ปกนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องครองบัลลังก์

นิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องครองบัลลังก์

ในโลกนี้ หลายคนมักคิดว่าการปกครองที่เข้มงวดและบังคับทุกสิ่งคือหนทางสู่ความสำเร็จ แต่คำสอนของเต๋าชี้ให้เห็นว่า การอยู่ร่วมกับธรรมชาติของเหตุการณ์ และไม่เบียดเบียนใคร คือวิถีที่ยั่งยืนที่สุด

มีนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องหนึ่ง ที่เล่าจื๊อถ่ายทอดผ่านเรื่องราวของฮ่องเต้ผู้ใกล้รวมแผ่นดิน เรื่องราวสะท้อนถึงการปกครองที่รู้จักความพอประมาณ และผลของการไม่เบียดเบียนผู้ใด ซึ่งเป็นบทเรียนลึกซึ้งเกี่ยวกับอำนาจ คุณธรรม และความสมดุลในโลกแห่งมนุษย์และวิญญาณ กับนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องครองบัลลังก์

ภาพประกอบนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องครองบัลลังก์

เนื้อเรื่องนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องครองบัลลังก์

เสียงกลองศึกดังก้องไปทั่วหุบเขา ม้าศึกจำนวนมหาศาลเคลื่อนไปตามทางดินแดง ทะยานเข้าสู่เมืองแล้วเมืองเล่า

บนหอคอยสูงกลางราชธานี ฮ่องเต้หนุ่มในชุดเกราะทองยืนมองแผ่นดินเบื้องล่างด้วยดวงตาเปี่ยมล้นอำนาจ เขาคือผู้ที่กำลังจะรวมรัฐทั้งห้าให้เป็นหนึ่งเดียวภายใต้ชื่อ “แผ่นดินรัฐจ้าว”

“เมื่อทุกสิ่งอยู่ในกำมือ ข้าจะสร้างยุคแห่งสันติ” เขากล่าวกับเหล่าขุนพล
เสียงตอบรับก้องสนั่น “ทรงพระเจริญ!”

แต่ข้างหลังเขา บัณฑิตชราผู้หนึ่งโค้งคำนับแล้วกล่าวอย่างแผ่วเบา “ฝ่าบาท การปกครองรัฐใหญ่ก็เหมือนการทำปลาตัวเล็กในหม้อ หากคนครัวใจร้อน พลิกแรงเพียงนิด เนื้อปลาก็จะแตกเละหมดสิ้น”

ฮ่องเต้หัวเราะเบา ๆ “หากไม่พลิกแรง ปลาจะไม่สุก!” คำพูดนั้นเหมือนสายลมที่พัดผ่าน ไม่มีใครกล้าเอ่ยท้วงอีก

เขาเริ่มเร่งรัดทุกอย่าง เก็บภาษีหนัก สั่งกองทัพออกศึกต่อเนื่อง เมืองต่าง ๆ ล้มลงราวโดมิโน ความรุ่งเรืองเข้ามาพร้อมเสียงโห่ร้องและกองไฟแห่งสงคราม

ฮ่องเต้ยืนมองแผนที่แผ่นดินที่ถูกระบายด้วยหมึกแดง เขามองจุดสุดท้ายที่ยังไม่ถูกยึด แล้วกระซิบกับตนเองว่า “อีกเพียงเมืองเดียว โลกทั้งใบนี้จะอยู่ในมือข้า”

แต่ในความเงียบของค่ำคืนนั้น เสียงระฆังเก่าจากสุสานบรรพชนกลับดังขึ้นเบา ๆ
“กง… กง… กง…” ทั้งที่ไม่มีใครแตะต้องมันเลย

รุ่งเช้า ข่าวเสียงระฆังลึกลับแพร่ไปทั่ววังหลวง นักพรตพากันเข้าทำนาย บ้างว่าเป็นลางดี บ้างว่าเป็นลางร้าย แต่ฮ่องเต้กลับกล่าวอย่างมั่นใจ “เป็นสัญญาณแห่งชัยชนะ! วิญญาณบรรพชนกำลังรับรู้ถึงความยิ่งใหญ่ของเรา!”

เขาสั่งจัดพิธีบวงสรวงใหญ่ จุดธูปพันเล่มถวายแด่บรรพชน ควันสีขาวลอยคลุ้งเหนือวังหลวง คล้ายหมอกแห่งคำภาวนา ผู้คนคุกเข่ากราบ ท้องฟ้าเงียบราวกับฟังคำอธิษฐานของกษัตริย์หนุ่ม

จากนั้น กองทัพหลวงเคลื่อนออกไปอีกครั้ง ธงทองสะบัดไหวกลางแสงอาทิตย์ เสียงม้าศึกกระแทกพื้นจนแผ่นดินสะเทือน ทุกเมืองที่ผ่าน ต่างถูกกลืนเข้าสู่อาณาจักรของเขา

แต่ทุกครั้งที่มีชัยชนะ ก็มักมีเคราะห์ตามมา น้ำท่วมใหญ่ในทิศใต้ ไฟไหม้ตลาดกลางเมือง หรือโรคระบาดที่พรากผู้คน ขุนนางผู้เฒ่าบางคนกล้าทูลว่า “ฝ่าบาท บรรพชนอาจไม่ต้องการให้แผ่นดินถูกบังคับให้รวมกันด้วยเลือด”

ฮ่องเต้หันมองด้วยรอยยิ้มเย็น “โลกที่ไม่ถูกรวมคือโลกที่ไร้ระเบียบ หากบรรพชนรักระเบียบ เขาย่อมเข้าใจข้า”

คืนนั้น เขาเดินขึ้นบันไดสูงไปยังหอคำบรรพชน แสงเทียนไหวระริกกลางความมืด
มีชายชราในชุดขาวรออยู่ก่อนหน้า เขาคือเล่าจื๊อ “ฝ่าบาทได้ยินเสียงระฆังหรือไม่?” เขาถาม

“ได้ยินสิ ข้าเชื่อว่ามันคือเสียงแห่งพรจากฟ้า” ฮ่องเต้ตอบด้วยความสงสัย

“พรของฟ้าไม่ส่งเสียงดัง” เล่าจื๊อตอบ

“หยุดหรือ? ข้ากำลังจะครองใต้ฟ้า จะให้หยุดได้อย่างไร?” ฮ่องเต้ตอบกลับทันควัน

“ผู้ที่กอบกุมทุกสิ่งไว้แน่น จะไม่เหลือสิ่งใดอยู่ในมือฝ่าบาท” เล่าจื๊อบอกด้วยความสงบ

ฮ่องเต้ยืนนิ่ง แล้วเดินผ่านเล่าจื๊อไปโดยไม่เหลียวหลัง แสงเทียนดับลงทีละดวง เหลือเพียงเงาของบัลลังก์สะท้อนอยู่บนพื้นหินเย็นเฉียบ ถ้าข้าชนะศึก ข้าจะประหารเจ้าเสียที่บังอาจดูหมิ่นข้า แม้เจ้าจะเปป็นปราชที่ดีแค่ไหนก็ตาม

ภาพประกอบนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องครองบัลลังก์ 2

ปีนั้น ลมหนาวจากทิศเหนือพัดแรงเป็นพิเศษ ท้องฟ้ามืดคล้ำราวกับหมึกที่ไหลรินลงสู่ขอบฟ้า เสียงรายงานจากแนวชายแดนดังขึ้นไม่ขาดสาย “กองทัพมองโกลเคลื่อนพลเข้ามาแล้ว ฝ่าบาท!”

พวกเขาเป็นนักรบควบม้า ผู้มีชื่อเสียงว่ารวดเร็วและดุดันที่สุดในใต้ฟ้า ธงดำปักสัญลักษณ์หัวม้าปลิวสะบัดเหนือทะเลทราย

มีเรื่องเล่าว่า ก่อนที่กองทัพจะปรากฏขึ้น ได้มีเสียงระฆังบรรพชนดังขึ้นอีกครั้ง และหมอกหนาทึบลอยปกคลุมเหนือสุสานโบราณ ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้

ฮ่องเต้กลับหัวเราะ “แม้ท้องฟ้าจะส่งพายุมา ข้าก็จะควบมันให้เชื่อง!”

เขาสั่งรวบรวมกองทัพนับแสน ม้าเหล็ก โล่ทอง และธนูไฟเต็มแนวกำแพงเมือง แต่ทหารมองโกลเคลื่อนที่รวดเร็วเกินคาด

พวกเขาไม่ต่อสู้ตรงหน้า หากแต่เคลื่อนราวเงา ล้อมและเผาเสบียงในยามค่ำ หลายเมืองเริ่มส่งสาส์นว่า “มิไม่อาจช่วยได้ ขอเมืองขึ้นเป็นเมืองอิสระ” แม้ฮ่องเต้จะเสียพระทัยเพียงใดก็มิอาจทำอะไรได้ เพราะกำลังทหารร่อยหรอ

ในค่ำคืนที่เมืองชายแดนแตก บันทึกเล่าว่า ฮ่องเต้ทรงเห็นเงาคนโบราณปรากฏเหนือหอคอย

ฮ่องเต้สะบัดพระแสงดาบใส่อากาศ “วิญญาณหรือมนุษย์ ข้าจะไม่ยอมแพ้!”

แต่ในใจลึก ๆ นั้น เขาเริ่มรู้สึกถึงความหนาวเยือกบางอย่างที่แทรกอยู่ในโลหิต ความหวาดระแวงเริ่มแพร่ไปในกองทัพ มีคนลือว่ามองโกลนั้นไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา แต่เป็น “เงาของบรรพชนที่กลับมาเอาคืน”

เล่าจื๊อซึ่งเฝ้ามองอยู่บนภูเขาไกล ๆ กล่าวกับศิษย์ของตนว่า “เมื่อผู้ปกครองทำให้สรรพสิ่งหวาดกลัว แม้เงาของบรรพชนก็กลายเป็นศัตรู การทำปลาตัวเล็กนั้น ต้องใจเบา มิใช่พลิกด้วยแรงแห่งอำนาจ” ฮ่องเต้ประมาทเกินไป

ต่อมา กองทัพมองโกลตีทะลวงเมืองแล้วเมืองเล่า กองทัพใหญ่ของฮ่องเต้ที่เคยได้ชื่อว่า “ไม่เคยพ่าย” เริ่มแตกเป็นสาย

คืนหนึ่ง พายุหิมะถาโถมเข้ามาเหนือพระราชวัง เปลวเทียนในท้องพระโรงดับสิ้น เหลือเพียงแสงจากระฆังโลหะโบราณที่สะท้อนแสงฟ้า

ฮ่องเต้ในชุดเกราะดำ นั่งอยู่ลำพังบนบัลลังก์ เขากระซิบกับตัวเอง “ข้าครองทุกสิ่งไว้แล้ว แต่เหตุใดจึงรู้สึกว่าว่างเปล่ากว่าครั้งใด”

เสียงฝีเท้าม้าดังมาจากนอกกำแพง ทัพมองโกลมาถึงหน้าประตูเมืองแล้ว ไม่มีเสียงแตร ไม่มีเสียงสู้ มีเพียงเสียงลมพัดราวเสียงคร่ำครวญของคนโบราณ

ฮ่องเต้หลับตา รอยยิ้มสุดท้ายของเขาสงบอย่างประหลาด คืนนั้น ระฆังบรรพชนดังขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเงียบตลอดกาล

หลังสงครามสิ้นสุด เสียงกลองรบที่เคยกึกก้องทั่วหล้าเงียบลง ซากเมืองหลวงกลายเป็นเถ้าถ่าน ควันลอยอ้อยอิ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าที่ซีดจาง เหลือเพียงเงาของหอคอยและซากบัลลังก์ทองที่แตกเป็นรอยร้าว

เล่าจื๊อเดินช้า ๆ ผ่านซากกำแพง ฝุ่นเถ้าเกาะชายเสื้อขาวของท่าน เขาไม่หลบ เพียงยื่นมือออกไปรับมันไว้ เสียงลมพัดผ่านเศษกระเบื้องที่แตกกระจาย ดั่งเสียงกระซิบของผู้คนในอดีต

เขายืนมองขึ้นสู่ฟ้า เห็นกลุ่มควันจากเมืองลอยเป็นเส้นโค้ง แผ่วเบาราวกับปลายพู่กันที่ลากจบในแผ่นกระดาษ เล่าจื๊อพูดเบา ๆ ราวกับกล่าวกับสายลม “เมื่อผู้ปกครองผู้มีเต๋าไม่ทำร้ายผู้ใด แม้เหล่าผีบรรพชนก็ไม่แสดงฤทธิ์ทำร้ายมนุษย์ วิญญาณทั้งสอง ผู้อยู่กับผู้ล่วงไป เมื่อไม่เบียดเบียนกัน คุณธรรมแห่งเต๋าจึงปรากฏ”

เขาหันมองบัลลังก์ที่พังทลาย แล้วเดินเข้าไปใกล้ หยิบเศษทองชิ้นเล็ก ๆ จากบัลลังก์ที่แตกออกมา เป่าฝุ่นออก แล้ววางลงบนพื้นอย่างแผ่วเบา “สิ่งที่แข็งย่อมแตก สิ่งที่ยึดย่อมสลาย อำนาจไม่ใช่สิ่งที่ควรครอบครอง แต่คือสิ่งที่ควรถนอมไว้ด้วยความพอประมาณ”

เขาหันหลังให้เมืองที่ดับสูญ เดินจากไปอย่างสงบ เสียงรองเท้าแตะไม้กระทบพื้นเบา ๆ สะท้อนอยู่ในความเงียบ

บนขอบหินหน้าประตูเมือง เล่าจื๊อหยิบพู่กันและหมึกขึ้น เขียนถ้อยคำสั้น ๆ ไว้ด้วยลายมือเรียบง่าย “การปกครองรัฐใหญ่ ก็เหมือนการทำปลาตัวเล็กในหม้อ หากคนถือหม้อใช้ไฟแรงไป ปลาจะเละไม่เหลือรูป แต่ถ้าไฟพอดี รสชาติจะกลมกล่อม และทุกชีวิตจะอยู่ร่วมกันโดยไม่ไหม้เกรียม”

เขาวางพู่กันลง ยิ้มบาง ๆ แล้วกล่าวกับศิษย์ที่ตามมาห่าง ๆ ว่า “เต๋าไม่ต้องการให้ใครครอง เพียงให้รู้จักอยู่ร่วม การไม่ทำร้าย คือการปกครองที่แท้จริง และความสงบที่เกิดหลังความพังทลาย คือรสแห่งเต๋าที่แท้จริงในโลกนี้”

จากนั้น เล่าจื๊อก็เดินลับไปตามถนนที่ทอดยาวออกสู่หุบเขา แสงแดดยามเช้าสาดผ่านควันจาง ๆ บนท้องฟ้า คล้ายกับฟ้ากำลังเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

ภาพประกอบนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องครองบัลลังก์ 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… การปกครองรัฐใหญ่ไม่ได้หมายความว่าจะต้องครอบงำทุกสิ่ง หรือใช้กำลังเพื่อสร้างอำนาจเหนือผู้อื่น แต่อยู่ที่ความพอประมาณ การไม่เบียดเบียนผู้คนและการเคารพต่อความสมดุลของสิ่งที่เกิดขึ้นตามเหตุ เป็นหนทางที่แท้จริงสู่ความยั่งยืนและความสงบ นี่คือแก่นของการครองบัลลังก์

ในนิทาน ฮ่องเต้ผู้เกือบรวมแผ่นดินได้ และซากเมืองที่ถูกทำลายโดยกองทัพมองโกล ผู้คนและผู้ปกครองล้วนเรียนรู้ว่า แม้อำนาจสูงสุดอยู่ในมือ แต่หากใช้อย่างไม่ระวัง ก็จะเป็นภัยต่อตนเองและผู้อื่น ความสงบและคุณธรรมไม่เกิดจากการบังคับหรือทำร้าย แต่เกิดจากการไม่เบียดเบียน การเคารพต่อธรรมชาติของเหตุการณ์ และการปกปักรักษาความดีไว้ในใจของทุกคน ทั้งผู้ครองและผู้ถูกครอง

อ่านต่อ: เรียนรู้ปรัชญาเต๋าลึกซึ้งแบบเข้าใจง่าย ๆ ผ่านนิทานเต้าเต๋อจิงสั้น ๆ สนก ๆ ที่นี่ taleZZZ.com

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องครองบัลลังก์ (อังกฤษ: Occupying The Throne) นิทานเรื่องนี้มาจากคัมภีร์เต้าเต๋อจิงบทที่ 60 ซึ่งกล่าวถึงการ “ครองบัลลังก์” อันเป็นแก่นแท้ของวิถีเต๋าในการปกครองรัฐใหญ่ ความสมดุลและความไม่เบียดเบียนคือหลักการสูงสุดของผู้ปกครอง เพราะสรรพสิ่งทั้งหลายมีพลังและความสามารถของตนเองอยู่แล้ว การไม่บังคับ ไม่ทำร้าย และไม่ฝืนธรรมชาติของเหตุการณ์ ย่อมทำให้ทุกสิ่งดำเนินไปอย่างสงบและราบรื่น เล่าจื๊อได้บันทึกไว้ว่า:

การครองราชสมบัติ

การปกครองรัฐใหญ่ ก็เหมือนการทำปลาตัวเล็กในหม้อ
หากการปกครองเป็นไปตามเต๋า
วิญญาณของบรรพชนจะไม่แสดงฤทธิ์ทำร้ายมนุษย์
ไม่ใช่ว่าเขาไร้พลัง แต่พลังนั้นจะไม่ถูกใช้เพื่อทำร้ายใคร
และไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้ แต่ผู้ปกครองผู้มีเต๋าก็ไม่ทำร้ายผู้ใด

เมื่อทั้งสองฝ่ายพลังของวิญญาณและการปกครองที่ดีไม่ทำร้ายกัน
คุณงามความดีของทั้งสองจะรวมตัวกันและปรากฏในคุณธรรมแห่งเต๋า

โดยเล่าจื๊อสอนว่า ผู้ที่เข้าใจหลักนี้จะปกครองด้วยคุณธรรม ไม่หวั่นไหวต่ออำนาจหรือความกลัว ไม่เบียดเบียนผู้คนและไม่สร้างความขัดแย้ง ให้เรารู้จักความพอประมาณ รู้จักเคารพต่อผู้อื่นและสรรพสิ่งรอบตัว ปฏิบัติตนด้วยความสงบและไม่ฝืนเหตุการณ์ เพื่อให้ชีวิตดำเนินไปอย่างมั่นคงและสมดุล แม้ในสถานการณ์ที่ซับซ้อนหรือยากลำบาก คุณธรรมและความเข้าใจในหลักเต๋าจะเป็นแนวทางนำทางชีวิตเราได้

นิทานเรื่องนี้จึงถูกแต่งขึ้นเพื่อสะท้อนคำสอนในบทดังกล่าว โดยเปรียบการปกครองรัฐใหญ่กับการทำปลาตัวเล็กในหม้อ หากผู้ปกครองใช้ความรุนแรงหรือเบียดเบียน แม้จะมีอำนาจสูงสุดก็ไม่อาจรักษาความสงบได้ แต่หากผู้ปกครองปฏิบัติตนด้วยความสมดุลและพอประมาณ สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดกลับเกิดขึ้นเอง นี่คือแก่นของนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องครองบัลลังก์ ที่เล่าจื๊อต้องการจะบอก

คติธรรม: “การครองบัลลังก์ที่แท้จริงคือไม่เบียดเบียนใคร และรักษาความสมดุล เมื่อทุกฝ่ายไม่ทำร้ายกัน คุณธรรมจะปรากฏ แก่นชีวิตสอนให้รู้จักความพอประมาณ ความอดทน และอยู่ร่วมกับธรรมชาติของเหตุการณ์อย่างสงบ”