ในโลกนี้ หลายคนมักเชื่อว่าความสำเร็จเกิดจากการควบคุมทุกสิ่ง แต่มีหนทางที่ลึกซึ้งกว่าในคำสอนของเต๋า ซึ่งบอกว่า การปล่อยให้สิ่งต่าง ๆ ดำเนินไปตามธรรมชาติ คือทางที่แท้จริงของชีวิต
มีนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องหนึ่ง ที่เล่าจื๊ออธิบายถึงการดำเนินชีวิตที่ไร้การบังคับ ผ่านเรื่องราวของแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ที่ค้นพบความสมดุลในตัวเอง โดยไม่ต้องควบคุมหรือฝืนธรรมชาติของชีวิต กัลนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องความเป็นไปได้ทั้งปวงในหนทางแห่งเต๋า

เนื้อเรื่องนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องความเป็นไปได้ทั้งปวงในหนทางแห่งเต๋า
ข้าจำได้ว่าเมื่อหลายปีก่อน ข้าได้รู้หลักเต๋าสำคัญข้อหนึ่งโดยบังเอิญ ข้าได้พบแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง เขาคือผู้ที่สู้รบกับศัตรูในสนามรบด้วยความดุร้ายและความมุ่งมั่น แต่กลับเป็นผู้ที่สงบและเมตตาในยามที่ชัยชนะมาถึง
ข้าเดินตามเขาไปในช่วงที่สงครามได้สิ้นสุดลง เขาหยุดที่ริมแม่น้ำและมองไปยังท้องฟ้า ในตอนนั้น ข้าก็ถามเขาไปว่า “ท่านแม่ทัพ ทำไมท่านถึงเลือกแสดงความเมตตาแก่ศัตรูที่แพ้ไปแล้ว?”
แม่ทัพหันมายิ้มให้ข้า พร้อมกับกล่าวว่า “เพราะในสมรภูมิข้าคือสัตว์ป่า ผู้กระหายเลือด แต่เมื่อการต่อสู้สิ้นสุดลง ข้าคือคนที่ต้องแสดงความเมตตา ไม่ต่างจากทารกที่ยังไร้เดียงสา”
ข้าเงียบไปและสังเกตสีหน้าของท่านแม่ทัพ เขากล่าวต่อ “วิญญาณสองส่วนในตัวข้าทำให้ข้าสามารถเป็นนักรบที่ดุร้าย แต่ก็รู้จักหยุดและแสดงความอ่อนโยนเมื่อการต่อสู้สิ้นสุดลง”
ข้าถามต่อไปด้วยความสงสัย “ท่านไม่กลัวว่าความเมตตาจะทำให้ท่านอ่อนแอหรือ?”
แม่ทัพหันมายิ้มอ่อน ๆ แล้วตอบว่า “การต่อสู้ในสมรภูมิไม่ใช่การต่อสู้กับศัตรูเพียงอย่างเดียว มันคือการต่อสู้กับความโกรธ ความโลภในตัวเราเอง การแสดงความเมตตาไม่ทำให้ข้าอ่อนแอ แต่มันทำให้ข้ามีความแข็งแกร่งที่แท้จริงในใจ”
วันหนึ่ง ข้าตามท่านแม่ทัพไปยังที่ลับแห่งหนึ่งในป่า ท่านแม่ทัพนั่งลงบนหินใหญ่และเริ่มฝึกการหายใจอย่างสงบ ข้าจึงนั่งข้าง ๆ และถามเขาว่า “ท่านแม่ทัพ ท่านทำเช่นนี้ทุกวันหรือ?”
แม่ทัพยิ้มและตอบว่า “ใช่ ข้าเริ่มฝึกการหายใจอย่างไม่แบ่งแยกใจ แต่ก่อนข้าคิดว่าอำนาจและชัยชนะคือสิ่งที่ทำให้ข้าแข็งแกร่ง แต่เมื่อข้าฝึกหายใจ ข้ากลับพบว่าความสงบและความอ่อนโยนคือพลังที่แท้จริง”
ข้าเงียบไป และถามว่า “ท่านไม่รู้สึกอ่อนแอหรือ?”
แม่ทัพตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่สงบ “การแสดงความอ่อนโยนไม่ได้หมายความว่าข้าอ่อนแอ ในโลกนี้ ไม่มีสิ่งใดที่จะยืนยาวหากขาดความสงบ การทำทุกสิ่งด้วยใจที่ถ่อมตน คือการดำเนินชีวิตตามวิถีของเต๋า”

ข้าเริ่มเข้าใจในคำพูดของท่านแม่ทัพ และเริ่มตระหนักว่า ความสงบภายในจิตใจคือสิ่งที่ทำให้เราแข็งแกร่ง ไม่ใช่การปกครองด้วยความรุนแรงหรือการแสดงอำนาจเหนือผู้อื่น
หลังจากผ่านการฝึกฝนการหายใจและการควบคุมจิตใจไปได้สักระยะ ท่านแม่ทัพเริ่มมองเห็นสิ่งที่ข้าคิดว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต
เขาเริ่มชำระจิตใจจากความโกรธ ความโลภ และความรุนแรงที่สะสมมาทั้งชีวิต ความฝันและการปกครองที่เคยมีดูเหมือนจะไม่สำคัญอีกต่อไป ท่านแม่ทัพตัดสินใจที่จะถอนตัวจากความยิ่งใหญ่ที่เขาสร้างขึ้นมา
ท่านแม่ทัพมองข้าและกล่าวว่า “เมื่อข้าทำลายทุกภาพแห่งการยึดถือ การปกครองไม่ต้องมีเป้าหมายอีกต่อไป ข้ารู้ว่าความยิ่งใหญ่ไม่อยู่ที่การสะสมสิ่งใด แต่ที่การปล่อยให้ทุกสิ่งเป็นไปตามธรรมชาติ”
ท่านแม่ทัพปฏิเสธที่จะขึ้นครองบัลลังก์เมื่อมีการเสนอให้เขาเป็นจักรพรรดิ และเลือกที่จะเป็นที่ปรึกษาแทน ความเชื่อของเขาคือการปกครองโดยไม่ต้องควบคุม การปล่อยให้ผู้คนทำสิ่งที่ถูกต้องโดยธรรมชาติของพวกเขาเอง
เขาพูดต่อว่า “ข้าไม่ต้องการอำนาจเหนือผู้อื่น แต่ข้าเลือกที่จะช่วยให้ผู้อื่นเข้าใจความสงบในตัวเอง การปกครองที่แท้จริงคือการไม่บังคับ และให้ทุกสิ่งเป็นไปตามวิถีเต๋า”
วันหนึ่ง ท่านแม่ทัพเดินไปยังทุ่งหญ้าที่ว่างเปล่า ร่างกายสูงโปร่งของท่านเดินช้า ๆ ท่ามกลางสายลมเย็น ๆ ข้าตามท่านไปและพบว่า ท่านนั่งลงบนพื้นและเริ่มหายใจลึกอย่างสงบ ท่านหมุนมาหาข้าและกล่าวว่า “ข้าไม่จำเป็นต้องรู้ทุกสิ่ง แต่ข้าเข้าใจวิธีที่ทุกสิ่งทำงานตามธรรมชาติ”
ข้าหันไปมองท้องฟ้ากว้างและคิดถึงคำพูดของท่าน ในช่วงเวลาที่ท่านแม่ทัพอยู่ในตำแหน่งสูงสุด เขาไม่ได้ปกครองด้วยความยิ่งใหญ่และการควบคุม แต่เขาปกครองด้วยความเข้าใจในธรรมชาติของทุกสิ่ง ทุกการกระทำของท่านดูเหมือนจะเป็นการทำโดยไม่ทำ ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นการปกครองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแบบเต๋า
ท่านแม่ทัพกล่าวต่อไป “เจ้าจะรู้ว่าเต๋าคืออะไร เมื่อเจ้ารู้จักปล่อยวาง ไม่พยายามจะทำสิ่งใดให้สำเร็จ แต่ให้ทุกสิ่งเป็นไปตามทางของมันเอง”
ท่านได้อธิบายว่า “ข้าได้เรียนรู้ว่าทุกสิ่งในโลกมีธรรมชาติของมัน ทุกสิ่งเกิดขึ้นตามเวลาและเหตุผล ข้าไม่สามารถควบคุมมันได้ แต่สามารถเป็นส่วนหนึ่งของมันได้ สักวันหนึ่งข้าก็ต้องจากไป ไม่มีใครรักษาอำนาจได้ตลอดไปหรอก กำเนิดขึ้นและล่มสลายตามกาลเวลาและธรรมชาติ”
ท่านแม่ทัพพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “การปกครองไม่ได้เกี่ยวกับการครอบครองหรือการบังคับ แต่คือการทำให้ทุกสิ่งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และเมื่อเราทำเช่นนั้น ทุกอย่างจะมาถึงที่ของมันเอง”
ในช่วงเวลานั้น ข้าได้เข้าใจว่า “วิถีของเต๋าคือการยอมรับทุกสิ่งอย่างเป็นธรรมชาติ การหยุดพยายามเปลี่ยนแปลงและปล่อยให้สิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นเองตามเวลา”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ความเป็นไปได้ทั้งปวงในหนทางแห่งเต๋า เกิดจากการปล่อยวางและการทำตามธรรมชาติ ไม่ต้องพยายามควบคุมหรือเปลี่ยนแปลงสิ่งใด แต่ปล่อยให้ทุกสิ่งเป็นไปตามวิถีของมัน
ในนิทานนี้ แม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ได้เรียนรู้ว่า การปกครองที่แท้จริงและความสำเร็จในชีวิตไม่ได้อยู่ที่การบังคับหรือการควบคุม แต่คือการเข้าใจและยอมรับในธรรมชาติของทุกสิ่ง การหยุดพยายามจะควบคุมหรือแสวงหาผลลัพธ์ที่เกินพอดี คือการปล่อยให้ชีวิตและการปกครองดำเนินไปตามธรรมชาติ ในที่สุดทุกสิ่งจะเป็นไปอย่างมีความสมดุลและสงบสุข
อ่านต่อ: นิทานเต้าเต๋อจิงสอนชีวิตผ่านปรัชญาวิถีเต๋าในรูปแบบนิทานอ่านง่าย ๆ
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องความเป็นไปได้ทั้งปวงในหนทางแห่งเต๋า (อังกฤษ: Possibilities Through The Dao) นิทานเรื่องนี้มีรากฐานมาจากคัมภีร์เต้าเต๋อจิง บทที่ 10 ซึ่งเป็นการกล่าวถึงคุณลักษณะของเต๋าและการบรรลุถึงความสงบและความสมดุลในชีวิต เล่าจื๊อได้สอนว่า เมื่อปัญญาและวิญญาณถูกผสานเป็นหนึ่งเดียวอย่างสมบูรณ์ ความสมดุลจะเกิดขึ้นในตัวบุคคล ซึ่งสามารถรักษาความสงบและความสง่างามได้โดยไม่ต้องบังคับหรือฝืน โดยเล่าจื๊อได้บันทึกไว้ว่า
เป็นไปได้ทั้งปวงในหนทางแห่งเต๋า
เมื่อวิญญาณแห่งปัญญาและวิญญาณสัตว์ผสานกันในอ้อมกอดเดียว พวกมันก็สามารถคงอยู่ร่วมกันได้ไม่แยกจากกัน เมื่อเรามุ่งเน้นให้ความสำคัญกับลมหายใจ (ซึ่งเป็นพลังชีวิต) และทำให้มันมีความยืดหยุ่นสูงสุด เราจะสามารถเป็นเหมือนทารกที่ไร้เดียงสา เมื่อเขาล้างภาพที่ซับซ้อนที่สุดในจินตนาการออกจากจิตใจ เขาจะสามารถเป็นผู้ที่ไร้ตำหนิ
ในการรักประชาชนและปกครองบ้านเมือง เขาจะทำได้โดยไม่ต้องกระทำอะไรที่มีจุดหมายหรือมีการบังคับ ในการเปิดและปิดประตูสวรรค์ เขาจะทำได้อย่างนุ่มนวลเหมือนนกตัวเมีย เมื่อปัญญาของเขาขยายออกไปในทุกทิศทาง เขาจะดูเหมือนไม่รู้สิ่งใดเลย
วิถีเต๋าผลิตและเลี้ยงดูทุกสิ่ง มันผลิตสิ่งเหล่านั้นโดยไม่อ้างว่าเป็นเจ้าของ มันทำทุกสิ่ง โดยไม่โอ้อวด และปกครองทุกสิ่ง โดยไม่ควบคุมมัน นี่คือสิ่งที่เรียกว่า “คุณสมบัติอันลึกลับ” ของเต๋า
ในบทนี้ เล่าจื๊อได้กล่าวถึงการรวมกันของสองวิญญาณในตัวบุคคล วิญญาณแห่งความดุร้ายที่เหมือนสัตว์ป่า และวิญญาณแห่งปัญญาและความสงบที่เหมือนทารก เมื่อทั้งสองวิญญาณสามารถรวมตัวกันได้อย่างสมบูรณ์ ความสมดุลในชีวิตจึงเกิดขึ้น การไม่ฝืนหรือแสวงหาความยิ่งใหญ่ที่เกินขอบเขตคือหนทางที่จะเข้าถึง “คุณสมบัติอันลึกลับ” ของเต๋าที่ไม่สามารถจับต้องได้ แต่กลับสามารถสัมผัสได้จากการปล่อยให้สิ่งต่าง ๆ เป็นไปตามธรรมชาติ
นิทานเรื่องนี้จึงถูกแต่งขึ้นเพื่อสะท้อนคำสอนของเต๋า โดยแสดงให้เห็นว่า การทำงานอย่างไร้การฝืนและปล่อยให้ทุกสิ่งเป็นไปตามธรรมชาติ เป็นหนทางที่จะทำให้เราเข้าถึงความสมดุลและเข้าใจในเต๋าอย่างลึกซึ้ง
คติธรรม: “การดำเนินชีวิตที่แท้จริงไม่ได้มาจากการบังคับหรือพยายามควบคุมทุกสิ่ง แต่คือการปล่อยให้ทุกสิ่งเป็นไปตามธรรมชาติของมัน โดยไม่ยึดติดหรือแสดงอำนาจใดๆ การทำสิ่งต่างๆ อย่างไร้การบังคับและปล่อยให้ชีวิตไหลไปเอง คือหนทางที่แท้จริงของเต๋า”