ปกนิทานเซนเรื่องโชอันกับมารดาของเขา

นิทานเซนเรื่องโชอันกับมารดาของเขา

ในเส้นทางของผู้แสวงหาธรรม บางครั้งสิ่งที่ลึกซึ้งที่สุดไม่ได้อยู่ในถ้อยคำหรือบทสวด แต่กลับซ่อนอยู่ในความเงียบของความรัก การเสียสละ และความจริงใจที่ไม่ต้องการการยอมรับจากใคร

มีนิทานเซนเรื่องหนึ่ง ที่พาเราไปพบกับพระผู้ไม่ยึดติดกับภาพลักษณ์หรือเสียงรอบข้าง ผู้ซึ่งเลือกเดินทางชีวิตร่วมกับมารดาผู้ชรา ท่ามกลางคำครหาและความเข้าใจผิด โดยไม่เคยละทิ้งเมตตาจากหัวใจของตน กับนิทานเซนเรื่องโชอันกับมารดาของเขา

ภาพประกอบนิทานเซนเรื่องโชอันกับมารดาของเขา

เนื้อเรื่องนิทานเซนเรื่องโชอันกับมารดาของเขา

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในสมัยที่เซนยังคงเบ่งบานในหมู่ผู้แสวงหาทางพ้นทุกข์ ชายหนุ่มนามว่าโชอัน ผู้มุ่งมั่นในการศึกษาธรรมะ ได้กลายเป็นศิษย์ในสำนักเซนโซโต วันหนึ่งเมื่อโชอันยังเป็นเพียงนักเรียนธรรมะ บิดาของเขาก็จากโลกไปอย่างสงบ เหลือเพียงมารดาผู้ชราให้เขาดูแลตามลำพัง

โชอันไม่ได้ทอดทิ้งมารดาไว้เบื้องหลัง แต่กลับเลือกที่จะพานางไปด้วยทุกหนแห่ง “หากข้าจิตสงบ แต่มารดาข้าทุกข์ใจไซร้ จะนับเป็นธรรมะได้อย่างไรเล่า?” เขามักกล่าวเสมอ

เมื่อใดที่เขาเดินทางไปยังสำนักเจริญสติหรือโรงปฏิบัติธรรม เขาก็มักจะสร้างกระท่อมเล็ก ๆ ข้างวัดเพื่อให้อยู่ใกล้มารดา แม้เขาไม่อาจใช้ชีวิตร่วมกับพระในวัดได้ตามระเบียบ แต่โชอันก็หาได้ใส่ใจไม่

ในทุกค่ำวัน เขานั่งคัดลอกพระสูตรด้วยลายมืออันเรียบสงบ เพียงเพื่อแลกกับเศษเงินเล็กน้อยที่จะนำไปซื้อข้าวปลาอาหารให้มารดา

แต่ผู้คนที่พบเห็นมักซุบซิบเยาะเย้ย “ดูนั่นสิ พระยังซื้อปลากิน!” แม้โชอันจะไม่ใส่ใจเสียงเหล่านั้น แต่มารดาของเขากลับเจ็บปวดหัวใจทุกครั้งที่เห็นผู้คนหัวเราะเยาะลูกของตน

คืนหนึ่ง ขณะมารดานั่งสงบนิ่งใต้แสงตะเกียง นางได้เอ่ยขึ้นด้วยเสียงเบา ๆ “ลูกเอ๋ย… แม่คิดว่าแม่ควรจะบวชเป็นแม่ชีเสียที แม่จะได้ไม่เป็นภาระให้เจ้าต้องซื้อปลามาอีก”

“ท่านแม่… ไม่จำเป็นเลย ท่านมีสิทธิ์จะมีชีวิตอย่างสงบสุข” โชอันตอบอย่างอ่อนโยน แต่มารดาตัดสินใจแน่วแน่ และในเวลาไม่นาน นางก็บวชเป็นแม่ชี

สองแม่ลูกใช้ชีวิตเรียบง่าย ศึกษาธรรมร่วมกัน และในยามค่ำคืนที่ฟ้าเต็มไปด้วยจันทร์ พวกเขามักเล่นดนตรีด้วยกัน โดยเฉพาะพิณที่เป็นเครื่องดนตรีโปรดของโชอัน “เสียงพิณเจ้านี่ ช่วยปลอบโยงใจคนให้สงบได้จริง ๆ”

คืนจันทร์เพ็ญคืนหนึ่ง ขณะทั้งสองบรรเลงเสียงพิณจากกระท่อมเล็ก ๆ หญิงสาวผู้หนึ่งเดินผ่าน เธอหยุดฟัง เสียงพิณนั้นทำให้ใจของเธอสั่นไหว เธอเดินเข้าใกล้และกล่าว “ท่านนักพรต โปรดมาเล่นที่บ้านข้าในคืนพรุ่งนี้ได้หรือไม่?”

โชอันมองเธอด้วยแววตาเมตตา “ถ้าเป็นเสียงที่ช่วยปลอบโยนผู้คนได้ ข้ายินดีจะไป”

แต่ผู้คนในละแวกนั้นกลับหัวเราะเยาะ “ไปบ้านหญิงคนนั้นหรือ? ฮ่า ๆ เจ้าไม่รู้หรือว่าเธอเป็นหญิงโสเพณี!”

แต่โชอันไม่ตอบโต้ เขาเพียงยิ้มและก้มศีรษะให้ด้วยใจสงบ

ภาพประกอบนิทานเซนเรื่องโชอันกับมารดาของเขา 2

หลายวันผ่านไป โชอันเดินผ่านตลาดในหมู่บ้านและบังเอิญพบหญิงสาวผู้นั้น เขาหยุดและกล่าวด้วยความอ่อนโยน “ขอบคุณสำหรับการต้อนรับในคืนนั้น เสียงพิณที่ได้บรรเลงในบ้านของท่าน เป็นช่วงเวลาที่ข้าจดจำได้อย่างงดงาม”

หญิงสาวยิ้มรับด้วยใจอันเปี่ยมสุข แต่เหล่าชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ต่างหัวเราะและกระซิบกันไม่หยุด “นักพรตไปค้างบ้านหญิงเช่นนั้นงั้นหรือ! ไม่ละอายบ้างหรือไง?”

แม้จะเต็มไปด้วยเสียงครหา โชอันกลับสงบนิ่ง “หากเสียงพิณสามารถบรรเทาทุกข์ใจให้ใครสักคนได้ ข้าไม่เห็นว่าสถานที่นั้นจะสำคัญไปกว่าความเมตตา”

วันหนึ่ง โชอันจำเป็นต้องเดินทางไปวัดห่างไกล เพื่อแสดงธรรมในพิธีสำคัญเป็นเวลาหลายเดือน เขาล่ำลามารดาด้วยความอาลัย ก่อนออกเดินทางท่ามกลางหมอกยามเช้า เพื่อน ๆ ไม่รู้ว่าจะติดต่อเขาได้ที่ไหน ดังนั้นงานศพจึงดำเนินไป

หลายเดือนผ่านไป เมื่อเขากลับมาถึงกระท่อม กลับพบเพียงบานประตูที่เปิดค้างไว้และความเงียบสงัดในบ้าน

เพื่อนบ้านเข้ามาบอกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “มารดาของท่านเสียแล้ว… เราไม่รู้จะติดต่อเจ้าอย่างไร ตอนนี้พิธีกำลังจะเริ่ม”

โชอันเดินไปยังสถานที่จัดพิธี ท่ามกลางเสียงสวดของผู้คน เขาก้าวเข้าไปหาหีบศพอย่างสงบ แล้วใช้มือเคาะเบา ๆ ที่ฝากล่องไม้

“แม่ ข้ากลับมาแล้ว…” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงแน่วแน่

จากนั้น เขาเปล่งเสียงเลียนเสียงมารดา “ลูกเอ๋ย แม่ดีใจที่เจ้ากลับมาแล้ว”

โชอันพยักหน้าเบา ๆ “ข้าก็ดีใจเช่นกัน ท่านแม่”

เขาหันไปบอกกับผู้คนรอบกาย “พิธีฝังศพเสร็จสิ้นแล้ว ท่านทั้งหลายโปรดดำเนินตามนั้นเถิด”

เมื่อวันเวลาผ่านไป โชอันเริ่มชรา สังขารเริ่มโรยรา วันหนึ่งในฤดูใบไม้ร่วง เขารู้สึกได้ถึงการเดินทางครั้งสุดท้าย เขาเรียกลูกศิษย์มาพร้อมหน้าในเช้าวันหนึ่ง

“วันนี้เที่ยง ข้าจะละจากโลกนี้”

ก่อนถึงเวลา เขาจุดธูปบูชารูปวาดของมารดาและอาจารย์เก่า แล้วเขียนบทกวีไว้เป็นถ้อยคำสุดท้าย:

“ตลอดห้าสิบหกปี ข้าดำเนินชีวิตเท่าที่ทำได้
เผชิญโลกด้วยจิตสงบ
บัดนี้ฝนจบ เมฆจาง
ฟ้าสดใสเต็มไปด้วยจันทร์เพ็ญ”

ระหว่างที่ลูกศิษย์สวดพระสูตรเสียงกังวาน โชอันหลับตาลงอย่างสงบ เขาจากไปในขณะที่เสียงสวดมนต์ยังคงดำเนินอยู่

ภาพประกอบนิทานเซนเรื่องโชอันกับมารดาของเขา 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ความรักและความกตัญญูที่แท้จริง ไม่ได้แสดงออกด้วยคำพูดหรือพิธีรีตอง แต่คือการกระทำที่เรียบง่าย จริงใจ และไม่ยึดติดต่อคำวิจารณ์จากผู้คน การดำรงชีวิตตามหนทางของตนด้วยเมตตา คือแก่นแท้ของเซนที่ส่องสว่างในใจผู้รู้ตื่น

โชอันเลือกดูแลมารดาผู้ชรา แม้จะต้องเผชิญเสียงหัวเราะเยาะและการตั้งคำถามจากสังคม เขาไม่เพียงแต่แบกรับภาระนั้นอย่างเต็มใจ หากยังแบ่งปันเสียงพิณเพื่อปลอบโยนผู้คน แม้หญิงสาวจะเป็นคนที่ถูกดูแคลน โชอันก็เห็นเพียงมนุษย์ผู้หนึ่งที่มีหัวใจ โชอันแสดงให้เห็นว่าการเป็นนักบวชไม่ได้หมายถึงการแยกตัวออกจากโลก แต่คือการอยู่กับโลกอย่างไม่ถูกร้อยรัดด้วยอคติหรือคำตัดสิน

“แม้การจากลาจะมาถึง เขายังสื่อสารกับมารดาผ่านความสงบและบทกวีที่สะท้อนความเบิกบานในใจ เปรียบเสมือนดวงจันทร์เต็มดวงในฟ้าใสหลังฝนตก ชีวิตที่ดำเนินด้วยเมตตาและสติ ย่อมจบลงอย่างสงบงามเสมอ”

อ่านต่อ: นิทานเซนสั้น ๆ สนุก ๆ เข้าถึงปรัชญาชีวิตความสงบ การปล่อยวาง

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเซนเรื่องโชอันกับมารดาของเขา (อังกฤษ: Shoan and His Mother) มาจากเรื่องราวของโชอัน (Shoan) ซึ่งเป็นพระในสายโซโตเซนของญี่ปุ่น เรื่องนี้ปรากฏอยู่ในบันทึกนิทานเซนคลาสสิกที่มักเล่าถึงชีวิตจริงของพระผู้ปฏิบัติธรรมที่ไม่ยึดติดกับรูปแบบ แต่เน้นการดำเนินชีวิตอย่างแท้จริงตามหลักเซน

ซึ่งปรากฏอยู่ในหนังสือชื่อดัง “Zen Flesh, Zen Bones” ที่เขียนและเรียบเรียงโดย Paul Reps และ Nyogen Senzaki และยังอยู่ในอยู่ในหมวด “101 Zen Stories” ซึ่งเป็นชุดนิทานสั้นที่รวบรวมประสบการณ์จริงของพระเซน

เรื่องราวนี้แสดงให้เห็นถึงคุณค่าของการปฏิบัติธรรมที่ฝังรากอยู่ในชีวิตประจำวัน ไม่จำกัดเฉพาะในวัดหรือสำนักใหญ่ ๆ และยังสะท้อนคติของเซนที่ว่า “ธรรมะอยู่ในทุกการกระทำ” ไม่ว่าจะเป็นการดูแลมารดา การเล่นดนตรี หรือแม้แต่การสนทนากับหญิงโสเพณี

โชอันเป็นตัวอย่างของพระที่ไม่ยึดติดกับกฎเกณฑ์ทางโลกหรือภาพลักษณ์ของนักบวช หากแต่เลือกดูแลมารดาผู้ชรา แม้ต้องเผชิญเสียงครหาจากผู้คนก็ตาม เรื่องนี้สื่อถึงแก่นแท้ของเซนที่ว่า “ธรรมะไม่จำกัดอยู่แค่ในวัด แต่อยู่ในทุกการกระทำที่เต็มไปด้วยสติ เมตตา และความจริงใจ”

คติธรรม: “ผู้ใดมีธรรมในใจ ย่อมไม่หวั่นไหวต่อเสียงครหา เพราะเมตตาแท้จริง ไม่จำเป็นต้องขออนุญาตจากโลก”


by