั้งใจจะดูแลท่านอย่างดีที่สุด แต่กลับได้รับคำสอนที่คมชัดจนกลายเป็นบทเรียนที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น กับนิทานเซนเรื่องมิโซะเปรี้ยว

ภาพประกอบนิทานเซนเรื่องมิโซะเปรี้ยว

เนื้อเรื่องนิทานเซนเรื่องมิโซะเปรี้ยว

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ที่วัดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น ซึ่งตั้งอยู่กลางหุบเขาเงียบสงบ มีพระอาจารย์ชื่อบังเคอิ โยตาคุ ผู้ได้รับความเคารพอย่างสูงจากทั้งพระภิกษุและชาวบ้าน ด้วยความเรียบง่าย สมถะ และใจเมตตาของท่าน

ในวัดนี้มีพระหนุ่มนามว่าไดเรียว เป็นผู้ดูแลโรงครัว เขาเป็นคนขยัน ตั้งใจ และเคารพอาจารย์เป็นอย่างยิ่ง จนยึดถือว่าหน้าที่ของตนคือการดูแลสุขภาพของท่านอาจารย์ให้ดีที่สุด โดยเฉพาะเรื่องอาหาร

วันหนึ่ง ขณะเตรียมอาหารมื้อเช้า ไดเรียวสังเกตว่ามิโซะบางถังที่หมักไว้เริ่มเปรี้ยวขึ้นตามธรรมชาติของการหมักนานวัน เขาจึงตั้งใจแยกมิโซะถังที่ยังสดใหม่ไว้ใช้ปรุงให้อาจารย์บังเคอิโดยเฉพาะ ส่วนพระรูปอื่นในวัดก็ยังคงได้มิโซะที่เปรี้ยวบ้างตามปกติ

เมื่อถึงเวลาอาหาร ไดเรียวตักซุปมิโซะที่หอมสดใหม่ใส่ถ้วยของอาจารย์ด้วยความภาคภูมิใจ คิดว่าได้ทำสิ่งดีงามแล้ว

หลังจากฉันอาหารเสร็จ อาจารย์บังเคอิวางถ้วยเบา ๆ แล้วหันไปถามพระลูกวัดรูปหนึ่งว่า “วันนี้ใครเป็นคนดูแลครัว?”

พระลูกวัดตอบว่า “ไดเรียวขอรับ”

ไม่นาน ไดเรียวถูกเรียกเข้าไปเฝ้าอาจารย์ ท่านมองหน้าเขานิ่ง ๆ ก่อนจะถามด้วยเสียงเรียบ
“ทำไมข้าถึงได้กินมิโซะไม่เหมือนคนอื่น?”

ไดเรียวตอบอย่างมั่นใจ “เพราะข้าอยากให้อาจารย์ได้ของดีที่สุด อาจารย์อายุมากแล้ว หากกินมิโซะเปรี้ยวอาจไม่ดีต่อสุขภาพ ข้าจึงตั้งใจเลือกมิโซะสดสำหรับท่านโดยเฉพาะ”

บังเคอิพยักหน้าช้า ๆ แล้วกล่าวว่า “เช่นนั้น เจ้าเห็นว่าเราควรจะแตกต่างกัน… เจ้าคิดว่าหากข้าไม่กินอาหารเช่นเดียวกับทุกคน ข้าควรไม่กินอะไรเลย ใช่หรือไม่?”

สิ้นประโยค ท่านอาจารย์ลุกขึ้นอย่างสงบ เดินเข้าห้องของตนเองโดยไม่พูดอะไรอีก แล้วปิดประตูลงอย่างแน่นหนา ไม่ออกมาฉันอาหารอีกเลยในวันนั้น

ไดเรียวยืนอยู่หน้าห้องเงียบ ๆ ใจเต็มไปด้วยความสับสนและสำนึกผิด เขาเริ่มเข้าใจบางสิ่งในคำพูดของอาจารย์ที่ไม่ใช่เพียงเรื่องอาหาร แต่เป็นเรื่อง “จิตใจ” ที่เสมอกันต่างหาก

ภาพประกอบนิทานเซนเรื่องมิโซะเปรี้ยว 2

สามวันผ่านไป… สี่วันผ่านไป… อาจารย์บังเคอิยังคงไม่เปิดประตูออกมาฉันอาหาร ไดเรียวนั่งเฝ้าอยู่หน้าห้องทุกวันไม่ไปไหน เขาไม่ยอมรับอาหารใด ๆ จากพระลูกวัดคนอื่นเช่นกัน ด้วยความรู้สึกผิดที่ตัดสินใจผิดพลาด

พระลูกวัดหลายรูปเริ่มเป็นห่วง ทั้งอาจารย์ ทั้งไดเรียว ต่างไม่แตะอาหารเลย

ในวันที่เจ็ด ไดเรียวนั่งเงียบอยู่ที่เดิม ดวงตาอ่อนแรง ใจสั่นไหว ด้วยทั้งหิว ทั้งรู้สึกผิดจนแทบจะหลั่งน้ำตา

ทันใดนั้น พระอาวุโสรูปหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ห้องของบังเคอิ แล้วตะโกนเสียงดัง “อาจารย์! ท่านอาจจะอดอาหารได้ แต่ศิษย์หนุ่มคนนี้ต้องกิน เขาอดอาหารไม่ได้ตลอดไป ศิษย์ของท่านคนนี้จะตายเพราะความผิดเพียงครั้งเดียวเช่นนั้นหรือ?”

เสียงนั้นสะท้อนก้องไปทั่ววิหารที่เงียบสงบ

ประตูไม้ของห้องอาจารย์เปิดออกช้า ๆ พร้อมกับกลิ่นหอมของไม้เก่า บังเคอิยืนอยู่ที่ธรณีประตู ดวงตาเปี่ยมเมตตา ริมฝีปากคลี่ยิ้มเบา ๆ

ท่านเอ่ยกับไดเรียวว่า “ข้าดีใจที่เจ้าใส่ใจข้า… แต่จำไว้นะ หากวันหนึ่งเจ้ากลายเป็นอาจารย์ จงอย่าแยกตนเองออกจากผู้อื่น แม้แต่ในสิ่งเล็กน้อยอย่างถ้วยซุปมิโซะ”

ไดเรียวค้อมศีรษะลง น้ำตาแห่งความสำนึกไหลเงียบ ๆ ขณะกล่าวเสียงเบา “ข้าขอโทษ อาจารย์”

จากวันนั้นเป็นต้นมา ไดเรียวไม่เคยเลือกปฏิบัติกับใครอีกเลย และเขากลายเป็นอาจารย์ที่เข้าใจหัวใจของศิษย์อย่างแท้จริง

ภาพประกอบนิทานเซนเรื่องมิโซะเปรี้ยว 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ความเท่าเทียมไม่ได้อยู่ที่สิ่งที่เราทำให้ผู้อื่น ‘พิเศษกว่า’ ด้วยความหวังดี แต่อยู่ที่การยอมรับกันอย่างเสมอกัน ทั้งในความยาก ง่าย และสามัญธรรมดา ในสายตาของครูที่แท้จริง ไม่มีใครสูงกว่า หรือต่ำกว่า แม้แต่ในเรื่องเล็กน้อยอย่างถ้วยซุปมิโซะ สิ่งที่สำคัญไม่ใช่รสชาติของอาหาร แต่คือรสชาติของจิตใจที่ไม่แบ่งแยก ไม่ลำเอียง และรู้จักวางตนอย่างเสมอกับทุกชีวิต

พระอาจารย์บังเคอิ โยตาคุ ไม่สอนด้วยถ้อยคำ แต่ใช้การ “ไม่ฉันอาหาร” เพื่อส่งผ่านบทเรียนลึกซึ้ง ไม่ใช่แค่สอนเรื่องการแบ่งมิโซะ แต่คือการชี้ให้เห็นว่าการยกเว้นตัวบุคคลจากหมู่คณะ แม้ด้วยเจตนาดี ก็อาจบ่อนทำลายจิตแห่งธรรมะโดยไม่รู้ตัว บังเคอิแสดงให้เห็นว่า “ธรรมะต้องอยู่ในชีวิต ไม่ใช่เพียงบนลำดับชั้น” และการเป็นอาจารย์แท้ คือการเดินเคียงข้างศิษย์ด้วยความเสมอภาค ไม่ใช่การแยกตนออกไปยืนสูงเหนือคนอื่น

อ่านต่อ: นิทานเซนให้ข้อคิดธรรมะในแบบวิถีเซนและปรัชญาชีวิตดี ๆ ทั้งความสงบ การปล่อยวาง การตื่นรู้ ฯลฯ

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานเซนเรื่องมิโซะเปรี้ยว (อังกฤษ: Sour Miso) มีต้นกำเนิดจากเรื่องเล่าชีวิตจริงของพระอาจารย์บังเคอิ โยตาคุ (Bankei Yōtaku) พระเซนชื่อดังแห่งยุคเอโดะ ค.ศ. 1622–1693 ผู้มีคำสอนเรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง เน้นการเข้าถึง “ใจดั้งเดิม” (Unborn Mind) โดยตรงโดยไม่ต้องอาศัยพิธีรีตองหรือวาทศิลป์

เรื่องราวนี้ไม่ได้ปรากฏอยู่ในหนังสือธรรมะทั่วไป แต่ถูกรวบรวมอยู่ในชุดนิทานเซนเพื่อการสอน เช่น Zen Flesh, Zen Bones และ 101 Zen Stories ซึ่งแปลจากภาษาญี่ปุ่นและภาษาจีนเพื่อให้ชาวตะวันตกได้เข้าใจปรัชญาเซนอย่างลึกซึ้งผ่านเรื่องเล่าจากชีวิตประจำวัน

เหตุการณ์ในนิทานสะท้อนแนวทางการใช้ชีวิตของพระอาจารย์บังเคอิ ที่ไม่แบ่งแยกชนชั้น ไม่ถืออภิสิทธิ์ในความเป็นครู และใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ปฏิเสธความพิเศษใด ๆ ที่ขัดต่อหลักความเท่าเทียมและธรรมชาติของเซน นี่จึงเป็นอีกหนึ่งนิทานที่กลายเป็นตัวอย่างของ “ธรรมะในชีวิตประจำวัน” ที่ทรงคุณค่าไม่แพ้พระสูตรใด ๆ

คติธรรม: “ผู้รู้ธรรมจักไม่แสวงหาความสบายให้ตน แต่จะดำรงตนด้วยเมตตา เสมอภาค และวางอัตตา เพื่อประโยชน์แห่งหมู่คณะ”


by