ในโลก มีผู้คนมากมายที่ไขว่คว้าหาความสว่างเพื่อยกตนให้โดดเด่น แต่ก็มีเพียงไม่กี่คนที่เลือกจะเก็บงำแสงนั้นไว้ภายใน เพื่อให้มันส่องออกอย่างเงียบงันและยืนยาว
มีนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องหนึ่ง ที่เล่าถึงการห่อหุ้มแสงสว่างภายในตน ผ่านสายตาและประสบการณ์ของเล่าจื๊อ ซึ่งได้พบเห็นผู้คนในยามวิกฤตแล้ง และเรียนรู้ว่าการไม่ใช้แสงเพื่อตนเอง อาจทำให้แสงนั้นส่องไกลและยาวนานยิ่งกว่า กับนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องห่อหุ้มด้วยแสงสว่าง

เนื้อเรื่องนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องห่อหุ้มด้วยแสงสว่าง
ข้าเดินทางลัดเลาะไปตามเส้นทางที่คดเคี้ยวข้ามภูเขาหินปูนเพื่อไปยังหมู่บ้านเล็ก ๆ ทางตะวันตก ขณะเดินผ่านหุบเขา แสงแดดแรงจนผิวดินแตกระแหง และลมร้อนพัดแห้งผาก ราวกับจะดูดความชุ่มชื้นทุกหยดจากร่างกาย ข้าก้าวเข้าสู่ตลาดกลางหมู่บ้านที่เต็มไปด้วยเสียงโต้เถียงของผู้คน
ข้าเห็นพ่อค้ากลุ่มหนึ่งกักตุนโอ่งน้ำไว้ด้านหลังร้าน และตั้งราคาน้ำสูงจนชาวบ้านส่วนใหญ่ซื้อไม่ไหว ข้าเดินเข้าไปใกล้และเอ่ยถามพ่อค้าคนหนึ่งว่า “เหตุใดเจ้าจึงขายน้ำในราคาเช่นนี้?”
เขาหัวเราะสั้น ๆ แล้วตอบว่า “ในยามแล้ง ใครมีของก็ย่อมตั้งราคาได้ตามใจ”
ข้าฟังแล้วนิ่งเงียบ… เพราะในแววตาของเขา ข้าเห็นแต่ความคิดเพื่อตนเอง ไม่ต่างจากการกักเก็บแสงไว้ในห้องมืด จนไม่มีใครได้เห็น
เมื่อออกจากตลาด ข้าเดินต่อไปจนถึงชายป่าริมหมู่บ้าน กลับได้เห็นกลุ่มชาวบ้านหญิงชายตักน้ำจากบ่อเล็ก ๆ ที่เหลืออยู่ แล้วแบ่งให้ผู้ที่กระหายโดยไม่คิดค่าตอบแทน
น้ำใสในขันไผ่ถูกส่งต่อจากมือหนึ่งไปสู่อีกมือหนึ่งโดยไม่มีการนับกำไร ข้ายืนดูอยู่นาน ลมร้อนในอกค่อย ๆ จางหาย กลายเป็นความสงบอย่างประหลาด
รุ่งเช้าวันถัดมา ข้ากลับไปที่บ่อเล็กในป่าไผ่อีกครั้ง เสียงน้ำหยดจากท่อไม้ไผ่ที่พวกเขาต่อขึ้นเมื่อคืนก่อนดังแผ่วเป็นจังหวะ
หญิงชราตักน้ำใส่หม้อดินแล้วยื่นให้ชายหนุ่มแปลกหน้าที่เพิ่งเดินทางมาถึง เขารับด้วยสองมือและกล่าวเพียง “ขอบคุณ” ก่อนดื่มอย่างช้า ๆ
ไม่นานนัก ข้าเห็นชายจากตลาดเมื่อวานเดินเข้ามา เขาหยุดมองชาวบ้านที่กำลังตักน้ำอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะวางโอ่งเล็กที่บรรทุกมาลงกับพื้น จากนั้นจึงก้มตักน้ำใส่โอ่งของตน และเมื่อจะจากไป เขากลับเหลือโอ่งอีกใบไว้ข้างบ่อโดยไม่พูดอะไร
ข้ามองท้องฟ้าที่เริ่มสว่างขึ้น แสงแรกของวันลอดผ่านใบไผ่ลงมาเป็นริ้ว ๆ ไม่เร่งร้อนที่จะส่องทั้งผืนดินในคราวเดียว ดินเบื้องล่างก็รับแสงนั้นไว้อย่างเงียบงัน ราวกับไม่มีสิ่งใดเป็นของตนเพียงผู้เดียว

หลายวันผ่านไป ข้าใช้เวลาส่วนใหญ่ในหมู่บ้านนั้น เดินสังเกตผู้คนและวิถีชีวิตที่ดำเนินไปอย่างช้า ๆ
เย็นวันหนึ่งข้าเดินไปตามคันนา เห็นเด็กหญิงสองคนตักน้ำจากลำคลองตื้น ๆ ลงในถังไม้ พวกเธอหัวเราะคุยกันอย่างเบาเสียง เมื่อเจอชายชราที่เดินถือไม้เท้า เด็กหญิงคนหนึ่งรีบยื่นขันน้ำให้ทันที
“ท่านตาจงดื่มก่อนนะคะ น้ำนี้เย็นมาก” เด็กหญิงพูดพลางยิ้มกว้าง
ชายชรารับขันน้ำด้วยมือที่สั่นเล็กน้อย ดื่มช้า ๆ แล้วเอ่ยเพียง “ขอบใจนะหลานเอ๋ย” ข้ายืนมองภาพนั้นโดยไม่เข้าไปขัดจังหวะ รู้สึกเหมือนกำลังเห็นแสงเล็ก ๆ ที่ถูกห่อหุ้มไว้ด้วยความเงียบและความเมตตา
ระหว่างเดินกลับ ข้าสวนกับชายจากตลาดอีกครั้ง คราวนี้เขาไม่มีโอ่งน้ำติดมาด้วย เพียงเดินผ่านข้าและพยักหน้าเล็กน้อย แววตาที่เคยคมแข็งกลับดูสงบขึ้น
วันสุดท้ายก่อนออกจากหมู่บ้าน ข้าเดินขึ้นไปยังเนินเขาที่สามารถมองเห็นตลาดและป่าไผ่ได้พร้อมกัน ด้านหนึ่งเป็นเสียงผู้คนซื้อขาย อีกด้านเป็นเสียงน้ำหยดจากท่อไม้ไผ่ในร่มเงา ข้านั่งเงียบอยู่นานจนดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยลง
ชายจากตลาดเดินมาหาข้า เขานั่งลงข้าง ๆ และพูดช้า ๆ ว่า “ข้าไม่เคยคิดว่าการให้จะทำให้ใจข้าเบาขนาดนี้” ข้ายิ้มและตอบเพียง “บางครั้ง การไม่เก็บแสงไว้เพื่อตนเอง ทำให้แสงนั้นส่องได้นานกว่า”
เขามองไปทางป่าไผ่แล้วพยักหน้า ก่อนลุกขึ้นเดินกลับลงเนิน เสียงฝีเท้าของเขาค่อย ๆ เลือนหายไป ข้ายังคงนั่งมองฟ้าที่เปลี่ยนสี แสงสุดท้ายของวันอาบยอดไผ่เป็นสีทอง แต่ไม่มีต้นใดพยายามเก็บแสงนั้นไว้เพียงลำพัง
ข้าเข้าใจแล้วว่า… บุคคลที่เป็นดั่งแสงที่ห่อหุ้มไว้ย่อมเป็นผู้ที่ไม่ใช้ความสว่างนั้นเพื่ออวดตน แต่ปล่อยให้แสงค่อย ๆ ส่องไปยังผู้คนรอบข้างโดยไม่เร่งรัด ไม่แสวงหาผลตอบแทน
แสงที่ห่อหุ้มไว้นั้นจึงไม่ร้อนแรงเกินไปจนดับลง หากแต่คงอยู่ยาวนาน เป็นความสว่างที่อบอุ่นและมั่นคง พร้อมจะนำทางทั้งตนเองและผู้อื่นในเส้นทางอันยาวไกล

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า.. การห่อหุ้มแสงสว่างภายในตน หมายถึงการรู้จักเก็บงำคุณความดี ความสามารถ หรืออำนาจที่มี ไม่ใช้เพื่อตนเองอย่างโอ้อวดหรือหาผลประโยชน์ส่วนตัว แต่ปล่อยให้แสงนั้นค่อย ๆ ส่องออกไปอย่างเงียบงัน เพื่อประโยชน์ต่อผู้อื่นและความกลมกลืนของส่วนรวม แสงที่ไม่เร่งร้อนและไม่แสวงหาเกียรติยศนี้จะคงอยู่ยาวนานและไม่มอดดับง่าย
ในนิทาน เล่าจื๊อเดินทางพบทั้งผู้คนที่กักเก็บสิ่งมีค่าเพื่อตนเองและผู้ที่แบ่งปันโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้เห็นว่า ผู้ที่ยึดเพื่อตนเพียงฝ่ายเดียวแม้จะมีมากก็กลับขาดพร่อง ส่วนผู้ที่ให้โดยไม่คิดถึงผลตอบแทนกลับได้รับความอุดมสมบูรณ์ทั้งในใจและในชีวิต เปรียบดังฟ้าและดินที่มิได้อยู่เพื่อตนเอง แต่กลับดำรงอยู่อย่างมั่นคงชั่วกาลนาน
อ่านต่อ: นิทานเต้าเต๋อจิงสอนปรัชญาเต๋าจีนโบราณโดยปรมาจารย์เล่าจื๊อ
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องห่อหุ้มด้วยแสงสว่าง (อังกฤษ: Sheathing The Light) มีที่มาจากคัมภีร์เต้าเต๋อจิง บทที่ 7 ของเล่าจื๊อ ซึ่งเป็นหนึ่งในคัมภีร์หลักของลัทธิเต๋า เนื้อหาบทนี้เล่าจื๊อใช้การเปรียบเทียบระหว่าง “ฟ้า” และ “ดิน” เพื่ออธิบายหลักการดำรงอยู่โดยไม่ยึดเพื่อตนเอง โดยคำสอนในบทนี้ได้กล่าวว่า
สวรรค์ยืนยาว และโลกก็ยืนยาว เหตุที่สวรรค์และโลกสามารถดำรงอยู่อย่างยาวนาน ก็เพราะมิได้มีอยู่เพื่อตนเองหรือทำเพื่อตนเอง (ฟ้าและดินทำหน้าที่เกื้อกูลสรรพสิ่ง ไม่หวงสิ่งใดไว้เพื่อตัวเอง จึงไม่หมดพลัง)
ด้วยเหตุนี้ ทั้งสองจึงคงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยาวนาน (การไม่ยึดเพื่อตนเองทำให้ไม่ขัดแย้งกับสิ่งอื่น และอยู่ร่วมกันได้)
ฉะนั้น ฤๅษีหรือผู้มีปัญญาจึงวางตนไว้เบื้องหลัง แต่กลับพบว่าตนเองอยู่ในที่สูงสุด ปฏิบัติต่อตนเองราวกับเป็นสิ่งแปลกปลอม แต่กลับได้รับการปกป้องรักษา (ผู้มีปัญญาไม่แย่งชิงความเด่น แต่กลับได้รับความนับถือและคุ้มครอง)
มิใช่เพราะเขาไม่มีจุดหมายส่วนตัวหรือผลประโยชน์เฉพาะตัว จึงทำให้เป้าหมายเหล่านั้นสำเร็จลงได้ (เมื่อไม่ยึดมั่นเพื่อผลลัพธ์ส่วนตน สิ่งที่ควรเกิดก็เกิดขึ้นเองโดยไม่ต้องไล่ล่า)
จากแนวคิดนี้ เล่าจื๊อจึงสรุปว่า “ผู้เป็นปราชญ์” วางตนไว้เป็นลำดับสุดท้าย แต่กลับพบว่าตนอยู่ในที่สูงสุด ปฏิบัติต่อตนเองราวกับเป็นคนแปลกหน้า แต่กลับได้รับการปกป้องรักษา เหตุเพราะเขาไม่มีเป้าหมายส่วนตัวหรือผลประโยชน์ส่วนตนให้ไขว่คว้า แต่กลับทำให้สิ่งที่พึงปรารถนาเกิดขึ้นเองโดยไม่ต้องแสวงหา
คติธรรม: “ผู้ที่ไม่ใช้แสงเพื่อตนเอง แสงนั้นจะส่องได้นานและอบอุ่นต่อทุกผู้คน”