หลายคนมักคิดว่า เกียรติและคุณค่าของชีวิตเกิดจากชื่อเสียง อำนาจ หรือทรัพย์สิน แต่ในทางของเต๋า กลับสอนให้เห็นว่า สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงเปลือกนอก ความยิ่งใหญ่ที่แท้จริงอยู่ในความเรียบง่ายและความเข้าใจในหนทางของธรรมชาติ
มีนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องหนึ่ง ที่เล่าจื๊อใช้เพื่ออธิบายว่า “เต๋า” คือสิ่งที่ให้เกียรติแก่ผู้คนได้ แม้พวกเขาจะไม่สมบูรณ์แบบ เป็นเรื่องราวของชายผู้หนึ่งที่ดำเนินชีวิตตามเต๋าโดยไม่รู้ตัว และกลายเป็นผู้ที่แม้กษัตริย์ยังต้องยอมคารวะ กับนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องปฏิบัติตามเต๋า

เนื้อเรื่องนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องปฏิบัติตามเต๋า
ฤดูใบไม้ร่วงปีนั้น ลมจากหุบเขาตะวันตกพัดพาเศษใบไม้แห้งปลิวไปทั่วเมืองหลวง “อันหลิง” เมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องความมั่งคั่งและพิธีการอันโอ่อ่า ท้องถนนเรียงรายด้วยศิลาจารึกแห่งเกียรติยศของขุนนางผู้ได้รับตำแหน่งสูงสุดในแผ่นดิน
เล่าจื๊อเดินทางมาถึงเมืองนี้พร้อมศิษย์หนุ่มคนหนึ่ง ทั้งคู่แต่งกายเรียบง่าย เดินผ่านประตูเมืองที่แกะสลักเป็นมังกรทอง เมื่อเข้าไปภายใน เห็นผู้คนต่างแต่งกายหรูหรา ยกย่องกันด้วยคำสรรเสริญเสียงดัง แต่ในสายตาของเล่าจื๊อ พลังแห่งความหยิ่งและความกลวงว่างปกคลุมอยู่ทั่ว
กลางจัตุรัสใหญ่ มีการพิพากษาชายผู้หนึ่ง เขาเคยเป็นนักปราชญ์ในวัง แต่ถูกตราหน้าว่า “คนทรยศ” เพราะปฏิเสธจะสรรเสริญกษัตริย์ด้วยคำเท็จเพื่อผลประโยชน์ของขุนนาง เขายืนสงบ ไม่โต้เถียง ขณะผู้พิพากษาอ่านคำตัดสินเสียงดัง
ศิษย์หนุ่มถามเสียงแผ่ว “ท่านอาจารย์ เหตุใดผู้พูดความจริงจึงถูกลงโทษ?”
เล่าจื๊อมองไปยังชายคนนั้น แล้วตอบเบา ๆ “คำพูดที่สอดคล้องกับเต๋า มักขัดหูผู้ถืออำนาจ แต่แม้เขาจะสูญเสียเกียรติในสายตามนุษย์ เต๋ายังเห็นคุณค่าของเขาอยู่เสมอ”
เสียงฆ้องดังขึ้น ชายผู้บริสุทธิ์ถูกปลดเครื่องยศ ถูกขับออกจากเมือง ท่ามกลางเสียงโห่ร้องของฝูงชน
เล่าจื๊อยืนมองนิ่ง ๆ ก่อนเอ่ยกับศิษย์ว่า “เมืองนี้เปล่งประกายด้วยทอง แต่ข้างในมืดมัวด้วยความไม่เที่ยง เกียรติที่สร้างจากลมปาก ย่อมพังได้ด้วยลมปาก”
หลายปีผ่านไป เมืองอันหลิงต้องคำสาปแห่งความแห้งแล้ง น้ำในบ่อน้ำหลวงเหือดแห้ง พืชผลไม่งอกงาม ผู้คนเริ่มสิ้นศรัทธาในคำสัญญาของกษัตริย์ ขุนนางต่างกล่าวโทษกันเอง
เล่าจื๊อกับศิษย์กลับมาอีกครั้ง คราวนี้ทั้งเมืองเงียบงัน ดินแตกระแหง และแสงอาทิตย์ร้อนแรงจนพื้นหินแตกเป็นรอย
พวกเขาเดินจนถึงเชิงเขา พบกระท่อมไม้หลังหนึ่ง ริมธารน้ำเล็ก ๆ ที่ยังคงไหลอย่างอัศจรรย์
ชายชราผู้หนึ่งได้ขุดลำธารวันแล้ววัน เวลาว่างเขาก็กำลังสอนเด็ก ๆ ปลูกผักริมลำธาร ใบหน้าสงบ ดวงตาอ่อนโยน แม้เสื้อผ้าจะเก่าแต่สะอาด
เมื่อศิษย์หนุ่มจำได้ว่า นั่นคือชายที่เคยถูกขับออกจากเมือง เขารีบคำนับด้วยความนอบน้อม
ชายชรายิ้มบาง ๆ แล้วกล่าวว่า “ข้าไม่เกลียดผู้ใด ทั้งที่เขาเคยสาปแช่งข้า เพราะข้าเข้าใจแล้วว่า ความโกรธไม่อาจดับไฟแห่งความเขลา มีเพียงความสงบเท่านั้นที่ทำให้เต๋าเผยตัว”
เล่าจื๊อถามเขา “ท่านยังถือว่าตนเป็นคนในทางธรรมอยู่หรือไม่ ทั้งที่ถูกสังคมปฏิเสธ?”
ชายชราเงียบครู่หนึ่ง แล้วตอบช้า ๆ “น้ำย่อมไหลสู่ที่ต่ำ เต๋าก็เช่นกัน มันอยู่ได้ในใจของคนที่ยอมลดตน ไม่ว่าจะถูกเรียกว่า ‘คนดี’ หรือ ‘คนผิด’ เต๋ายังไม่ทอดทิ้งใคร”
ลมเย็นจากภูเขาเริ่มพัด กลีบใบไม้ร่วงปลิวไหว ศิษย์หนุ่มมองภาพนั้นด้วยแววตาเปี่ยมศรัทธา เหมือนได้เห็นสิ่งที่มีค่ากว่าทองและตำแหน่งทั้งหมดในโลก

ข่าวลือแพร่ไปทั่วว่า “มีน้ำใสไหลจากเชิงเขาในยามแล้ง” จนในที่สุด กษัตริย์แห่งอันหลิงก็ทรงมีรับสั่งให้นำขบวนออกตรวจสถานที่นั้นด้วยพระองค์เอง
ขบวนราชรถเคลื่อนผ่านทุ่งแตกระแหง เสียงกลองประกาศก้องไปทั่ว เมื่อกษัตริย์เสด็จมาถึง ก็เห็นลำธารเล็ก ๆ ไหลรินท่ามกลางหินแห้ง และเด็ก ๆ หลายคนหัวเราะอย่างมีชีวิตชีวา ที่ปลายธารนั้น มีชายชราผู้หนึ่งกำลังตักน้ำรดผักอย่างสงบ
“เจ้าคือใคร?” กษัตริย์ตรัสถาม ชายชราเงยหน้าขึ้น ยิ้มอ่อน ๆ “ข้าคือคนที่ท่านเคยขับไล่เมื่อหลายปีก่อน”
เสียงในขบวนเงียบลงทันที ขุนนางหลายคนก้มหน้า กษัตริย์นิ่งงันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงค่อย ๆ ก้าวลงจากราชรถ พระองค์คุกเข่าหนึ่งข้าง มือแตะพื้นดินเย็นชื้น แล้วกล่าวว่า “เมื่อข้าเป็นกษัตริย์ ข้ามีทุกสิ่ง แต่ใจข้าแห้งแล้ง บัดนี้เจ้าผู้ไร้ตำแหน่งกลับทำให้โลกกลับมามีน้ำไหล ข้าขอถาม สิ่งนี้เจ้าทำได้อย่างไร?”
ชายชรายกขันน้ำขึ้น เทลงบนดิน แล้วตอบเบา ๆ “ข้าไม่ได้ทำให้น้ำไหล เต๋าต่างหากที่ทำ ข้าเพียงไม่ขัดขวางมัน”
กษัตริย์เงยพระพักตร์ขึ้น เหมือนได้เห็นสิ่งที่สูงส่งกว่าเกียรติทั้งปวง เขาโน้มศีรษะลงต่ำอีกครั้ง พร้อมกล่าวว่า “ข้าใช้ชีวิตอยู่กับสิ่งที่เปล่งแสง แต่เจ้าอยู่กับสิ่งที่ให้ชีวิต”
หลังจากวันนั้น กษัตริย์มีรับสั่งให้ยกเลิกพิธีการอันฟุ่มเฟือย และสลักคำสอนของชายชรานั้นไว้ที่ประตูเมือง “เต๋าอยู่กับผู้ถ่อมตน ผู้กระทำโดยไม่โอ้อวด ย่อมได้ผลเกินผู้สั่งที่เพียงส่งเสียงดัง”
แต่ชายชราไม่รับรางวัลหรือยศใด เขาเพียงกล่าวว่า “อย่ามอบสิ่งใดแก่ข้า มอบมันให้แผ่นดินที่แห้งแล้งดีกว่า”
เมื่อฤดูใหม่มาถึง น้ำจากภูเขาเริ่มไหลมากขึ้น ดอกไม้บานริมธาร
แต่ไม่นานหลังจากนั้น ชายชราก็จากไปอย่างสงบ ทิ้งไว้เพียงกระท่อมเล็ก ๆ และร่องน้ำที่ยังไหลไม่ขาด
หลายปีต่อมา เล่าจื๊อเดินทางกลับมาที่ลำธารแห่งนั้น เขามองเห็นชาวเมืองพากันน้อมศีรษะเคารพหลุมศพเล็ก ๆ ริมน้ำ
เล่าจื๊อยืนเงียบ มือประสานหลัง พลางกล่าวกับศิษย์ว่า “นี่คือสิ่งที่เต๋าทำ มันยกคนต่ำให้สูง โดยไม่แต่งแต้มด้วยเกียรติ และชำระคนผิด โดยไม่ต้องใช้โทษใด ๆ”
สายลมยามเย็นพัดผ่าน ใบเมเปิ้ลปลิวลงสู่สายน้ำ ราวกับธรรมชาติกำลังกล่าวคำขอบคุณแก่ผู้ที่ “ปฏิบัติตามเต๋า” อย่างแท้จริง

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ความยิ่งใหญ่แท้จริงไม่ได้มาจากตำแหน่งหรืออำนาจ แต่มาจากการดำเนินชีวิตตามเต๋า ด้วยความอ่อนน้อมและไร้การยึดถือ เพราะเต๋าเป็นสิ่งที่ให้เกียรติและความดีงามโดยไม่เลือกบุคคล ไม่ว่าจะเป็นคนดีหรือคนผิด เต๋าย่อมปกป้องและชำระเขาได้ด้วยความเมตตาอันเงียบสงบ นี่คือแก่นของปฏิบัติตามเต๋า
ในนิทาน ชายชราผู้ถูกขับไล่กลับสร้างสายน้ำที่หล่อเลี้ยงผู้คน โดยไม่หวังชื่อเสียงหรือผลตอบแทน แม้กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ยังต้องคุกเข่าต่อความถ่อมตนนั้น เพราะสิ่งที่ชายผู้นั้นกระทำไม่ได้เป็นเพียงการสร้างน้ำ แต่คือการปล่อยให้ “เต๋า” ทำงานผ่านเขา การไม่ยึดถือ ไม่โอ้อวด และไม่ขัดขวางธรรมชาติ จึงกลายเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่กว่าเกียรติและรางวัลใด ๆ
อ่านต่อ: นิทานเต้าเต๋อจิงสอดแทรกปรัชญาชีวิตแห่งวิถีเต๋าในรูปแบบนิทานอ่านง่าย ๆ
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องปฏิบัติตามเต๋า (อังกฤษ: Practising The Dao) นิทานเรื่องนี้มาจากคัมภีร์เต้าเต๋อจิงบทที่ 62 ซึ่งกล่าวถึง “คุณค่าของเต๋า” อันเป็นสิ่งสูงสุดเหนือสิ่งทั้งปวง เต๋าเป็นที่พึ่งของคนดีและเป็นที่หลบภัยของคนผิด แม้ผู้กระทำผิดก็ยังสามารถได้รับการปกป้องและชำระล้างจากเต๋าได้ เพราะเต๋าไม่ตัดสิน ไม่แบ่งแยก แต่โอบรับทุกสิ่งไว้ในสมดุลเดียวกัน จึงเป็นสมบัติอันประเสริฐที่สุดที่มนุษย์พึงแสวงหา โดยเล่าจื๊อได้บันทึกไว้ว่า:
การปฏิบัติตามเต๋า
เต๋าเป็นสิ่งที่มีเกียรติสูงสุดเหนือสิ่งทั้งปวง
ไม่มีสมบัติใดที่สามารถให้ความสง่างามหรือความดีงามแก่คนดีได้มากเท่าเต๋า
และแม้คนไม่ดี เต๋าก็ยังปกป้องเขา และช่วยลบความชั่วของเขาให้คำพูดอันน่าชื่นชมของเต๋า สามารถสร้างเกียรติให้ผู้พูดได้
การกระทำอันน่าชื่นชมของเต๋า สามารถยกระดับผู้ทำเหนือผู้อื่นได้
แม้แต่คนที่ไม่ดี ก็ไม่ได้ถูกทอดทิ้งโดยเต๋าดังนั้นเมื่อกษัตริย์ขึ้นครองราชย์ในฐานะโอรสแห่งสวรรค์
และได้แต่งตั้งสามขุนนางสำคัญ
แม้ว่าขุนนางจะส่งสัญลักษณ์ยศขนาดใหญ่เท่าที่สองมืออุ้มได้ เป็นการนำหน้ารถม้าในราชสำนัก
สิ่งของเหล่านั้นก็ยังไม่เทียบเท่ากับบทเรียนของเต๋า ที่สามารถประทานได้แม้เพียงการคุกเข่าเหตุใดบรรพชนจึงให้คุณค่ากับเต๋ามากเช่นนี้?
ก็เพราะว่าใครก็ตามสามารถแสวงหามันได้
และผู้กระทำผิดก็สามารถหลีกพ้นจากบาปของตนด้วยมัน
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้คนทั้งปวงถือว่าเต๋าเป็นสิ่งล้ำค่าที่สุด
เล่าจื๊อสอนว่า เกียรติและอำนาจภายนอกไม่อาจเทียบได้กับคุณค่าที่ได้จากการดำเนินชีวิตตามเต๋า เพราะเต๋าให้ความสง่างามแก่ผู้พูดและยกย่องผู้กระทำโดยไม่ต้องอาศัยตำแหน่งหรือทรัพย์สิน เมื่อผู้มีอำนาจรู้จักถ่อมตนและเดินตามเต๋า เขาจะเป็นที่เคารพโดยไม่ต้องบังคับผู้ใด และแม้ผู้ที่เคยหลงผิด หากกลับใจด้วยความจริงใจ เต๋าก็ยังเปิดทางให้เขาเริ่มต้นใหม่
นิทานเรื่องนี้จึงถูกแต่งขึ้นเพื่อสะท้อนคำสอนในบทนี้ โดยเปรียบการสร้างสายน้ำของชายผู้ไร้ชื่อกับการ “ปฏิบัติตามวิถีเต๋า” ที่มอบประโยชน์แก่โลกโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน แม้กษัตริย์ยังต้องคำนับต่อความดีอันเกิดจากความถ่อมตนเช่นนั้น เพราะเต๋ามิใช่สิ่งที่คนใดเป็นเจ้าของได้ แต่เป็นหนทางที่เปิดให้ทุกคนเข้าถึงได้ตราบเท่าที่เขายอมปล่อยวาง
คติธรรม: “เต๋าไม่เลือกข้างคนดีหรือคนชั่ว แต่มอบหนทางแก่ทุกผู้ให้กลับสู่ความดีได้เสมอ ผู้ที่เดินตามเต๋า จึงไม่ต้องแสวงหาเกียรติ เพราะเกียรติจะตามมาเอง”

