ปกนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องเกียรติยศลวงที่ทำร้ายตน

นิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องเกียรติยศลวงที่ทำร้ายตน

ในโลกนี้ หลายคนมักคิดว่าการโอ้อวดตนเองหรือแสดงความสามารถอย่างสุดโต่ง จะทำให้ได้รับความเคารพและยกย่อง แต่คำสอนของเต๋ากลับบอกว่า การดำเนินชีวิตด้วยความสงบ เรียบง่าย และจริงใจต่างหากคือหนทางสู่ความเคารพและความมั่นคงที่แท้จริง

มีนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องหนึ่ง ที่เล่าจื๊อได้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของความสงบและความเมตตาอันเจ็บปวดและเกียรติยศลวงที่ทำร้ายตนเอง ผ่านภาพของผู้คนที่พยายามยกตนโอ้อวด กับผู้ที่ดำเนินชีวิตด้วยความจริงใจและเรียบง่าย แม้ไม่ได้พูดหรืออวดใด ๆ แต่กลับได้รับความศรัทธาและเคารพจากผู้อื่นโดยธรรมชาติ กับนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องเกียรติยศลวงที่ทำร้ายตน

ภาพประกอบนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องเกียรติยศลวงที่ทำร้ายตน

เนื้อเรื่องนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องเกียรติยศลวงที่ทำร้ายตน

วันหนึ่ง ข้าได้เดินทางผ่านหุบเขาอันกว้างใหญ่ ท่ามกลางสายลมที่พัดเย็นและกลิ่นดอกหญ้าที่ลอยมาตามทาง สายตาของข้าสะดุดกับชายหนุ่มผู้หนึ่ง เขาพยายามเขย่งปลายเท้าเพื่อมองให้ไกลออกไปบนเส้นทางเบื้องหน้า

ในตอนแรกเขาดูสูงส่งกว่าคนอื่น แต่เพียงครู่เดียว ร่างกายก็เริ่มสั่นคลอน เสียงลมหายใจหนักหน่วงดังออกมา “อีกนิด… อีกนิดเท่านั้น” เขากัดฟันพูดกับตนเอง แต่ไม่นานนัก ร่างก็เสียสมดุลและล้มลงบนพื้นดิน

ข้าได้แต่ยืนมอง แล้วในเวลาไม่นาน ข้าก็เห็นชายอีกคน พยายามก้าวเดินโดยเหยียดขายาวเกินไป ราวกับต้องการก้าวเพียงไม่กี่ครั้งก็จะถึงจุดหมาย แต่แทนที่จะง่าย กลับดูทุลักทุเลและเต็มไปด้วยความลำบาก

ข้าหลับตาครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจ “สิ่งใดที่ฝืนเกินไป ไม่สอดคล้องกับธรรมชาติของร่างกายและจิตใจ สุดท้ายก็ย่อมไม่มั่นคง” ภาพตรงหน้านั้น บอกคติได้มากกว่าพันถ้อยคำ

ข้าเดินเข้าสู่เมืองใหญ่ ถนนหินทอดยาวผ่านตลาดที่คึกคัก เต็มไปด้วยเสียงผู้คนเจรจาซื้อขาย ข้าสังเกตเห็นกลุ่มชายหนุ่มบางคนยืนกลางลานตลาด เขาเชิดอกขึ้นสูง สีหน้าเต็มไปด้วยความมั่นใจ ราวกับต้องการให้ทุกสายตาจับจ้องอยู่ที่ตนเอง

“พวกเจ้ารู้หรือไม่ ข้าคือผู้ที่มีวิชาความรู้เหนือกว่าผู้ใดในเมืองนี้!” เสียงของเขาดังแข่งกับเสียงผู้ค้า บางครั้งเขาโบกมืออย่างโอ่อ่าเพื่อเรียกความสนใจ แต่ผู้คนรอบข้างกลับเพียงเหลือบมอง แล้วก็หันกลับไปสนใจสินค้าที่ตนกำลังเลือกซื้อ

ชายอีกคนหนึ่งพูดเสียงดังไม่แพ้กัน “ข้าเดินทางมาทั่วสารทิศ รู้จักตำรามากกว่าผู้ใด หากใครไม่เชื่อ มาลองถามข้าดูสิ!” เขาหัวเราะเยาะเหมือนตัวเองอยู่เหนือทุกคน

แต่สิ่งที่ข้าเห็นในสายตาของผู้คนรอบ ๆ กลับตรงกันข้าม พวกเขามองด้วยความเบื่อหน่าย หลายคนส่ายหน้า บางคนพูดพึมพำ “คนพวกนี้ เสียงดังยิ่งนัก แต่หัวใจกลับว่างเปล่า”

ข้าสะท้อนในใจว่า “แท้จริงแล้ว การโอ้อวดไม่อาจทำให้ผู้คนยอมรับได้ หากจิตใจไร้สาระและขาดความจริง”

ภาพประกอบนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องเกียรติยศลวงที่ทำร้ายตน 2

ข้าเดินต่อไปยังตรอกเล็กแห่งหนึ่งที่เงียบสงบ ต่างจากความวุ่นวายในตลาด ที่นั่นข้าได้พบชายชราผู้หนึ่ง นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้เก่า ๆ ข้างประตูบ้าน ร่างกายเขาผอมบาง เสื้อผ้าธรรมดา ไม่ได้ประดับประดาด้วยสิ่งใด แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความอบอุ่น

เมื่อมีคนผ่าน เขายกมือช่วยหิ้วของให้หญิงชราอีกคนโดยไม่ต้องมีใครร้องขอ หรือยื่นน้ำดื่มให้เด็กเล็กที่วิ่งเล่นอย่างเหนื่อยหอบ เขาไม่พูดโอ้อวด ไม่ยกตนข่มใคร เพียงยิ้มบาง ๆ และทำสิ่งเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยความจริงใจ

หญิงชราที่ได้รับความช่วยเหลือเอ่ยขึ้นด้วยความซาบซึ้ง “ท่านช่างมีน้ำใจนัก แม้เพียงเล็กน้อย แต่กลับทำให้ใจของข้าเบาสบาย”

ผู้คนในละแวกนั้นต่างหันมามองด้วยสายตาเคารพโดยไม่ต้องมีคำประกาศใด ๆ ข้าได้แต่ครุ่นคิดในใจว่า “ความสงบและเรียบง่ายนี้เอง คือสิ่งที่ดึงดูดผู้คนอย่างแท้จริง”

เมื่อข้าเดินออกจากเมือง ความคิดทั้งหลายยังคงวนเวียนในใจ ข้าหันกลับไปมองตลาดที่เต็มไปด้วยเสียงโอ้อวด แล้วเปรียบเทียบกับตรอกเล็กที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มสงบ

ข้าพึมพำกับตัวเองเบา ๆ “ผู้ที่พยายามยกตนขึ้นสูง ย่อมตกต่ำลงในสายตาผู้อื่น เปรียบเหมือนเศษอาหารที่เหลือทิ้ง หรือก้อนเนื้อร้ายที่ไร้ผู้ใดต้องการ”

แล้วข้าหยุดยืน มองท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ ลมพัดหญ้าเอนไปตามทาง ก่อนจะเอ่ยในใจด้วยความมั่นคงว่า

“แท้จริงแล้ว ผู้ที่เข้าใจเต๋า ไม่จำเป็นต้องโอ้อวดใด ๆ ความสงบเท่านั้น ที่ทำให้เขาสง่างามโดยธรรมชาติ และนี่คือหนทางที่ข้าจะเลือกเดิน”

ภาพประกอบนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องเกียรติยศลวงที่ทำร้ายตน 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… เกียรติยศลวงที่ทำร้ายตนอันเจ็บปวดเกิดขึ้นเมื่อผู้คนพยายามยกตนโอ้อวดหรือฝืนธรรมชาติของตนเอง เพราะแทนที่จะได้รับการยกย่องกลับถูกมองข้ามและถูกผลักไส เปรียบเหมือนเศษอาหารที่ไม่มีใครต้องการ ในทางตรงกันข้าม ความสงบและความเรียบง่ายต่างหากที่ทำให้เกิดการเคารพอย่างแท้จริง

ในเรื่อง เล่าจื๊อได้เห็นชายหนุ่มพยายามเขย่งปลายเท้าและเหยียดขายาว แต่กลับไม่มั่นคง เหมือนกับผู้คนในตลาดที่ชอบโอ้อวดความรู้ แต่กลับไม่ได้รับการยอมรับ ตรงข้ามกับชายชราผู้สงบ ที่ไม่พูดมากแต่ช่วยเหลือด้วยความจริงใจ ผู้คนกลับนับถือโดยธรรมชาติ เรื่องนี้จึงเปรียบชัดว่า ผู้ที่เข้าใจเต๋าย่อมไม่ยกตน แต่ใช้ความเงียบและความสงบเป็นพลังแท้จริง

อ่านต่อ: นิทานเต้าเต๋อจิงสรุปจากคัมภีร์เต้าเต๋อจิงเล่าในรูปแบบนิทานสนุกและเข้าใจง่ายได้ข้อคิดดี ๆ

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องเกียรติยศลวงที่ทำร้ายตน (อังกฤษ: Painful Graciousness) นิทานเรื่องนี้มาจากคัมภีร์เต้าเต๋อจิงบทที่ 24 ซึ่งกล่าวถึงความเมตตาและเกียรติยศอันลวงหลอกที่เจ็บปวด อันเกิดจากการโอ้อวดตนเองและฝืนธรรมชาติ การยกตนหรือแสดงตนเกินพอดี ไม่ได้นำมาซึ่งความเคารพหรือความสำเร็จที่แท้จริง แต่กลับก่อความทุกข์และถูกผลักไส การเข้าใจและปฏิบัติตามธรรมชาติของร่างกายและจิตใจ รวมถึงการดำเนินชีวิตด้วยความสงบและเรียบง่าย คือหนทางแห่งความสุขและการเคารพโดยไม่ต้องบังคับ เล่าจื๊อได้เขียนบทนี้ไว้ว่า:

ความสง่างามที่เจ็บปวด

ผู้ที่ยืนเขย่งเท้า ย่อมไม่มั่นคง
ผู้ที่ยืดขามากเกินไป ย่อมเดินไม่สะดวก
ผู้ที่โอ้อวดตนเอง ย่อมไม่เปล่งประกาย
ผู้ที่ยืนยันความคิดเห็นของตน ย่อมไม่โดดเด่น
ผู้ที่อวดอ้างตน ย่อมไม่ได้รับการยอมรับคุณความดี
ผู้ที่หลงตน ย่อมไม่ได้ความเหนือกว่า

สิ่งเหล่านี้ หากมองจากมุมมองของเต๋า
เหมือนเศษอาหารที่เหลือ หรือเนื้องอกบนร่างกาย
ซึ่งทุกคนย่อมรังเกียจ

ดังนั้น ผู้ที่ดำเนินตามหนทางของเต๋า
จะไม่ยอมรับหรือปล่อยให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น

เล่าจื๊อได้สอนว่า ผู้ที่เข้าใจคำสอนนี้ย่อมไม่ต้องแสดงตนให้เด่น หรือโอ้อวดความสามารถ แต่ใช้ความสงบและความจริงใจนำทางชีวิต ผู้คนรอบข้างจะเคารพและศรัทธาเองโดยธรรมชาติ เหมือนชายชราที่ช่วยเหลือด้วยความจริงใจ แม้ไม่มีคำพูดโอ้อวดใด ๆ แต่กลับได้รับความนับถืออย่างแท้จริง

นิทานเรื่องนี้จึงถูกแต่งขึ้นเพื่อสะท้อนคำสอนดังกล่าว โดยเปรียบผู้คนที่ยกตนโอ้อวดเหมือนเศษอาหารที่ใครก็ผลักไส และผู้ที่ดำเนินชีวิตด้วยความสงบเรียบง่ายเหมือนรากไม้มั่นคงที่ฝังลึกในดิน แม้ภายนอกจะดูเรียบง่าย แต่แท้จริงคือรากฐานแห่งความแข็งแรงและความเคารพที่ยั่งยืน นี่คือหัวใจของ ความเมตตาอันเจ็บปวด ที่เล่าจื๊ออยากให้ผู้คนได้ตระหนักและเรียนรู้

คติธรรม: “ผู้ที่โอ้อวดตน ย่อมถูกผลักไส แต่ผู้ที่สงบเรียบง่าย ด้วยความจริงใจ ย่อมได้รับความเคารพโดยไม่ต้องบังคับ”