ในโลกที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย ผู้คนมากมายใช้ทั้งชีวิตไล่ตามสิ่งที่ตาเห็น มือจับ และใจอยาก โดยเชื่อว่ายิ่งมีมาก ก็ยิ่งใกล้ความสุขมากขึ้น แต่ในความจริงของธรรมะ สิ่งที่ “ไม่มี” อาจมีคุณค่ามากกว่าสิ่งที่เราสะสมมาตลอดชีวิต
มีนิทานชาดกเรื่องหนึ่ง เล่าถึงชายผู้ละทิ้งทุกอย่าง แม้กระทั่งความสำเร็จในสายตาคนอื่น เพื่อเดินเข้าสู่ทางแห่งความว่าง ความว่างที่ไม่ได้หมายถึงความสูญเปล่า แต่คือประตูที่เปิดไปสู่ความเข้าใจอันลึกที่สุดในชีวิต กับนิทานชาดกเรื่องไม่มีสิ่งใด

เนื้อเรื่องนิทานชาดกเรื่องไม่มีสิ่งใด
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยตลาด เสียงเงินตรา และกลิ่นเครื่องเทศจากทั่วทุกทิศ มีเศรษฐีผู้หนึ่งชื่อว่าสุปติฏฐะ เขาเป็นชายที่ร่ำรวยล้นฟ้า บ้านของเขามีข้าทาสบริวารมากมาย และไม่มีวันไหนที่อาหารในเรือนไม่เต็มโต๊ะ
แต่แม้จะมีทุกสิ่งรอบกาย หัวใจของเขากลับว่างเปล่า
“สิ่งเหล่านี้ทำให้ข้ารู้สึกอิ่ม… แต่ไม่เคยทำให้ข้ารู้สึกอิ่มเอมเลย” เขากล่าวกับตนเองในเช้าวันหนึ่ง ขณะนั่งอยู่บนระเบียงสูงของเรือนหรู
ไม่นานหลังจากนั้น เขาก็สละทุกอย่างบ้าน เงินทอง เสื้อผ้า และชื่อเสียง แล้วออกเดินทางเข้าสู่ป่า ละทิ้งความเป็นเศรษฐี กลายเป็นนักบวชผู้เปลือยเท้าและสวมเพียงจีวรหยาบ ๆ
เขาพำนักอยู่ใต้ร่มไม้ ใกล้ลำธารที่น้ำใสเย็น มีเพียงไม้เท้าและบาตรสำหรับบิณฑบาตเป็นทรัพย์
ผู้คนที่เคยรู้จักเขาต่างตกตะลึง และเมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน ชื่อเสียงของเขาในฐานะผู้สละโลกีย์อย่างแท้จริงก็แพร่ไปทั่วทิศานุทิศ
ผู้คนเริ่มเดินทางมาขอคำสอน ทั้งพ่อค้า นักรบ และนักบวชผู้สงสัยในชีวิต ต่างมายังที่พำนักเงียบสงบกลางป่า เพื่อฟังถ้อยคำจากปากของผู้เคยมีทุกสิ่ง
นักบวชผู้เคยเป็นเศรษฐีนั้นไม่ได้เพียงปฏิเสธโลกภายนอก แต่ฝึกฝนจิตใจจนละเอียดลึก รู้เท่าทันความปรุงแต่งของโลก และเมื่อเวลาผ่านไป เขาก็บรรลุญาณลึกซึ้งที่แม้แต่ผู้ศึกษาอภิธรรมมาหลายสิบปีก็ยังไม่กล้าเอ่ยถึง
เขาสอนอย่างเรียบง่าย “สิ่งใดเกิดขึ้น ย่อมดับไป อย่ายึดมั่นในสิ่งที่เปลี่ยนแปลง”
ลูกศิษย์ทั้งหลายเคารพนบนอบ และเฝ้าฟังด้วยศรัทธาอันแรงกล้า
กระทั่งวันหนึ่ง ขณะที่ดวงตะวันคล้อยต่ำไปหลังแนวไม้ นักบวชก็เอนกายลงบนพื้นหญ้า ลมหายใจของเขาแผ่วเบาลง
ลูกศิษย์คนหนึ่งคุกเข่าลงใกล้ ๆ แล้วถามด้วยเสียงสั่น “พระอาจารย์… สิ่งใดคือสิ่งยิ่งใหญ่ที่สุดที่ท่านได้พบในชีวิตนี้”
นักบวชเผยอยิ้มเล็ก ๆ แล้วเปล่งคำเพียงสองคำ ก่อนที่ลมหายใจสุดท้ายจะหมดไป
“ไม่มี… สิ่งใด”
ร่างของเขาสงบเย็นดั่งผู้หลับใหลในนิทราอันเป็นสุข แต่บรรยากาศรอบกายกลับเต็มไปด้วยความสับสนของเหล่าสานุศิษย์
พวกเขากระซิบถามกันไปมา
“ท่านหมายความว่าอะไร”
“หรือที่ท่านบำเพ็ญมาแทบทั้งชีวิต กลับไม่มีสิ่งใดเลยจริง ๆ หรือ”
หัวใจของศิษย์หลายคนเริ่มไหวหวั่น เสียงคร่ำครวญเงียบ ๆ เริ่มก่อเกิดในวงสนทนา
และในห้วงเวลานั้นเอง ชายชรารูปหนึ่งผู้แต่งกายเรียบง่าย แต่มีแววตาลึกดั่งบ่อน้ำเก่า ได้เดินผ่านมาท่ามกลางกลุ่มศิษย์…

ฤๅษีผู้เดินผ่านมากลางวงของศิษย์หยุดลง เขาก้มมองร่างอันสงบนิ่งของนักบวช แล้วยกมือพนมอย่างเงียบงัน ก่อนจะหันมามองศิษย์ทั้งหมดด้วยสายตาที่อ่อนโยนแต่ลึกเกินหยั่ง
“ข้าได้ยินพวกเจ้ากำลังเสียใจกับคำว่า ไม่มีสิ่งใด ใช่หรือไม่”
หนึ่งในศิษย์พยักหน้า น้ำเสียงยังสั่น “ข้ารู้สึกเหมือนท่านอาจารย์ตายไปโดยไม่มีคำตอบให้พวกเราเลย…”
ชายชรายิ้มเพียงเล็กน้อย แล้วนั่งลงบนหินเรียบกลางวง “เจ้ารู้หรือไม่ คำว่าไม่มีนั้น ไม่ใช่ความว่างเปล่า… แต่คือการมองเห็นสิ่งทั้งหลาย โดยไม่ยึดมั่นว่ามันเป็นของเรา”
ศิษย์บางคนเริ่มเงียบลง ใบหน้าเริ่มครุ่นคิด
ฤๅษีเฒ่าพูดต่อ “เมื่อเขาเป็นเศรษฐี เขามีทุกสิ่ง แต่ยังไม่อิ่ม เมื่อเขาสละทุกอย่าง เขาเริ่มเข้าใจว่าทุกสิ่งไม่เคยเป็นของเขาจริง ๆ”
“ที่สุดแห่งปัญญา คือการเห็นว่า ไม่มีสิ่งใดที่เที่ยงแท้ ไม่มีสิ่งใดที่ควรยึดถือ แม้แต่ความสำเร็จ ก็ไม่ใช่สิ่งที่ต้องอวดอ้าง”
คำพูดเหล่านั้นลอยอยู่กลางอากาศราวกับสายน้ำที่ไหลเบา ศิษย์หลายคนเริ่มน้ำตาคลอ แต่ไม่ใช่เพราะความเสียใจอีกต่อไป
ค่ำวันนั้นไม่มีการสวดส่ง ไม่มีพิธีหรูหรา มีเพียงศิษย์ทั้งหลาย นั่งนิ่งรอบร่างของผู้เป็นอาจารย์ ดั่งหมู่ดาวที่โคจรรอบความว่างเปล่าอันมีความหมาย
หนึ่งในศิษย์กล่าวขึ้นเบา ๆ “คำว่า ไม่มีสิ่งใด… กลับกลายเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ท่านให้เรา”
ฤๅษีเฒ่าที่พูดกับพวกเขาก่อนหน้านั้นยืนขึ้นช้า ๆ และกล่าวประโยคสุดท้ายก่อนจะจากไป “คนทั้งหลายมักค้นหาสิ่งที่มี แต่ผู้ตื่นแล้ว กลับมองเห็นค่าในสิ่งที่ไม่มี”
เมื่อรุ่งเช้ามาถึง ร่างของนักบวชก็ถูกเผาด้วยไฟอ่อน ๆ จากไม้แห้งริมป่า เถ้าถ่านลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ไม่ต่างจากสิ่งที่เขาทิ้งไว้คำเพียงสองคำที่บางคนมองข้าม แต่บางคนกลับนำกลับไปพินิจทั้งชีวิต
ไม่มี… สิ่งใด แต่ในความไม่มีนั้น มี… ทุกสิ่ง

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ที่สุดของการแสวงหา ไม่ใช่การได้ครอบครองสิ่งใด แต่คือการเข้าใจว่าไม่มีสิ่งใด ที่เราสามารถยึดถือได้อย่างแท้จริง ความว่างเปล่าที่มาจากการปล่อยวางนั้น ไม่ใช่ความสูญเสีย แต่คืออิสรภาพจากความหลงผิดทั้งปวง
นักบวชผู้เคยมั่งคั่งได้ละทิ้งทรัพย์ภายนอกเพื่อมาค้นหาความจริงภายใน และเมื่อเขาตอบว่า “ไม่มีสิ่งใด” ก่อนตาย นั่นคือคำตอบอันลึกซึ้งที่สุด ว่าแม้แต่ความสำเร็จ ความดี หรือชื่อเสียง ก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรยึดมั่น การเห็นความจริงเช่นนี้คือความสำเร็จสูงสุดของผู้รู้แจ้ง
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานชาดกเรื่องไม่มีสิ่งใด (อังกฤษ: No Thing) นิทานเรื่องนี้จัดอยู่ในหมวดมนุษยชาดก หรือชาดกที่พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นมนุษย์ โดยเน้นการบำเพ็ญบารมีด้านปัญญาและการปล่อยวาง ซึ่งเป็นแนวทางของผู้ใฝ่ในธรรมที่ละทิ้งโลกีย์ เพื่อเข้าถึงความจริงอันลึกซึ้ง
พระพุทธองค์ทรงเล่าเรื่องนี้ขึ้นในคราวที่ภิกษุรูปหนึ่งเกิดความสับสนว่า การปฏิบัติธรรมโดยละทิ้งทรัพย์และชื่อเสียงนั้น มีประโยชน์จริงหรือไม่ เพราะเมื่อมองจากภายนอก ดูเหมือนไม่ได้ “สร้างอะไร” ไว้เลย พระองค์จึงตรัสเล่าเรื่องของพระโพธิสัตว์ในอดีตชาติ ผู้เคยเป็นมหาเศรษฐีแล้วละทิ้งทุกอย่างเพื่อออกบวช และบรรลุธรรมอันลึกซึ้ง จนกล่าวคำสุดท้ายว่า “ไม่มีสิ่งใด” เพื่อชี้ให้เห็นว่า แก่นแท้ของการรู้แจ้งนั้น ไม่ได้อยู่ที่การมี แต่อยู่ที่การ “ว่าง” จากการยึดมั่นในสิ่งทั้งปวง
ชาดกเรื่องนี้จึงสอนให้เข้าใจว่าความหลุดพ้นไม่ได้มาจากสิ่งที่เราสร้างหรือสะสม แต่เกิดจาก การรู้เท่าทัน และการปล่อยวางจากสิ่งเหล่านั้นอย่างสิ้นเชิง
คติธรรม: “ผู้เห็นว่าไม่มีสิ่งใดให้ยึด คือผู้พ้นจากพันธนาการทั้งปวง”