ปกนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องคุณธรรมอันบริสุทธิ์

นิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องคุณธรรมอันบริสุทธิ์

ในโลกนี้ หลายคนเชื่อว่าการใช้ความรู้และปัญญาจะทำให้ควบคุมผู้อื่นและจัดการสิ่งรอบตัวได้สำเร็จ แต่คำสอนของเต๋าชี้ว่า คุณธรรมที่บริสุทธิ์และใจที่สงบต่างหากคือพลังที่แท้จริงในการสร้างความสมดุลและความสงบในชีวิต

มีนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องหนึ่ง เล่าถึงชายตาบอดผู้หนึ่งถามถึงความรู้และแสงสว่างของโลก แม้เขาจะไม่เห็นด้วยตา กับนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องคุณธรรมอันบริสุทธิ์

ภาพประกอบนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องคุณธรรมอันบริสุทธิ์

เนื้อเรื่องนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องคุณธรรมอันบริสุทธิ์

กาลหนึ่ง ณ หมู่บ้านเล็ก ๆ กลางหุบเขา มีชายตาบอดคนหนึ่งอาศัยอยู่ในกระท่อมไม้เก่า เขาเกิดมาในโลกแห่งความมืดสนิท ไม่เคยเห็นแสงตะวันหรือแสงจันทร์ แม้แต่เงาของตนเองก็ไม่รู้จัก แต่ในทุกค่ำคืน เขาจะได้ยินเสียงผู้คนพูดถึงความงามของแสงจันทร์ ว่ามันส่องให้ภูเขาเป็นสีเงิน ส่องให้น้ำใสระยับราวกระจก และทำให้หัวใจคนสงบเย็นลง

ชายตาบอดมักเงียบฟังอยู่ในมุมมืดของตนเอง และในใจของเขาเต็มไปด้วยคำถาม “แสงจันทร์งดงามเพียงใดกันหนอ? ข้าไม่เคยเห็น แต่ทำไมมันจึงทำให้ผู้คนหลงใหลเช่นนี้?”

วันหนึ่ง เขาได้ยินว่ามีปราชญ์ชราผู้หนึ่งชื่อเล่าจื๊อ พำนักอยู่ในป่าลึก มีผู้กล่าวว่า ท่านเข้าใจสัจธรรมของฟ้าและดิน เห็นความสว่างที่ไม่ต้องใช้ดวงตา ชายตาบอดจึงตัดสินใจถือไม้เท้า เดินทางไปหาเล่าจื๊อในยามเย็น

เมื่อเขามาถึงกระท่อมของปราชญ์ แสงจันทร์กำลังขึ้นเหนือยอดไม้ แม้เขามองไม่เห็น แต่รู้ได้จากเสียงลมที่แผ่วเบา และกลิ่นดอกหอมที่โชยตามลม เขาคำนับและถามว่า

“ท่านปราชญ์ ข้าได้ยินว่าท่านเข้าใจเรื่องเต๋า และเต๋านั้นคือหนทางแห่งความสว่าง ข้าอยากรู้ว่า ผู้มีปัญญาเห็นสิ่งที่ข้ามองไม่เห็นหรือไม่?”

เล่าจื๊อยิ้มบาง ๆ แล้วตอบด้วยเสียงอ่อนโยน “แสงจันทร์ไม่ส่องให้ตาเห็น แต่มันส่องให้ใจนิ่ง เมื่อใจนิ่ง แสงย่อมปรากฏ แม้ในความมืดมิดที่สุด”

ชายตาบอดนิ่งไปครู่หนึ่ง เขาไม่เข้าใจนัก แต่คำตอบนั้นกลับสะท้อนในใจอย่างแปลกประหลาด “แสงที่ไม่ส่องให้ตาเห็น…มันคือแสงแบบใดกัน?”

เขากล่าวขอบคุณแล้วจากไป ทิ้งไว้เพียงความสงสัยที่เริ่มกลายเป็นความใคร่รู้ลึกในหัวใจ

คืนนั้นเอง เขาเดินกลับ มีเพียงไม้เท้าและเสียงฝีเท้าของตนเองบนดินเย็น ๆ
เสียงลมพัดลอดต้นไม้ เสียงจิ้งหรีดร้องประสานอยู่รอบตัว ราวกับโลกทั้งใบกำลังพูดกับเขาโดยไม่ใช้คำพูด

ชายตาบอดเริ่มพยายามฟังเสียงทุกสิ่งให้ลึกขึ้น เขาพยายาม “เห็น” ด้วยการฟัง และ “มอง” ด้วยการรู้สึก

“บางที…แสงอาจอยู่ในเสียงเหล่านี้ก็ได้” เขาคิด

แต่ยิ่งพยายามจะรู้ เขากลับยิ่งรู้สึกถึงความมืดที่หนาแน่นรอบตัว ทุกก้าวที่เดินเหมือนพาเขาเข้าสู่เงามืดยิ่งขึ้น เขาล้มหลายครั้ง หกล้มหินบาด ขาเลือดซิบ แต่เขายังไม่หยุด

“ข้าต้องเห็นให้ได้ว่าความสว่างคืออะไร” เขาพึมพำเบา ๆ

แต่ยิ่งดิ้นรน เขายิ่งเหนื่อย เสียงลมหายใจขาดเป็นช่วง ๆ จนสุดท้าย เขาทรุดนั่งพิงต้นไม้ใหญ่กลางทาง เสียงหัวใจเต้นแรงประสานกับเสียงลมที่พัดผ่านยอดไม้

ในความเหนื่อยนั้น เขาเงียบลงโดยไม่รู้ตัว หยุดดิ้นรน หยุดคิด หยุดถาม และในความเงียบสนิทนั้น เขาเริ่ม “รู้สึก” ถึงบางสิ่งที่แผ่วเบาเหมือนแสงอ่อน ๆ ที่ไม่มีสี ไม่มีรูป

มันไม่ได้อยู่ข้างนอก แต่อยู่ในใจของเขาเอง ราวกับมีบางสิ่งส่องขึ้นจากภายใน

เขานิ่งอยู่เช่นนั้นนานมาก รู้เพียงว่าแม้มืดมิดเพียงใด แต่ใจของเขากลับสงบอย่างประหลาด และนั่นคือคืนแรกที่ชายตาบอด “เห็น” บางสิ่ง โดยไม่ต้องใช้ตาเลย

ภาพประกอบนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องคุณธรรมอันบริสุทธิ์ 2

รุ่งเช้า แสงแดดอ่อนสาดผ่านยอดไม้ แม้ชายตาบอดจะไม่เห็น แต่เขารู้สึกถึงความอบอุ่นที่ไหลเข้าสู่ร่างกาย เขายังคงนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ สัมผัสกับเสียงลม เสียงนก และกลิ่นดินหลังฝน

เขารู้สึกเหมือนโลกทั้งใบเคลื่อนไหวอย่างสงบ ไม่มีสิ่งใดเร่ง ไม่มีสิ่งใดรอ ทุกอย่างเป็นไปอย่างพอดี

“บางที…นี่แหละคือแสง” เขาคิดในใจ

“แสงไม่ต้องให้ตาเห็น แต่อยู่ในทุกสิ่งที่นิ่งพอจะรับรู้มันได้”

เขายิ้มอย่างสงบ เดินกลับไปหาเล่าจื๊ออีกครั้ง เมื่อมาถึง เขาคำนับแล้วกล่าวอย่างอ่อนโยน “ท่านอาจารย์ ข้าเข้าใจแล้ว…แสงจันทร์ที่ท่านพูดถึง มิได้อยู่บนฟ้า แต่อยู่ในใจที่หยุดดิ้นรน”

เล่าจื๊อเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เมื่อเจ้าหยุดแสวงหา เจ้าก็พบสิ่งที่แสวงหาโดยไม่ต้องออกเดินทาง”

ชายตาบอดยิ้ม เขาไม่รู้ว่าตนเห็นหรือไม่เห็น แต่ความมืดในใจกลับไม่หนักอีกต่อไป

เล่าจื๊อเดินไปหยิบถ้วยชา ยื่นให้เขา ชายตาบอดรับไว้ ไอชาควันบาง ๆ ลอยขึ้น เขาเอ่ยเบา ๆ “แสงของใจ ก็เหมือนชาในถ้วย ใส่จนล้น ย่อมขุ่น ใส่พอดี ย่อมใสและหอม”

เล่าจื๊อหัวเราะเบา ๆ “เจ้ามองเห็นแล้ว แม้ไม่มีตา”

ค่ำคืนนั้น แสงจันทร์เต็มดวงลอยเหนือฟ้า หมู่บ้านทั้งหมู่บ้านสงบ เงาไม้ทอดยาวลงบนพื้นหิน ชายตาบอดนั่งอยู่หน้ากระท่อม ข้าง ๆ คือเล่าจื๊อ ทั้งสองไม่พูดกันนาน มีเพียงเสียงลมพัดผ่านและเสียงจิ้งหรีดร้องเบา ๆ

หลังจากเงียบอยู่นาน ชายตาบอดจึงพูดขึ้นว่า “ข้าเคยเชื่อว่าความมืดคือสิ่งน่ากลัว แต่บัดนี้ข้ารู้แล้วว่า ความมืดก็เพียงเป็นที่พักของแสง เมื่อใจหยุดค้นหา แสงก็กลับมาเอง”

เล่าจื๊อมองเขา แล้วกล่าวช้า ๆ “ผู้เห็นเต๋า ไม่ได้เห็นด้วยตา ไม่ได้รู้ด้วยถ้อยคำ แต่รู้ด้วยการไม่พยายามรู้ และเห็นด้วยการไม่พยายามเห็น”

ชายตาบอดยิ้ม พลางเงยหน้าไปยังท้องฟ้าที่เขามองไม่เห็น แต่ในใจของเขา กลับเต็มไปด้วยแสงนวลที่ไม่มีรูป ไม่มีสี และไม่เคยดับ

เขากล่าวเบา ๆ “ข้าเห็นพระจันทร์แล้ว… มันอยู่ในใจข้านี่เอง”

ลมยามค่ำพัดใบไม้แผ่วเบา ราวกับธรรมชาติกำลังยิ้มตอบรับ แสงจันทร์ยังคงส่องอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่ครั้งนี้ ชายตาบอดไม่ต้องมองก็ “เห็น” ได้อย่างแจ่มชัดที่สุดในชีวิต

ภาพประกอบนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องคุณธรรมอันบริสุทธิ์ 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… คุณธรรมแท้จริงไม่ได้แสดงออกด้วยคำพูดหรือการกระทำที่โอ้อวด แต่เกิดจากใจที่สงบ บริสุทธิ์ และไม่แสวงหาผลประโยชน์ใด ๆ เมื่อใจนิ่งและไม่ฝืนสิ่งที่เป็น นี่คือแก่นของคุณธรรมอันบริสุทธิ์

ในนิทาน แม้ชายตาบอดไม่เคยเห็นแสงจันทร์ด้วยตา แต่เมื่อใจของเขาหยุดดิ้นรนและไม่แสวงหาความรู้หรือความเข้าใจอย่างฝืน เขากลับสัมผัสถึงแสงนั้นได้อย่างแจ่มชัด แสงจึงมิได้อยู่บนฟ้า แต่ส่องสว่างอยู่ในใจผู้ที่หยุดบังคับและเปิดใจรับสัจธรรม การรู้จักปล่อยวางและยอมรับสิ่งที่เป็นอยู่ จึงทำให้เราเข้าใจโลกและตัวเองได้อย่างแท้จริง

อ่านต่อ: เรียนรู้ปรัชญาสุดลึกซึ้งแห่งวิถีเต๋าผ่านนิทานเต้าเต๋อจิง

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องคุณธรรมอันบริสุทธิ์ (อังกฤษ: Pure, Unmixed Excellence) นิทานเรื่องนี้มาจากคัมภีร์เต้าเต๋อจิงบทที่ 65 ซึ่งกล่าวถึง “คุณธรรมอันบริสุทธิ์” อันเป็นแก่นแท้ของวิถีเต๋า ความสงบและความเรียบง่ายคือพลังสูงสุดของชีวิต เพราะผู้ที่ถือมั่นในคุณธรรมที่บริสุทธิ์ ไม่โอ้อวดและไม่แสวงหาผลตอบแทนใด ๆ ย่อมทำให้สรรพสิ่งรอบตัวดำเนินไปอย่างสงบและกลมกลืน การถือมั่นในความบริสุทธิ์นี้เป็นเหมือนแสงที่ส่องทาง แม้ในความมืดหรือความสับสนใด ๆ ก็ยังคงเห็นทางเดินที่ถูกต้อง เล่าจื๊อได้บันทึกไว้ว่า:

คุณธรรมอันบริสุทธิ์ไม่เจือปน

บรรพบุรุษในยุคโบราณ ผู้ที่เข้าใจและปฏิบัติตามเต๋าอย่างแท้จริง มิได้ทำไปเพื่อทำให้ผู้คนฉลาดหรือรู้มากขึ้น แต่เพื่อให้พวกเขากลับมาสู่ความเรียบง่ายและไร้ความซับซ้อน เหมือนธรรมชาติเดิมแท้ของมนุษย์

เพราะความยากในการปกครองบ้านเมือง มักเกิดจากการที่ผู้คนมีความรู้มากเกินไป เมื่อรู้มาก ย่อมคิดมาก แสวงหามาก และเกิดความวุ่นวาย ผู้ที่พยายามใช้ความเฉลียวฉลาดเพื่อปกครอง จึงกลับกลายเป็นภัยต่อแผ่นดิน แต่ผู้ที่ไม่อวดรู้ ไม่ใช้ปัญญาเพื่อควบคุมผู้อื่น กลับทำให้บ้านเมืองสงบสุขได้

ผู้ที่เข้าใจความแตกต่างระหว่างสองสิ่งนี้ คือผู้ที่เข้าถึง “แบบอย่างแห่งเต๋า” นั่นคือสิ่งที่เล่าจื๊อเรียกว่า “คุณธรรมลึกลับ” คุณธรรมที่บริสุทธิ์ เรียบง่าย และไม่แสวงหาผลตอบแทน

คุณธรรมเช่นนี้ลึกซึ้งและแผ่ไกล ผู้มีคุณธรรมนี้อาจดูแตกต่างจากผู้คนทั่วไป ดูเหมือนตรงข้ามกับสิ่งที่โลกนิยม แต่แท้จริงแล้ว เขากลับทำให้ผู้คนรอบข้างค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงและกลมกลืนไปกับความสงบแห่งเต๋าโดยไม่รู้ตัว

โดยเล่าจื๊อสอนว่า ผู้ที่เข้าใจและปฏิบัติคุณธรรมเช่นนี้ จะไม่พยายามใช้ปัญญาเพื่อควบคุมหรือแสดงตนเหนือผู้อื่น แต่กลับช่วยให้ผู้คนรอบตัวสงบและคืนสู่ความเรียบง่ายตามธรรมชาติ ผู้ที่ทำได้เช่นนี้จะไม่หลงไปกับความซับซ้อนของโลก เข้าใจจังหวะของเหตุและผล และดำรงอยู่ในความสมดุลระหว่างตนเองและสิ่งรอบข้าง

นิทานเรื่องนี้จึงถูกแต่งขึ้นเพื่อสะท้อนคำสอนในบทดังกล่าว โดยใช้เรื่องชายตาบอดกับแสงจันทร์เป็นอุปมา การไม่เห็นด้วยตาแต่สัมผัสด้วยใจสะท้อนถึงคุณธรรมที่แท้จริงซึ่งไม่ต้องแสดงออกอย่างโอ้อวด แต่กลับมีพลังเปลี่ยนแปลงโลกเบื้องหลัง

คติธรรม: “ผู้ที่บริสุทธิ์ในใจ ไม่โอ้อวดความรู้ ไม่แสวงหาผลตอบแทนใด ๆ คือผู้ที่ทำให้โลกสงบได้โดยไม่ต้องบังคับ และส่องแสงแห่งคุณธรรมโดยไม่ต้องเห็น”