ปกนิทานชาดกเรื่องอย่าไว้ใจเจ้ากิ้งก่า

นิทานชาดกเรื่องอย่าไว้ใจเจ้ากิ้งก่า

ในโลกของความสัมพันธ์ ไม่ใช่ทุกรอยยิ้มจะจริงใจ และไม่ใช่ทุกคำพูดจะเปี่ยมด้วยไมตรี ความเชื่อใจที่ไร้การไตร่ตรอง อาจกลายเป็นประตูเปิดรับภัยโดยไม่รู้ตัว

มีนิทานชาดกเรื่องหนึ่ง เล่าถึงมิตรภาพระหว่างสัตว์ต่างสายพันธุ์ ที่เริ่มต้นจากความสนิทสนม แต่จบลงด้วยความพินาศ กับนิทานชาดกเรื่องอย่าไว้ใจเจ้ากิ้งก่า

ภาพประกอบนิทานชาดกเรื่องอย่าไว้ใจเจ้ากิ้งก่า

เนื้อเรื่องนิทานชาดกเรื่องอย่าไว้ใจเจ้ากิ้งก่า

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในป่าร่มครึ้มแห่งหนึ่ง มีหมู่กิ้งก่าเพียงหนึ่งเดียวที่หากินในน้ำ… หรือที่มนุษย์เรียกกันว่าอีกัวน่า อาศัยอยู่ใต้โพรงไม้ใกล้ลำธาร พวกมันอยู่ร่วมกันอย่างสันติ มีผู้นำคือพระราชาอีกัวน่า ผู้เปี่ยมด้วยสติปัญญาและความเด็ดขาด

โอรสของพระองค์ยังอยู่ในวัยหนุ่ม ฉลาด ขี้เล่น และเปี่ยมไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น วันหนึ่ง เขาได้พบกับกิ้งก่า ตัวหนึ่งบนกิ่งไม้ริมลำธาร

กิ้งก่าตัวนั้นมีเกล็ดลำตัวเปลี่ยนสีได้ตามแสงแดด สีผิวเขียวเข้มสลับน้ำตาล และพูดจาฉะฉาน

“เจ้าอีกัวน่า เจ้าไม่เบื่อหรือ ที่ต้องอยู่แต่ใต้ดิน มาคุยกับข้าบ้างสิ โลกบนนี้สนุกกว่าที่เจ้าคิด”

โอรสอีกัวน่าหัวเราะ “ข้าไม่เคยมีเพื่อนที่พูดสนุกเท่าเจ้ามาก่อนเลย”

วันแล้ววันเล่า ทั้งสองพูดคุยกันเสมอ เมื่อถึงเวลากลับใต้โพรง พระราชาอีกัวน่าทรงสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในท่าทีของโอรส

“เจ้าคบใครอยู่บนพื้นดินน่ะหรือ” พระองค์ตรัสถามด้วยน้ำเสียงเรียบ

“เขากิ้งก่าพ่อ… เขาไม่เลวร้ายเรา อย่างที่ท่านคิดหรอก”

พระราชาอีกัวน่าทรงนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างชัดเจน “กิ้งก่าเปลี่ยนสีตามแสง เช่นเดียวกับใจที่เปลี่ยนตามผลประโยชน์ อย่าหลงไว้ใจสัตว์เช่นนั้น”

แต่โอรสอีกัวน่ากลับหัวเราะ และเดินจากไปอย่างเบาใจ

แม้พระราชาจะเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่า โอรสอีกัวน่าก็ยังคงคบหากับกิ้งก่าอย่างเปิดเผย พวกมันหัวเราะ พูดคุย และแบ่งอาหารกันริมลำธาร

เมื่อเวลาผ่านไป ร่างของโอรสก็เติบโตขึ้นตามวัย ลำตัวยาวใหญ่ เกล็ดแข็งแรงขึ้นทุกวัน ขณะที่กิ้งก่ากลับเล็กเท่าเดิม

เย็นวันหนึ่ง กิ้งก่ามองเพื่อนของตนด้วยสายตาเปลี่ยนไป “หากวันหนึ่งเขากลายเป็นราชา ข้าคงถูกเหยียบแบนเป็นใบไม้แห้ง”

มันขยับเล็บช้า ๆ แล้วกัดฟันแน่น “ต้องจัดการก่อนที่ข้าจะถูกจัดการ”

ในคืนเดือนมืด กิ้งก่าลอบคลานออกจากพงไม้ไปยังหมู่บ้านมนุษย์ มันกระโดดขึ้นชานบ้านของนักล่าอีกัวน่า แล้วกระซิบข้างหูเขา

“เจ้าล่าผิดที่มานานแล้ว แต่อีกัวน่าทั้งเผ่าอยู่ใต้โพรงไม้ริมลำธาร ถ้าเจ้ามาตอนรุ่งสาง เจ้าจะไม่พลาดเลย”

นักล่าเบิกตากว้าง พลางหยิบอาวุธขึ้นมาขัดเงาแวววาว

รุ่งเช้า… เสียงฝีเท้าหนักๆ ดังกระทบผืนดิน เสียงร้องของอีกัวน่าเล็ดลอดออกมาจากโพรง พระราชาอีกัวน่าได้ยินแต่เสียงลูกหลานล้มตายรอบกาย

พระองค์หนีรอดมาได้เพียงลำพัง ใต้เงาไม้ลึก พระองค์ทรุดตัวลงอย่างหมดแรง “คำเตือนของเราถูกมองข้าม… แล้วตอนนี้ เหลือแต่เงาของอดีต”

ภาพประกอบนิทานชาดกเรื่องอย่าไว้ใจเจ้ากิ้งก่า 2

พระราชาอีกัวน่าคลานอย่างเงียบงันอยู่ใต้พงไม้ ใจหนักอึ้งดั่งศิลาทับอก พระองค์รอดเพียงลำพัง ขณะที่ลูกหลานและพวกพ้องถูกสังหารโดยฝีมือนักล่าที่รู้ตำแหน่งโพรงอย่างแม่นยำ

“มีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่รู้… เจ้ากิ้งก่าแน่นอน” พระองค์พึมพำ ดวงตาเปล่งแสงกร้าวด้วยความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธ

วันต่อมา ขณะที่กิ้งก่ากำลังนอนอาบแดดบนกิ่งไม้ มันได้ยินเสียงเลื้อยช้า ๆ ใกล้เข้ามา พระราชาอีกัวน่าโผล่พ้นจากพงหญ้า ใบหน้าหนักแน่น ทว่ามีร่องรอยของน้ำตา

“เจ้าคงภูมิใจสินะ ที่เหลือข้าไว้เพียงผู้เดียว”

กิ้งก่าหรี่ตาเล็กน้อย “อย่าโทษข้าเลย ข้าทำไปเพราะกลัว ถูกเจ้ากลืนหายไปในเงาของเจ้า”

“ข้าไม่โทษเจ้าหรอก เพราะข้าเคยเตือน… แต่ลูกข้าไม่ฟัง”

พระราชาอีกัวน่าไม่เข้าใกล้ ไม่โจมตี ไม่อาฆาต เขาเพียงจ้องด้วยสายตาที่กิ้งก่าลืมไม่ลง “สัตว์ที่เปลี่ยนสีได้ตามแสง ย่อมเปลี่ยนใจได้ตามประโยชน์”

แล้วพระองค์ก็เลื้อยจากไป ปล่อยให้กิ้งก่าเงียบงันในความสำนึก หรือความเย้ยหยันของโชคชะตา

ใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ริมลำธาร เดิมเคยเป็นที่อยู่ของเผ่าอีกัวน่า บัดนี้เหลือเพียงรอยดินที่ถูกรื้อ รอยเลือดที่ถูกฝนล้าง และเสียงลมที่กระซิบเล่าอดีต

พระราชาอีกัวน่านั่งนิ่งอยู่บนก้อนหิน ลำตัวยังมีบาดแผล แต่แววตาสงบ

“หากพวกเขาเชื่อเราตั้งแต่แรก… หากเขามองให้ลึกกว่าคำพูดและสีผิว บางทีเราคงไม่ต้องอยู่เดียวดายเช่นนี้”

จากนั้นพระองค์ได้กล่าวถ้อยคำหนึ่ง ที่กลายเป็นคำเตือนสืบต่อมาในหมู่สัตว์ที่อาศัยอยู่ในป่า

“อย่ามอบใจให้กับผู้ที่เปลี่ยนสีได้ในทุกแสง เพราะใจที่ไม่มั่นคง ย่อมไม่รู้จักคำว่ากตัญญู”

ตั้งแต่นั้นมา ไม่มีอีกัวน่ากลุ่มใดที่คบค้าสมาคมกับกิ้งก่าอีกเลย ความไว้ใจที่ผิดพลาดเพียงครั้งเดียว เปลี่ยนอนาคตของเผ่าพันธุ์ทั้งเผ่า

และเงาแห่งบทเรียนนี้ ก็ยังไม่จางไปจากผืนป่า…

ภาพประกอบนิทานชาดกเรื่องอย่าไว้ใจเจ้ากิ้งก่า 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… การคบมิตรต้องใช้ปัญญา ไม่ใช่เพียงความรู้สึก เพราะมิตรภาพที่ปราศจากความจริงใจ อาจกลายเป็นต้นเหตุของภัยพิบัติที่ยากจะเยียวยา ผู้ที่เปลี่ยนใจตามสถานการณ์ ย่อมไม่อาจฝากชีวิตหรือความไว้วางใจไว้ได้อย่างแท้จริง

โอรสอีกัวน่าผู้มีใจบริสุทธิ์กลับหลงไว้ใจผู้ที่ไม่มั่นคงอย่างกิ้งก่า แม้ได้รับคำเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อหายนะเกิดขึ้น มันไม่เพียงทำลายตัวเขา แต่ยังคร่าชีวิตเผ่าพันธุ์ไปด้วย ชาดกเรื่องนี้จึงตอกย้ำว่า ความเมตตาต้องไม่ละเลยปัญญา และการเลือกคบคน คือการกำหนดอนาคตของตนเองและผู้ที่เรารักไปพร้อมกัน

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานชาดกเรื่องอย่าไว้ใจเจ้ากิ้งก่า (อังกฤษ: Never Trust a Chameleon) นิทานเรื่องนี้จัดอยู่ในหมวดสัตว์ชาดก หรือชาดกที่พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นสัตว์เดรัจฉาน โดยมักใช้พฤติกรรมของสัตว์เป็นเครื่องเปรียบเปรย เพื่อสอนธรรมะเชิงลึกว่าด้วยการพิจารณามิตรแท้และมิตรเทียม ผ่านอุบายธรรมและเหตุผลเชิงจิตวิทยา

พระพุทธองค์ทรงเล่าเรื่องนี้ขึ้น เมื่อมีภิกษุรูปหนึ่งคบหาสหายที่เป็นนักบวชนอกศาสนา ผู้มีถ้อยคำอ่อนหวานแต่เจตนาแอบแฝง แม้พระสงฆ์ผู้ใหญ่จะเตือนหลายครั้ง ภิกษุก็ยังหลงเชื่ออยู่ จนเกิดเหตุให้สงฆ์หมู่ใหญ่ต้องได้รับความเสียหาย

พระองค์จึงตรัสเล่าถึงอดีตชาติที่พระองค์เสวยพระชาติเป็นพระราชาอีกัวน่า ผู้มองเห็นภัยล่วงหน้า แต่เมื่อโอรสของพระองค์ไม่ฟังคำเตือน กลับหลงเชื่อคำหวานของกิ้งก่า ผลคือความพินาศทั้งเผ่าพันธุ์

ชาดกเรื่องนี้จึงสอนให้เห็นว่าการพิจารณาว่าใครควรคบหานั้น ต้องอาศัยทั้งสติ ปัญญา และประสบการณ์ของผู้ใหญ่ มิตรที่เปลี่ยนใจตามผลประโยชน์ไม่ใช่มิตรแท้ และความไว้ใจที่ผิดที่เดียว อาจทำลายได้มากกว่าตนเองแต่รวมถึงคนรอบข้างที่รักเราด้วย

คติธรรม: “มิตรแท้มั่นคงในใจ ไม่เปลี่ยนไปตามแสงหรือเงา ผู้ที่แปรเปลี่ยนตามประโยชน์ ย่อมไม่ควรฝากใจหรือศรัทธาไว้ด้วยความประมาท”


by