ในโลกนี้ หลายคนมักเชื่อว่าความยิ่งใหญ่เกิดจากการแสดงฝีมือและเอาชนะผู้อื่น แต่คำสอนของเต๋ากลับบอกว่า พลังที่แท้จริงมาจากความสงบและการไม่ต่อสู้กับใครเลย คือหนทางสูงสุดของชีวิต
มีนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องหนึ่ง เล่าจื๊อถ่ายทอดบทเรียนแก่แม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ได้เรียนรู้ว่าการชนะใจตัวเองสำคัญกว่าการชนะศัตรู และพลังที่แท้จริง กับนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องสอดคล้องกับสวรรค์

เนื้อเรื่องนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องสอดคล้องกับสวรรค์
สายลมฤดูใบไม้ผลิพัดอ่อน ๆ ผ่านทุ่งกว้าง เสียงม้ากระทบพื้นดินดังก้องอยู่ไม่ไกล กลิ่นควันไฟจากค่ายทหารลอยมาตามลม
เล่าจื๊อเดินทางด้วยเสื้อคลุมผ้าป่านสีจาง เขาถือไม้เท้าเก่า ๆ และมองไปยังค่ายทัพรัฐอู๋ที่ตั้งเรียงรายอยู่เบื้องหน้า ภายในค่าย ทหารหลายร้อยคนเคลื่อนไหวเป็นจังหวะไม่มีเสียงตะโกน ไม่มีความสับสน ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยระเบียบและสงบผิดปกติ
เล่าจื๊อยิ้มบาง “แปลกนัก… กองทัพที่เงียบเช่นนี้ คงมีผู้เข้าใจเต๋าอยู่ในนั้น”
เขาเดินเข้าไปใกล้จนเห็นชายผู้หนึ่งยืนพิจารณาทหารจากระยะไกล ร่างสูงสง่า ดวงตาคมแต่สงบ เขาคือซุนอู่ หรือที่ภายหลังโลกจะเรียกว่า ซุนจื่อ
“ท่านผู้เฒ่ามาจากที่ใด” ซุนจื่อเอ่ยเสียงเรียบ “ค่ายทหารมิใช่ที่เดินชมเล่น”
เล่าจื๊อมองเขาอย่างพินิจ ก่อนตอบด้วยรอยยิ้ม “ข้าเดินตามเสียงลม แต่ลมกลับพาข้ามาหาคนที่ควบคุมมันท่ามกลางสนามรบ”
ซุนจื่อขมวดคิ้ว “ข้าเป็นเพียงแม่ทัพผู้ทำตามหน้าที่ มิได้ควบคุมสิ่งใดเกินขอบเขตมนุษย์”
“แต่เจ้ากำลังควบคุมสิ่งที่ยากที่สุดแล้ว”
เล่าจื๊อตอบ “คือจิตใจคน”
ซุนจื่อนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนเชิญชายชราเข้าในกระโจม ทั้งสองนั่งตรงข้ามกัน มีเพียงไอชาอุ่น ๆ ลอยขึ้นระหว่างความเงียบ
“ข้าได้ยินว่าท่านเป็นปราชญ์จากแคว้นโจว ผู้พูดถึงเต๋า” ซุนจื่อเริ่มขึ้น “แต่เต๋า…จะใช้ได้อย่างไรในสนามรบ ที่ซึ่งชีวิตและความตายอยู่ในเส้นด้ายเดียวกัน?”
เล่าจื๊อมองถ้วยชาในมือ เขากล่าวเบา ๆ “ในสงครามของเต๋า ผู้มีฝีมือจะไม่โอ้อวดท่วงท่าของนักรบ ผู้ที่ต่อสู้อย่างมีเจตนาดีจะไม่ถูกครอบงำด้วยความโกรธ”
ซุนจื่อหัวเราะเบา ๆ “ถ้าไม่มีโกรธ ไม่มีแค้น แล้วทหารจะมีแรงลุกขึ้นรบหรือ?”
“แรงที่เกิดจากโกรธ ย่อมมอดไปพร้อมเปลวเพลิง”
เล่าจื๊อตอบ “แต่แรงที่เกิดจากสัจจะ ยืนยงดั่งลมเหนือภูผา”
ซุนจื่อจ้องตาเล่าจื๊อ เงียบไปครู่หนึ่ง ในใจเขารู้ว่าชายชรานี้มิใช่คนธรรมดา “ข้าควบคุมกองทัพได้ แต่ทำไมข้ายังไม่อาจควบคุมใจตนเองได้เช่นนั้น”
หลายวันต่อมา เล่าจื๊อยังอยู่ในค่ายอู๋ คอยสังเกตการฝึกของทหาร
เขาไม่พูดมาก แค่เดินเงียบ ๆ ตามลานฝึก มองการเคลื่อนไหวที่เป็นหนึ่งเดียวราวสายลมเดียวกัน
วันหนึ่ง ซุนจื่อเรียกเขามายังห้องวางแผน บนโต๊ะไม้มีแผนที่รบปูอยู่ เส้นทางถูกขีดด้วยหมึกดำและแดงสลับกัน
“ท่านดูสิข้าเตรียมการศึกกับรัฐฉู่” ซุนจื่อกล่าว “แต่ถ้าไม่ตัดสินใจรุกก่อน พวกเขาจะยึดดินแดนเราไป ข้าจำต้องโจมตี”
เล่าจื๊อมองแผนที่ พลางเอ่ยช้า ๆ “เจ้าจะรบเพื่ออะไร หากสุดท้ายก็ต้องสูญเสียความสงบในใจ”
ซุนจื่อหัวเราะแห้ง “ข้าไม่อาจอยู่เฉยขณะศัตรูยกทัพมา ข้าคือแม่ทัพหน้าที่ข้าคือปกป้องรัฐ”
“แล้วหลังจากเจ้าชนะเล่า?” เล่าจื๊อถาม “เจ้าจะปกป้องหัวใจของผู้คนอย่างไร?”
ซุนจื่อนิ่ง ไม่ตอบ
เล่าจื๊อยกถ้วยชา ละอองไอน้ำลอยคลุ้ง “มีชัยที่แท้จริง คือการไม่ต้องรบเลย ผู้ที่เข้าใจเต๋า จะหยุดศัตรูก่อนที่ดาบจะชักออกจากฝัก”
ซุนจื่อพึมพำ “ศิลปะแห่งสงครามที่ไม่ต้องรบ…”
เขาเงยหน้าขึ้น เหมือนประกายบางอย่างฉายผ่านสายตา “ข้าอาจเขียนตำราได้มาก แต่ไม่เคยคิดจะเขียนบทหนึ่งชื่อว่าศึกแห่งใจ”
เล่าจื๊อยิ้มอย่างสงบ “เมื่อเจ้ารู้จักศึกนั้น เจ้าย่อมเข้าใจสวรรค์”
สายลมจากภูเขาเบา ๆ พัดเข้ามา กลีบดอกเหมยปลิวเข้ากระโจมราวกับฟ้ากำลังพยักหน้าเห็นด้วย

เสียงกลองศึกดังก้อง ภูเขาสะท้อนเสียงม้าศึกเป็นระลอก กองทัพรัฐอู๋เคลื่อนทัพตามคำสั่งของซุนจื่อ สายธงโบกสะบัดกลางหมอกเช้า
เขายืนบนหลังม้า สีหน้าเยือกเย็นอย่างผู้ควบคุมทุกสิ่งได้ แต่ในดวงตา กลับวูบไหวด้วยบางสิ่งที่แม้แต่ตนเองยังไม่เข้าใจ
“จงจำไว้!” เขาตะโกน “อย่ารบร้อนด้วยความโกรธ! จงใช้สติเป็นดาบ!”
กองทัพเคลื่อนไหวดั่งเงาน้ำ ทุกอย่างเป็นไปตามแผน ไม่มีเลือดนองเกินจำเป็น
ในที่สุด รัฐฉู่ยอมถอย โดยแทบไม่ได้ต่อสู้เต็มกำลังเลย
ชัยชนะของซุนจื่อสะท้อนทั่วแผ่นดิน ผู้คนยกย่องว่า “แม่ทัพผู้ปราบศึกโดยไร้การนองเลือด”
แต่ขณะที่ทุกคนเฉลิมฉลอง เขากลับเงียบงัน
“ข้าชนะแล้ว…แต่เหตุใดใจข้ากลับว่างเปล่าเช่นนี้”
ยามค่ำ เขาเดินออกจากค่าย ศัตรูที่ถูกจับต่างนั่งอยู่ในมุมเงียบ ๆ บ้างบาดเจ็บ บ้างสูญเสีย
เด็กคนหนึ่งร้องไห้กอดร่างพ่อที่ไม่หายใจแล้ว
ซุนจื่อยืนนิ่ง มองภาพนั้น ความเงียบกลืนเสียงชัยชนะทั้งหมด
“นี่หรือคือสิ่งที่ข้าเรียกว่าชนะ…” เขาพึมพำเบา ๆ
เสียงหนึ่งดังขึ้นจากเบื้องหลัง
“เมื่อดาบถูกยกขึ้น แม้เพื่อความถูกต้อง สวรรค์ก็ยังร้องไห้”
เล่าจื๊อเดินออกมาจากเงามืด เขามองซุนจื่อด้วยแววตาอ่อนโยนแต่ลึกซึ้ง
“เจ้ามีชัยในสนาม แต่แพ้ในใจของตนเอง เจ้ารู้หรือไม่”
ซุนจื่อหลับตา “ข้ารู้แล้ว… ข้าชนะเพราะคนอื่นยอมแพ้ แต่ไม่เคยรู้จะชนะตัวเองอย่างไร”
“การไม่รบ คือชัยชนะที่สูงสุด” เล่าจื๊อกล่าว “ผู้ที่ไม่ต่อสู้กับใครเลย นั่นแหละคือผู้สอดคล้องกับสวรรค์”
รุ่งอรุณวันหนึ่ง หลังสงครามสงบลงหลายเดือน เล่าจื๊อและซุนจื่อยืนอยู่บนหน้าผาเหนือแม่น้ำใหญ่ สายหมอกบางคลุมผิวน้ำ ดั่งม่านของสวรรค์ที่ค่อยเปิดเผยความจริงทีละน้อย
ซุนจื่อก้มศีรษะลง “ข้าเคยคิดว่าแม่ทัพที่ยิ่งใหญ่ คือผู้ทำให้ศัตรูเกรงกลัว แต่บัดนี้ ข้าเข้าใจแล้วว่า แม่ทัพที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือผู้ทำให้ผู้คนสงบลงได้ แม้ไร้ดาบในมือ”
เล่าจื๊อยิ้มบาง “เจ้าเริ่มเห็นทางของเต๋าแล้ว เมื่อใจเจ้าสงบ โลกทั้งใบก็จะสงบตาม เมื่อเจ้าไม่บังคับสิ่งใด สิ่งทั้งหลายก็จะเป็นไปโดยไม่ขัดแย้ง”
ซุนจื่อมองแม่น้ำเบื้องล่าง สายน้ำไหลเชื่องช้าไม่หยุดนิ่ง “แม่น้ำไม่ต่อสู้กับภูเขา แต่มันยังคงผ่านไปได้เสมอ…”
เขาหันไปคำนับเล่าจื๊อ “ข้าจะเขียนตำราของข้าอีกครั้ง ไม่ใช่เพื่อต่อสู้กับใคร แต่เพื่อสอนให้ผู้คนเข้าใจว่า การไม่รบก็เป็นศิลปะแห่งชัยชนะ”
เล่าจื๊อหัวเราะเบา ๆ “เมื่อเจ้าเข้าใจเต๋า เจ้าก็ไม่ต้องเขียนมันอีกเลย เพราะมันจะซึมอยู่ในลมหายใจของเจ้าแล้ว”
ซุนจื่อหลับตา ปล่อยให้ลมพัดผ่านหน้าอย่างสงบ ในใจของเขา ไม่เหลือเสียงกลองศึกอีกต่อไป มีเพียงเสียงสายน้ำ… และสวรรค์ที่เงียบ
และนั่นคือวันที่แม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ ได้เรียนรู้การสอดคล้องกับสวรรค์จริง ๆ

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… พลังที่แท้จริงไม่ได้อยู่ในการเอาชนะหรือควบคุมผู้อื่น แต่อยู่ในการเอาชนะตนเองและดำเนินไปตามหนทางแห่งเต๋าอย่างสงบ ไม่โต้แย้ง ไม่โอ้อวด และไม่ยึดมั่นในชัยชนะของตน เพราะผู้ที่ไม่ต่อสู้กับใครเลย คือผู้ที่สอดคล้องกับสวรรค์ นี่คือแก่นของสอดคล้องกับสวรรค์
ในนิทาน เล่าจื๊อถ่ายทอดบทเรียนแก่ซุนจื่อ แม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ที่เคยเชื่อว่าความเก่งกาจอยู่ในการพิชิตศัตรู แต่สุดท้ายกลับเข้าใจว่า ความสงบคือชัยชนะที่สูงสุด เมื่อเขาเลิกต่อสู้กับโลกภายนอกและหันมาสงบใจภายใน เขาก็ได้พบกับพลังที่ไม่ต้องอาศัยดาบหรือสงคราม นั่นคือพลังแห่งผู้สอดคล้องกับสวรรค์อย่างแท้จริง
อ่านต่อ: นิทานเต้าเต๋อจิงแฝงข้อคิดดี ๆ และปรัชญาชีวิตสุดลึกซึ้งในวิถีเต๋าจากเล่าจื๊อ
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องสอดคล้องกับสวรรค์ (อังกฤษ: Matching Heaven) นิทานเรื่องนี้มาจากคัมภีร์เต้าเต๋อจิงบทที่ 68 ซึ่งกล่าวถึง “ผู้ที่มีฝีมือในสงครามแห่งเต๋า” อันแท้จริงไม่ได้หมายถึงผู้ชนะศึกในสนามรบ หากแต่คือผู้ที่สามารถควบคุมตนเองได้อย่างสงบ ผู้ที่มีใจอ่อนโยนแต่มั่นคง ไม่โกรธง่าย ไม่โอ้อวด และไม่ถือตัวเหนือผู้อื่น เขาจึงกลายเป็นผู้ที่ “ไม่ต่อสู้” แต่กลับ “ชนะได้ด้วยความสอดคล้องกับสวรรค์” เล่าจื๊อได้บันทึกไว้ว่า:
สอดคล้องกับสวรรค์
ผู้ที่มีฝีมือใน “สงครามแห่งเต๋า”
จะไม่โอ้อวดท่วงท่าของนักรบ
ผู้ที่ต่อสู้อย่างมีเจตนาดีที่สุด ย่อมไม่ถูกครอบงำด้วยความโกรธ
ผู้ที่ชนะศัตรู จะไม่เยาะเย้ยหรือใกล้ชิดกับพวกเขาเกินไป
ผู้ที่ผู้คนยอมทำตามมากที่สุด กลับเป็นผู้ที่ทำหน้าที่ของตนอย่างถ่อมตนที่สุดดังนั้นจึงมีคำกล่าวว่า “เขาไม่ต่อสู้กับใครเลย และนั่นเองคือพลังของเขา”
อีกทั้งยังว่า “เขาทำให้จิตใจของผู้คนอ่อนลง จนพร้อมจะรวมใจไปกับเขา”
และยังว่า “เขาเป็นผู้ที่มีเจตจำนงสอดคล้องกับสวรรค์ แม้ปราชญ์โบราณก็ยังไม่มีผู้ใดรุ่งโรจน์เท่าเขาเลย”
เล่าจื๊อสอนว่า ผู้ที่เข้าใจหนทางนี้จะรู้ว่า การชนะที่แท้จริงไม่ใช่การทำให้ผู้อื่นพ่ายแพ้ แต่คือการทำให้จิตใจของตนกลับคืนสู่ความอ่อนโยน เหมือนน้ำที่ไหลไปตามทางของมันโดยไม่ขัดขืน เมื่อใจของมนุษย์ไม่แข็งกร้าว โลกก็สงบ เมื่อผู้ปกครองไม่บีบบังคับ ผู้คนก็รวมใจเป็นหนึ่ง และเมื่อผู้นำไม่โอ้อวด สรรพสิ่งทั้งหลายก็สอดคล้องเป็นไปอย่างราบรื่น
นิทานเรื่องนี้จึงถูกแต่งขึ้นเพื่อสะท้อนคำสอนในบทนี้ โดยผ่านการพบกันของเล่าจื๊อและซุนจื่อ แม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุค ซึ่งเล่าจื๊อสอนให้เขาเข้าใจว่า พลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการไม่ต้องต่อสู้เลย เพราะเมื่อใจของมนุษย์สอดคล้องกับเต๋า ก็เท่ากับสอดคล้องกับสวรรค์ และนั่นคือพลังแห่งผู้ชนะที่แท้จริงในหนทางแห่งเต๋า
คติธรรม: “ผู้ที่ไม่ต่อสู้กับใครเลย ย่อมชนะทุกสิ่ง; ผู้ที่สงบใจได้เหนือกว่าความโกรธและโอ้อวด ย่อมสอดคล้องกับสวรรค์ และไม่มีสิ่งใดต้านทานเขาได้”

