ปกนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องกลับคืนสู่รากเหง้า

นิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องกลับคืนสู่รากเหง้า

ผู้คนมากมายมักเฝ้าตามหาพลังและความมั่นคงจากโลกภายนอก แต่กลับไม่รู้ว่าแสงสว่างที่แท้จริงนั้นอยู่ในใจของตนเอง เมื่อเรารู้จักเก็บงำและหันกลับไปสู่ต้นกำเนิด เราก็จะพบความสงบที่ไม่หวั่นไหวต่อการเปลี่ยนแปลงใด ๆ

มีนิทานเต้าเต๋อจิงบทหนึ่งที่เล่าจื๊อได้บรรยายถึงแสงและความมืด ผ่านการสังเกตธรรมชาติของดวงอาทิตย์และเต๋า อันเผยให้เห็นหนทางแห่งการกลับคืนสู่รากเดิม และความลับของความเข้มแข็งที่แท้จริง กับนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องกลับคืนสู่รากเหง้า

ภาพประกอบนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องกลับคืนสู่รากเหง้า

เนื้อเรื่องนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องกลับคืนสู่รากเหง้า

ข้าเดินขึ้นสู่ทางเขาในยามฟ้ายังมืดสนิท เหมือนโลกทั้งใบกำลังหลับใหลอยู่ใต้ผ้าห่มแห่งราตรี มีเพียงเสียงจิ้งหรีดร้องและสายลมที่พัดราวกับเสียงกระซิบของแผ่นดิน เส้นทางหินยังชื้นด้วยน้ำค้าง กลิ่นดินเปียกหอมอวลอยู่ในอากาศ ข้าก้าวช้า ๆ รู้สึกว่าตนกำลังเดินอยู่บนเส้นทางระหว่างความมืดและความสว่าง

ข้าได้ตกผลึกบทเรียนจากดวงตะวันกับเต๋า แล้วข้าจะเล่าให้เจ้าฟัง…

ข้ามองไปที่ขอบฟ้าที่เริ่มมีแสงแรกส่องขึ้น ความมืดค่อย ๆ ถูกเจียระไนด้วยแสงทอง ราวกับโลกกำลังถือกำเนิดใหม่อีกครา เต๋าก็เป็นเช่นนั้น เต๋าไม่เคยเร่งรัด ไม่เคยอวดตน แต่คอยหมุนเวียนทุกสิ่งด้วยความเงียบและความแน่วแน่ มอบพลังแก่ชีวิตโดยไม่ต้องเรียกร้องคำขอบคุณ

เมื่อข้าเข้าใจเช่นนี้ ใจของข้าก็สงบลง ไม่หลงติดอยู่ในความเร่งรีบ ไม่หวาดหวั่นต่อความมืดมิด เพราะรู้แล้วว่า ความมืดมิได้กลืนกินแสงสว่าง หากแต่เป็นอ้อมแขนที่โอบรับแสงสว่างเอาไว้ เพื่อให้มันได้กลับมาอีกครั้ง

ข้านั่งลงที่โขดหินใหญ่ริมทาง มองดูปรากฏการณ์ตรงหน้าแล้วอดคิดไม่ได้ว่า “แท้จริงแล้ว ความยิ่งใหญ่ของจักรวาลไม่เคยเริ่มต้นด้วยการบังคับ หากแต่เริ่มจากความอ่อนโยน ดั่งแสงอาทิตย์ที่ค่อย ๆ ฉายตัวเองออกมาอย่างไม่เร่งร้อน หากวันใดแสงแรกปรากฏขึ้นด้วยความรุนแรง โลกคงไม่อาจทนรับได้”

ในยามนั้น ข้าเข้าใจว่าการคืนกลับสู่ต้นกำเนิด ไม่ได้หมายถึงการกลับไปหาความแข็งแรง หากแต่คือการระลึกถึงความนุ่มนวลแรกเริ่ม ที่ทุกสิ่งถือกำเนิดขึ้นมาเช่นเดียวกับแสงอรุณนี้

เมื่อเวลาเคลื่อนไป แสงอาทิตย์ก็ไต่ขึ้นสูงกลางฟ้า ราวกับนักรบผู้ไม่หวั่นไหว ก้าวเดินไปตามวิถีของตนเองไม่เคยหยุดพัก จากความอ่อนโยนยามเช้า บัดนี้กลายเป็นความสว่างเจิดจ้าที่ปกคลุมทั่วหล้า แสงนั้นร้อนแรงเสียจนผิวดินแตกระแหง ผู้คนกวาดเหงื่อที่หยดลงมาจากหน้าผาก แต่ก็ยังใช้พลังนั้นไถนา หว่านเมล็ด ก่อสร้างบ้านเรือน เด็ก ๆ ยังคงวิ่งเล่นไล่จับเงาของกันและกัน ทุกชีวิตล้วนอยู่ภายใต้แสงเดียวกัน ไม่อาจหนีไปได้

ข้านั่งพักใต้ต้นไม้ใหญ่ ความเย็นของร่มเงาทำให้เข้าใจว่า แสงตะวันมิได้เป็นเพียงผู้มอบชีวิต แต่ยังเป็นผู้ทดสอบ ความอดทนของมนุษย์ถูกพิสูจน์ในยามที่ต้องทำงานกลางเปลวแดด ความเข้มแข็งของต้นไม้ถูกพิสูจน์ด้วยรากที่ยึดพื้นดินแน่นยามผืนดินแตกระแหง และหัวใจของผู้เดินทางก็ถูกพิสูจน์ในยามที่ต้องก้าวเดินบนถนนร้อนระอุ

แต่สิ่งที่ข้าตรึกตรองลึกที่สุดคือ ดวงอาทิตย์ไม่เคยกล่าวอ้างว่ามันคือผู้หล่อเลี้ยง ทุกสิ่งบนแผ่นดินได้รับพลังนั้นอย่างเงียบงัน และแสงก็ทำงานไปโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ย ถ้าแสงตะวันต้องคอยบอกตนว่า “ข้าคือผู้มอบชีวิตแก่เจ้า” ทุกชีวิตคงไม่ยกย่องมันเช่นนี้ แต่เพราะมันเพียงทำหน้าที่ของตนอย่างเงียบงัน ผู้คนจึงอาศัยมันโดยไม่รู้ตัว

ข้าหลับตาลงใต้ร่มไม้ คิดในใจว่า “ผู้ใดที่สามารถดำเนินชีวิตเช่นเดียวกับดวงอาทิตย์ คือทำหน้าที่โดยไม่โอ้อวด ดำรงอยู่โดยไม่ยึดครอง เขาจะไม่ต้องกลัวภัยจากสัตว์ร้ายหรือคมศัสตราใด ๆ เพราะเขาไม่ได้ยื่นช่องว่างให้ความตายเข้ามาสัมผัส เขามีเพียงแสงแห่งต้นกำเนิดที่โอบอุ้มเขาไว้ตลอดเวลา”

ภาพประกอบนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องกลับคืนสู่รากเหง้า 2

เมื่อเวลาเคลื่อนไปจนใกล้ค่ำ แสงตะวันซึ่งเคยร้อนแรงก็เริ่มอ่อนตัวลงอีกครั้ง ท้องฟ้ากลายเป็นภาพวาดอันงดงาม สีทองค่อย ๆ ละลายไปเป็นส้ม แดง และม่วง เส้นขอบฟ้าเหมือนถูกจารึกด้วยพู่กันของสวรรค์ ผู้คนในหมู่บ้านเก็บเครื่องมือทำงาน เด็ก ๆ วิ่งกลับบ้านพร้อมเสียงหัวเราะ สัตว์น้อยใหญ่พากันคืนสู่รัง

ข้าหยุดยืนมองดวงอาทิตย์ที่กำลังตก เหมือนปราชญ์ผู้เฒ่าที่กล่าวคำสอนสุดท้ายก่อนจะหายลับไปในความเงียบ หากดวงอาทิตย์ในยามเที่ยงคือ “นักรบ” ผู้เข้มแข็งแล้ว ดวงอาทิตย์ยามอัสดงคือ “มารดา” ผู้โอบกอดโลกให้นอนหลับอย่างอ่อนโยน

ข้าเข้าใจได้ว่า ชีวิตมนุษย์ก็เช่นเดียวกับดวงตะวัน เมื่อถึงวัยหนุ่มก็เปี่ยมด้วยพลัง เมื่อถึงวัยกลางคนก็ทำงานหนักเพื่อแผ่นดิน แต่เมื่อถึงวัยชรา เราควรเรียนรู้ที่จะถอยกลับอย่างสงบ มิใช่ต่อสู้ดิ้นรนเพื่อยึดครองแสงสว่างต่อไป หากไม่รู้จักถอย ความเหนื่อยล้าจะกลืนกินตนเอง แต่ผู้ที่ยอมคืนสู่ความเงียบ จะเป็นเสมือนดวงตะวันที่ตกไปอย่างสง่างาม ทิ้งไว้เพียงความอบอุ่นที่ยังตรึงใจผู้คน

ในความมืดที่เริ่มคลี่คลุม ข้ารำพึงว่า “การกลับคืนหาต้นกำเนิด ไม่ใช่การสูญสลาย แต่คือการกลับสู่ครรภ์แห่งเต๋า เหมือนดวงตะวันกลับไปซ่อนกายเบื้องหลังขอบฟ้า เพื่อเตรียมตัวฟื้นคืนใหม่อีกครั้ง”

ยามค่ำคืนมาเยือน ดวงตะวันหายลับไปแล้ว ฟ้ากลายเป็นผืนผ้าสีดำที่ประดับด้วยหมู่ดาวพร่างพราว จันทร์ส่องแสงเย็นเยือก ราวกับเปลวไฟเล็ก ๆ ที่เต้นรำอยู่กลางความมืดอันกว้างใหญ่

ผู้คนปิดประตูบ้าน จุดตะเกียงและก่อกองไฟ ครอบครัวนั่งล้อมวง พูดคุยเงียบ ๆ ก่อนเข้าสู่นิทรา ถนนหนทางเงียบงัน เหลือเพียงเสียงลมพัดกับเสียงสัตว์กลางคืน โลกทั้งใบเหมือนกลับสู่ครรภ์ของความว่างเปล่า

ข้านั่งใต้ท้องฟ้ามืด ลมหายใจสม่ำเสมอ รู้สึกได้ว่าความเงียบนี้คือ “มารดาที่แท้จริง” ของทุกสิ่ง มันไม่ต้องเรืองแสง ไม่ต้องอวดอ้าง แต่มันโอบอุ้มทั้งแสงสว่างและเงามืดไว้ในอ้อมแขนเดียวกัน ดั่งเต๋าที่ไม่เคยปฏิเสธสิ่งใด แม้แต่ความตาย

ในความมืดนั้น ข้าเข้าใจว่า “แสงตะวันยิ่งใหญ่เพียงใด ก็ยังต้องหวนกลับสู่ความมืด ความมืดจึงมิใช่ศัตรูของแสง แต่คือรากเหง้าที่แท้จริง หากเราสามารถปิดปาก ปิดลมหายใจจากความเร่งรีบ และวางตนไว้ในความเงียบนี้ เราจะเห็นความไม่เปลี่ยนแปลงที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังทุกความเปลี่ยนไป”

ข้ามองดาวบนฟ้า คิดได้ว่า แสงสว่างที่แท้จริงไม่อยู่ที่การส่องสว่างต่อหน้าผู้คน หากแต่อยู่ที่การรู้จักเส้นทางกลับสู่ต้นกำเนิด ที่ซึ่งไม่มีการเกิด ไม่มีการดับ มีเพียงความสงบที่ยืนยงชั่วนิรันดร์

เจ้าจงจำไว้เถิด ผู้ที่รู้จักหวนคืนสู่ต้นกำเนิด ไม่ต่างอะไรจากดวงตะวัน เขาจะไม่หวั่นไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก ไม่อ่อนล้าไปกับการดิ้นรน และจะดำรงอยู่ในความสงบที่ยาวนาน เหนือกว่าการเกิดและการดับทั้งปวง นี่คือบทเรียนที่ดวงอาทิตย์มอบให้ข้า และข้าได้เห็นเต๋าชัดเจนขึ้นกว่าที่เคย

ภาพประกอบนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องกลับคืนสู่รากเหง้า 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ความจริงของชีวิตคือการเคลื่อนไหวหมุนเวียนไม่สิ้นสุดเหมือนดวงอาทิตย์ที่ขึ้นและลับไปทุกวัน หากเรารู้จักยอมรับความเปลี่ยนแปลงและหวนคืนสู่ต้นกำเนิดแห่งตน ก็จะพบความสงบที่มั่นคงกว่าการวิ่งไล่ตามสิ่งภายนอก และนี่คือแก่นแท้ของการกลับสู่ต้นรากเหง้าต้นกำเนิด

ในนิทานเล่าจื๊อได้เพ่งพินิจดวงอาทิตย์ที่ลอยขึ้นและลับลง จนเข้าใจว่าแสงกับความมืดมิใช่ศัตรู แต่เป็นคู่ที่เกื้อหนุนกัน เช่นเดียวกับเต๋าที่โอบอุ้มทั้งการเกิดและการดับโดยไม่เลือกข้าง ดวงอาทิตย์มิได้เร่งเร้า ไม่ได้โอ้อวด แต่กลับทำให้โลกงอกงามด้วยการดำรงอยู่อย่างเงียบสงบ เปรียบเหมือนผู้ที่รู้จักเต๋า เขาจะไม่ดิ้นรนอย่างสิ้นเปลือง ไม่หวาดกลัวต่อความมืด แต่กลับใช้แสงของตนอย่างพอดี และรู้จักคืนกลับสู่รากเหง้าอันเป็นที่พำนักแท้จริงของชีวิต

อ่านต่อ: นิทานเต้าเต๋อจิงสอดแทรกปรัชญาชีวิตแห่งวิถีเต๋าในรูปแบบนิทานอ่านง่าย ๆ

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องกลับคืนสู่รากเหง้า (อังกฤษ: Returning to The Source) นิทานเรื่องนี้มาจากคัมภีร์เต้าเต๋อจิงบทที่ 52 ซึ่งกล่าวถึงการ “กลับสู่ต้นรากเหง้าต้นกำเนิด” อันเป็นหัวใจสำคัญของวิถีเต๋า เต๋าคือมารดาผู้ให้กำเนิดสรรพสิ่งทั้งปวงใต้ฟ้า ผู้ใดเข้าใจว่าตนคือบุตรแห่งมารดานี้ และดำรงชีวิตโดยรักษาคุณลักษณะของมารดาไว้จนสิ้นลมหายใจ ผู้นั้นย่อมปลอดภัยจากภัยอันตรายทั้งปวง เพราะเขาได้เชื่อมโยงกับต้นกำเนิดแท้จริงของชีวิต เล่าจื๊อได้บันทึกไว้ว่า:

กลับสู่ต้นกำเนิด

เต๋าผู้ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของทุกสรรพสิ่งใต้ฟ้า ควรถือว่าเป็น “มารดาของสิ่งทั้งปวง”

เมื่อเราพบมารดา เราก็จะรู้ว่าลูกของมารดานั้นควรเป็นอย่างไร
เมื่อใครรู้ว่าตนเป็นลูกของมารดา และรักษาคุณลักษณะของมารดาที่เป็นของตนไว้จนสิ้นชีวิต
ผู้นั้นก็จะปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง

ให้เขารักษาปากของตนให้ปิด ปิดประตูจมูกไว้ ทั้งชีวิตก็จะปลอดจากความเหน็ดเหนื่อย
แต่ถ้าเปิดปากและใช้ลมหายใจไปกับการทำเรื่องราวต่าง ๆ ทั้งชีวิตก็จะไม่มีความปลอดภัย

การใส่ใจในสิ่งเล็กน้อยคือความลับของความเฉียบแหลม
การรักษาสิ่งนุ่มนวลและอ่อนโยนคือความลับของความเข้มแข็ง

ผู้ใดใช้แสงของตนได้ดี
และหันกลับสู่ต้นกำเนิดแห่งแสงนั้น
จะสามารถปกป้องร่างกายจากความเสื่อมโทรม
และซ่อนสิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงจากสายตาผู้คน

เล่าจื๊อสอนว่า ผู้ที่รู้จักเก็บงำถ้อยคำ ไม่เปิดประตูใจไปตามความฟุ้งซ่าน ย่อมไม่เหน็ดเหนื่อยและไม่หวั่นไหวต่อสิ่งภายนอก แต่หากใครพร่ำใช้ลมปากและเร่งเร้าในทุกสิ่ง ก็ย่อมไม่มีวันพบความสงบ ความลับของความแหลมคมอยู่ที่การใส่ใจสิ่งเล็กน้อย และความลับของความเข้มแข็งอยู่ที่การรักษาความอ่อนโยน ผู้ใดใช้แสงแห่งตนอย่างพอดี และรู้จักหันกลับสู่แหล่งกำเนิดแห่งแสงนั้น ก็จะรักษาร่างกายให้มั่นคง และซ่อนสิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงไว้จากสายตาผู้คน

นิทานเรื่องนี้จึงถูกแต่งขึ้นเพื่อสะท้อนคำสอนในบทดังกล่าว โดยเปรียบดวงอาทิตย์ที่ขึ้นและลับไปเป็นภาพแทนของการเวียนกลับ ดวงอาทิตย์ให้แสงแก่สรรพสิ่ง แต่เมื่อถึงเวลาก็หวนคืนสู่ราตรีโดยไม่อาลัยฉันใด มนุษย์ผู้รู้จักหวนคืนสู่ต้นกำเนิดก็ย่อมดำรงชีวิตอย่างสมบูรณ์โดยไม่ต้องดิ้นรนฉันนั้น และนี่คือหัวใจของ “การกลับสู่ต้นรากเหง้าต้นกำเนิด” ที่เล่าจื๊ออยากฝากไว้ให้ผู้คนได้ตระหนักและนำไปปฏิบัติ

คติธรรม: “ผู้ที่รู้จักหันกลับสู่ต้นกำเนิดแห่งแสง และดำเนินไปบนหนทางสายกลาง ย่อมพบความสงบที่ไม่อาจถูกรบกวนได้”