ปกนิทานพื้นบ้านไทยภาคอีสานเรื่องผีตาโขน

นิทานพื้นบ้านไทยภาคอีสานเรื่องผีตาโขน

บางเรื่องราวไม่ได้มาเคาะประตูอย่างสุภาพ หากแต่มันเดินผ่านเสียงกลอง เสียงลม หรือเงาในยามค่ำคืน บางคำถามในชีวิตเราอาจไม่เคยมีคำตอบชัดเจน… เพราะมันไม่ได้ต้องการคำตอบ แต่ต้องการเพียง “การรับฟัง” และบางครั้ง ผู้ที่ถูกรำลึกไม่ใช่เพราะเขาอยู่ตรงหน้าเรา แต่เพราะเรากล้าเงี่ยหูฟังในความเงียบระหว่างจังหวะกลอง

มีนิทานพื้นบ้านเรื่องหนึ่ง ที่เล่าถึงเด็กชายผู้ตั้งคำถามกับเสียงที่ไม่มีใครอยากฟัง เสียงของผู้ถูกลืม ผู้ไม่เคยได้ร่วมขบวนใด ๆ อย่างแท้จริง เรื่องของกลอง… ที่ผีเป็นคนตีก่อนใคร กับนิทานพื้นบ้านไทยภาคอีสานเรื่องผีตาโขน

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านไทยภาคอีสานเรื่องผีตาโขน

เนื้อเรื่องนิทานพื้นบ้านไทยภาคอีสานเรื่องผีตาโขน

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ลึกเข้าไปในหุบเขาทางภาคอีสาน อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย มีอำเภอเล็ก ๆ อำเภอหนึ่งที่ขึ้นชื่อเรื่องขบวนแห่สุดแปลก ที่ผู้คนสวมหน้ากากยักษ์ตาโต โบกสะบัดกระดิ่งและร้องรำอย่างสนุกสนานทุกปีในงานบุญใหญ่เดือนหก

เด็กชายชื่อลือชัย อายุสิบสองปี เกิดและโตมาในหมู่บ้านนี้ เสียงกลอง เสียงขลุ่ย เสียงหัวเราะในงานผีตาโขนคือภาพจำในวัยเด็กของเขา

“พ่อ ๆ ทำไมผีต้องออกมาเต้นด้วยล่ะ ?” ลือชัยเคยถามพ่อในวัยห้าขวบ

“เขาว่ากันว่า ผีมันดีใจที่พระเวสสันดรกลับมา ผีเลยขอร่วมขบวนกับชาวบ้านแห่รับท่านกลับเมืองนะลูก” พ่อของเขาตอบพร้อมรอยยิ้ม

แต่ปีนี้แปลกไป…

คืนนั้นเป็นคืนเดือนมืด เสียงจิ้งหรีดดังแว่วในความเงียบ ไม่มีงาน ไม่มีไฟ ไม่มีใครออกมาเดินถนน

ทว่าลือชัยกลับสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก “ตุ้ม… ตุ้ม… ตุ้ม…”

เสียงกลองก้องมาจากป่าเขาด้านหลังหมู่บ้าน เสียงมันดังเป็นจังหวะ… ไม่เร็ว ไม่ช้า แต่น่าขนลุกอย่างประหลาด

เขาขยี้ตา รีบวิ่งไปปลุกแม่ “แม่ ๆ ได้ยินเสียงกลองไหม ? ผีตาโขนหรือเปล่า ?”

แม่เพียงหลับตานิ่งแล้วส่ายหน้า “ไม่มีงานผีตาโขนกลางดึกหรอกลูก… เอ็งนอนเถอะ เดี๋ยวเสียงก็หายไปเอง”

แต่มันไม่หาย… เสียงนั้นยังดังอยู่จนถึงรุ่งเช้า

เช้าวันถัดมา ลือชัยเล่าเรื่องเสียงกลองให้เพื่อนรักชื่อม่อน ฟัง “ข้าก็ได้ยินเหมือนกันลือ! มันมาจากป่าทางเหนือแน่ ๆ” ม่อนกระซิบตื่นเต้น

หลังเลิกเรียน ทั้งคู่แอบปีนรั้วหลังวัด มุ่งหน้าสู่ป่าลึกตามเสียงกลองที่ลือชัยจำจังหวะได้แม่น

แสงแดดลอดผ่านต้นไม้สูง เสียงป่าครวญครางคล้ายจะเตือนให้กลับไป แต่เด็กสองคนยังเดินต่อ

จนกระทั่ง…

พวกเขาพบปากถ้ำที่เต็มไปด้วยหน้ากากไม้เก่าคร่ำ กระดิ่งสนิมเขียว และธงผ้ายับเยินที่มีลายคล้ายรูปผี

“ม่อน… เรากลับกันเถอะ ข้าว่าไม่ดีแล้วล่ะ…” ลือชัยเริ่มใจฝ่อ

ทันใดนั้น เสียงชายแก่ก็ดังขึ้นจากเงามืดในถ้ำ “พวกเอ็งมาทำไมถึงถ้ำผีตาโขน? ใครพาพวกเอ็งมา?”

ชายแก่ห่มผ้าเก่า ใบหน้าลึกมีรอยยับนับร้อย ดวงตาข้างหนึ่งขุ่นมัว แต่อีกข้างเป็นประกาย

ลือชัยกลืนน้ำลาย ม่อนตัวแข็งทื่อ แต่ลือชัยรวบรวมความกล้า “ข้ากับเพื่อนได้ยินเสียงกลองเมื่อคืน… ข้าอยากรู้ว่ามันคืออะไรครับ”

ชายแก่พยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะยิ้มแปลก ๆ “งั้นเอ็งจงนั่งลง… ข้าจะเล่าให้ฟังถึงเสียงกลองนั้น มันไม่ใช่ของชาวบ้าน… แต่เป็นของพวกที่โลกนี้ลืมไปแล้ว…”

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านไทยภาคอีสานเรื่องผีตาโขน 2

ชายชราเล่าด้วยเสียงแผ่วช้า แต่ชัดเจนเหมือนเสียงกลองในคืนมืด “นานมาแล้ว… ก่อนจะมีเมือง ก่อนจะมีวัด ก่อนจะมีถนน พื้นดินตรงนี้คือป่าศักดิ์สิทธิ์ที่ผีสิงสถิตอยู่”

“เมื่อพระเวสสันดรกลับมาเกิดใหม่ และจะเดินทางกลับเข้าเมือง เทวดา คน สัตว์ และผีต่างปีติ… ขบวนแห่จึงยาวเหยียดจนสุดสายตา”

“แต่พวกผี… แม้อยากร่วมแห่ ก็ไม่มีใครมองเห็น ไม่มีใครตีกลอง ไม่มีใครรำต้อนรับ… พวกเขาจึงสร้างหน้ากากขึ้น สร้างเสียงขึ้นจากกระดิ่งและกลอง เพื่อจะได้เป็นส่วนหนึ่งของงานแห่นั้น”

ม่อนฟังด้วยตาโต “แล้วพวกผีก็ได้ร่วมขบวนไหมครับ?”

“ได้… แต่เพียงครั้งเดียว”

ชายชรานิ่งไปครู่หนึ่ง ดวงตาหม่นลง “เมื่อถึงเมือง พวกผีไม่กล้าเข้าไป พวกเขาถูกลืม ไม่มีใครมอบข้าว ไม่มีใครจุดธูป ไม่มีใครกล่าวถึง… ผีเหล่านั้นจึงพากันหลบกลับเข้าป่า”

“แต่เสียงกลอง… ยังคงดังก้องทุกปี เพราะพวกเขาหวังว่าสักวันหนึ่งจะได้ร่วมขบวนอีกครั้ง… ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของศรัทธา”

ลือชัยกับม่อนนั่งนิ่ง หัวใจเหมือนถูกสะกิดอะไรบางอย่างที่ลึกมาก

“ปู่ครับ… แล้วเราจะทำอะไรได้บ้าง ?” ลือชัยถาม

ชายชราเพียงยิ้ม แล้วพูดสั้น ๆ “คืนพรุ่งนี้… พวกเอ็งจะรู้เอง”

รุ่งเช้า หมู่บ้านโนนผีตาโขนตื่นแต่ไก่โห่

ทุกคนต่างแปลกใจ เมื่อเด็กสองคนประกาศเสียงดังหน้าศาลาวัด “ปีนี้… เราขอแห่ให้ผีด้วย! ผีที่เคยร่วมขบวนกับพระเวสสันดร ผีที่ไม่มีใครพูดถึง!”

บางคนหัวเราะ บางคนส่ายหน้า แต่ก็มีผู้เฒ่าผู้แก่ที่นิ่งไป สีหน้าคล้ายจะจำอะไรได้ “เขาว่ากันว่า… สมัยปู่ทวดก็มีคำบอกเล่าแบบนี้เหมือนกันนะ…”

เมื่อกลองใบแรกดังขึ้น เสียงก็สะท้อนกลับมาจากป่า “ตุ้ม… ตุ้ม… ตุ้ม…”

หน้ากากผีตาโขนที่เคยใช้แล้ว ถูกนำมาปัดฝุ่น ติดกระดิ่ง เสริมผ้าใหม่

ผู้คนร่วมแห่โดยใส่ใจทุกรายละเอียด ไม่เพียงเพื่อความสนุก… แต่เพื่อให้ “บางสิ่ง” ได้ยิน

และในช่วงที่ขบวนแห่ใกล้จบ ลือชัยหยุดอยู่ใต้ต้นโพธิ์หน้าวัด

เขารู้สึกถึงสายลมเย็นและเสียงกระซิบแผ่วเบา “ขอบใจ… ที่พาพวกข้าออกมารำอีกครั้ง…”

ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครจับต้อง

แต่ทุกคนได้ยินเสียงกลองจากป่าดังขึ้นในจังหวะสุดท้าย เหมือนมีบางสิ่งร่วมเล่นด้วย

คืนนั้น ท้องฟ้าเหนือโนนผีตาโขนเต็มไปด้วยดาว และไม่มีใครลืม… ว่าผีตาโขน ไม่ใช่เพียงการละเล่น แต่มันคือเรื่องเล่าระหว่าง “โลกของคน” กับ “โลกที่ถูกลืม”

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านไทยภาคอีสานเรื่องผีตาโขน 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ความศรัทธาที่แท้จริงไม่ได้อยู่เพียงในพิธีหรือขบวนแห่ แต่เกิดขึ้นเมื่อเราระลึกถึงสิ่งที่เคยถูกหลงลืมด้วยความเข้าใจและเมตตา การมองเห็น “ผี” ไม่ใช่ด้วยความกลัว แต่ด้วยการยอมรับว่าเขาเคยเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราว เหมือนการมองเห็นด้านที่หล่นหายของหัวใจเราเอง

เด็กชายลือชัยไม่ได้ช่วยผีด้วยคาถา หรือการปราบวิญญาณใด ๆ แต่ช่วยด้วยการฟังอย่างตั้งใจและตั้งคำถามอย่างบริสุทธิ์ เสียงกลองในความมืดจึงไม่ได้เป็นสัญญาณของอันตราย แต่คือเสียงเรียกร้องความเข้าใจจากอดีตที่ถูกหลงลืม และเมื่อขบวนแห่ถูกสร้างขึ้นเพื่อรวมพวกเขาอีกครั้ง เมืองและป่าจึงไม่มีเส้นแบ่ง วิญญาณและชีวิตจึงกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน

อ่านต่อ: นิทานพื้นบ้านไทยสนุก ๆ สั้น ๆ ได้สาระและข้อคิดดี ๆ ไม่เพียงเฉพาะภาคอีสาน แต่ครบทั้ง 4 ภาค

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานพื้นบ้านไทยภาคอีสานเรื่องผีตาโขน มีรากฐานจากตำนานพื้นบ้านจริงของภาคอีสาน โดยเฉพาะในพื้นที่อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของประเพณีแห่ผีตาโขน หนึ่งในงานบุญสำคัญที่เรียกว่าบุญหลวงและการละเล่นผีตาโขน ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในช่วงงานเทศน์มหาชาติ

ตำนานสำคัญที่เกี่ยวข้องคือเรื่องพระเวสสันดรชาดก ซึ่งเล่าว่าเมื่อพระเวสสันดรกลับเข้าเมือง ชาวบ้านต่างดีใจและจัดขบวนแห่ต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่จนกระทั่ง “ผี” หรือ “วิญญาณ” ที่เคารพรักพระเวสสันดรก็ออกมาร่วมขบวนด้วย นำไปสู่ความเชื่อว่าผีเหล่านี้ไม่ได้มาเพื่อหลอกหลอน แต่มาด้วยปีติยินดี และอยากมีส่วนร่วมกับมนุษย์อีกครั้ง

จากตำนานนี้ ผู้คนจึงสืบทอดประเพณีผ่านการแต่งกายเป็นผี สวมหน้ากากไม้ขนาดใหญ่ ตกแต่งด้วยสีสันฉูดฉาด พร้อมถือกระดิ่งและอุปกรณ์ส่งเสียง เพื่อจำลองความรื่นเริงของเหล่าวิญญาณ

นิทานเรื่องนี้นำตำนานและประเพณีจริง มาเล่าใหม่ในรูปแบบนิทาน เพื่อสื่อถึงคุณค่าของความทรงจำ ศรัทธา และการไม่ลืมผู้ถูกหลงลืม โดยคงจิตวิญญาณของผีตาโขนในฐานะ “ผู้ร่วมขบวนแห่ที่มองไม่เห็น” ได้อย่างลึกซึ้งครับ

คติธรรม: “สิ่งที่โลกหลงลืม… อาจเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้จิตใจเรายังเป็นมนุษย์”