ในโลกนี้ หลายคนมักคิดว่าการมีทรัพย์สิน ชื่อเสียง หรืออำนาจ คือหนทางสู่ความสุข แต่คำสอนของเต๋าชี้ว่า ความสงบและความเข้าใจตนเองต่างหากคือสิ่งที่แท้จริงในชีวิต
มีนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องหนึ่ง เล่าจื๊อสอนผ่านเรื่องราวของชายผู้เคยรุ่งเรืองที่สุด แต่กลับต้องเผชิญความสูญเสียทั้งหมด จนได้เรียนรู้ว่าการรักตนเองอย่างแท้จริงเป็นอย่างไร กับนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องการรักตนเองอย่างแท้จริง

เนื้อเรื่องนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องการรักตนเองอย่างแท้จริง
ในหมู่บ้านเล็ก ๆ ริมแม่น้ำหลงหยาง ชีวิตของผู้คนดำเนินไปอย่างเรียบง่าย แต่เต็มไปด้วยความยากลำบาก ซือเหยียนยังเป็นเด็กเล็ก ๆ ที่ชอบมองผู้คนทำงานหนักในทุ่งนาและตลาด เขามักเห็นพ่อแม่ของตนเหน็ดเหนื่อยตั้งแต่รุ่งสางจนค่ำ และหลายครั้งก็ต้องอดอาหารเพราะข้าวไม่พอ
แต่ในใจเด็กน้อยกลับเต็มไปด้วยความสงสัยและความปรารถนา “ทำไมคนเราถึงต้องลำบากขนาดนี้?” เขามักคิดขณะนั่งดูเรือบรรทุกสินค้าแล่นผ่านแม่น้ำอย่างช้า ๆ ด้วยดวงตาเปล่งประกายแห่งความฝัน
ในบางคืนที่ฟ้าเต็มไปด้วยดาว ซือเหยียนมองแสงดาวไกล ๆ แล้วกระซิบกับตัวเองอย่างเงียบ ๆ “ข้าอยากไปให้ไกลกว่าหมู่บ้าน อยากเห็นโลกกว้างกว่าที่เห็นอยู่ทุกวัน…”
และแล้ว ซือเหยียนเกิดในครอบครัวยากจนที่เมืองหลงหยาง ตอนเด็กเขาลำบากขัดสน แร้นแค้นมากแต่เขาไม่ยอมจำนนต่อชะตา มักพูดกับตัวเองว่า “ข้าจะไม่จมอยู่ในโคลน ข้าต้องขึ้นไปสูงที่สุดให้ได้”
เขาทำงานหนักทุกวัน ตั้งแต่ลากฟืน ขนของ ไปจนถึงรับจ้างขุดดินในตลาด ไม่นาน เขาเริ่มเข้าใจการค้าขาย เรียนรู้การพูด การเอาใจลูกค้า
จากพ่อค้าริมทาง เขากลายเป็นพ่อค้าผู้ร่ำรวย มีเกวียนสินค้าหลายสิบคันเดินทางทั่วแคว้น
เขาซื้อบ้านใหญ่ในเมืองหลวง แต่งงานกับหญิงงามที่ทุกคนอิจฉา และมีข้าทาสคอยรับใช้
ผู้คนพากันเรียกเขาว่า “ท่านซือเหยียนผู้มั่งคั่ง”
แต่ในความเงียบของค่ำคืน เขามักนั่งอยู่ลำพัง มองออกไปนอกหน้าต่างที่ไม่มีดาว ใจของเขาไม่เคยนิ่งพอจะหลับได้สนิท เหมือนคนที่ยังวิ่งหนีอะไรบางอย่างอยู่ในเงามืดของตนเอง
วันหนึ่ง ขณะดื่มเหล้ากับพ่อค้าคู่แข่ง เขาได้ยินคำพูดที่ทำให้ทั้งโต๊ะเงียบลง “เจ้ารู้ไหมซือเหยียน… เจ้าทำงานหนักจนได้ทุกสิ่ง แต่ดูเหมือนเจ้าไม่เคยมี ‘เจ้า’ อยู่ในนั้นเลย”
เขาหัวเราะกลบเกลื่อน แต่ในใจกลับสะเทือน “ไม่มีข้า? ข้ากำลังรักตัวเองจนขึ้นมาถึงจุดนี้แท้ ๆ… แล้วเจ้าหมายถึงอะไร?”
จากวันนั้น เขาพยายามเติมเต็มชีวิตด้วยความสุขมากขึ้นจัดงานเลี้ยงทุกคืน ซื้อของหรูหรา เล่นดนตรีเสียงดัง และล้อมรอบตัวด้วยผู้คนที่ชมเชย
แต่ยิ่งทำเช่นนั้น เขากลับยิ่งรู้สึกว่างเปล่า
ในค่ำคืนหนึ่ง เขานั่งอยู่คนเดียวในคฤหาสน์อันสว่างไสว เหลือบมองเงาตนเองในกระจกทอง แล้วเห็นชายคนหนึ่งที่ยิ้มอยู่… แต่ในตาไม่มีแววชีวิต

ไม่นานหลังจากนั้น โชคชะตาก็เริ่มทดสอบชายผู้เคยอยู่บนยอดสูงสุดของโลก
พ่อค้าคู่ค้าเริ่มหักหลัง ราชสำนักเรียกเก็บภาษีเพิ่ม พายุฝนทำให้คลังสินค้าของเขาถูกน้ำพัดหายไปในคืนเดียว
ซือเหยียนสูญเสียทุกอย่าง บ้าน, ภรรยา, ชื่อเสียง, ข้าทาส และความเชื่อมั่นในตัวเอง
เขาเดินออกจากเมืองหลวงในชุดขาด ๆ วิ่งหนีความจริงไปเรื่อย ๆ ในใจคิดว่า “ข้าเพียงต้องเริ่มใหม่อีกครั้ง ข้าจะกลับไปยิ่งใหญ่ได้อีกแน่”
แต่ทุกครั้งที่พยายามลุกขึ้นอีกครั้ง ชีวิตกลับเหยียบย่ำเขาให้ต่ำลงกว่าเดิม
จนกระทั่งวันหนึ่ง เขาล้มป่วยอยู่ข้างถนน ร่างกายซูบซีด ไม่มีแม้แต่เงินซื้อข้าวถ้วยเดียว
เด็กคนหนึ่งผ่านมา เห็นเขานอนอยู่ใต้ต้นไม้จึงยื่นน้ำให้ดื่ม เขาสั่นหัว ปฏิเสธอย่างดื้อรั้น ทั้งที่กระหายน้ำแทบขาดใจ
“ทำไมท่านไม่ดื่มล่ะ” เด็กถาม
ซือเหยียนตอบเสียงแผ่ว “เพราะข้าเคยดื่มจากถ้วยทองคำ…”
เด็กหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดเพียงว่า “ถ้วยทองกับถ้วยไม้ธรรมดา ก็ทำให้ดับกระหายได้เหมือนกันนะท่าน”
คำพูดนั้นทำให้ซือเหยียนนิ่งไป น้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว
ในคืนนั้น เขาดื่มน้ำจากมือของตนเอง และรู้สึกว่านั่นคือครั้งแรกในชีวิตที่ได้ดื่มอย่างแท้จริง
วันรุ่งขึ้น เขาเดินทางต่อไปเรื่อย ๆ จนมาถึงกระท่อมเล็ก ๆ กลางหุบเขา ป้ายไม้หน้ากระท่อมเขียนว่า “ทางแห่งเต๋า”
ชายชราผมขาวนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ ยิ้มอย่างสงบ “ท่านคือใคร?” ซือเหยียนถาม
“เพียงคนหนึ่งที่รู้ว่าตนไม่รู้” ชายชราตอบ เขาคือเล่าจื๊อ
ในวันแรก ๆ ซือเหยียนไม่เข้าใจคำพูดของเล่าจื๊อเลย
เขายังถามอยู่เสมอว่า “ข้าควรเริ่มต้นใหม่อย่างไรดีท่านอาจารย์? ข้าควรทำสิ่งใดเพื่อกลับไปยิ่งใหญ่อีกครั้ง?”
เล่าจื๊อยิ้ม ไม่ตอบ แต่พาเขาไปนั่งริมลำธาร “เจ้ามองเห็นอะไรในน้ำ?”
“เห็นเงาข้าเอง…”
“ดี… แล้วเงานั้นเคยจากเจ้าหรือไม่?”
ซือเหยียนเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหัว เป็นคำตอบว่าไม่เงาไม่เคยจากเขาไปเลย
เล่าจื๊อกล่าวต่อ “เมื่อเจ้ารักเงา แต่ลืมเจ้าของเงา เจ้าก็หลงทาง เมื่อเจ้ารักตัวเองโดยไม่ต้องอวดโลก เจ้าจึงเริ่มเข้าใจว่า ‘ความรักตนเองแท้จริง’ ไม่ได้อยู่ที่การมีมาก แต่คือการยอมรับว่า ‘แม้ไม่มีสิ่งใด เจ้าก็ยังเป็นเจ้าอยู่ดี’”
วันเวลาผ่านไป ซือเหยียนกลายเป็นศิษย์ผู้ถ่อมตนของเล่าจื๊อ เขาช่วยดูแลศาลา เก็บน้ำ ทำความสะอาด และอ่านตำราอย่างเงียบ ๆ ทุกครั้งที่มีคนผ่านมาขอคำสอนจากเล่าจื๊อ เขามักนั่งฟังอยู่ข้าง ๆ ด้วยสายตาอ่อนโยน
วันหนึ่ง ชาวเมืองหลวงกลุ่มหนึ่งเดินทางมาหาเล่าจื๊อ พวกเขามีทั้งขุนนาง พ่อค้า และนักปราชญ์ที่ถือตนว่ารู้ทุกสิ่ง เมื่อได้ยินคำสอนเรื่อง “รักตนเองอย่างแท้จริง”
บางคนหัวเราะ บางคนส่ายหน้า บางคนกล่าวว่า “เรื่องง่ายเช่นนี้ ใคร ๆ ก็รู้”
แต่ในยามค่ำ ซือเหยียนเห็นบางคนกลับมานั่งนิ่งอยู่ใต้ต้นไม้ มองดาวพลางถอนหายใจ
เหมือนเพิ่งรู้ว่า พวกเขาไม่เคยเข้าใจ “ตนเอง” เลยสักครั้ง
เล่าจื๊อยิ้ม พลางพูดเบา ๆ ว่า
“เมื่อผู้คนไม่กลัวสิ่งที่ควรกลัว สิ่งที่น่ากลัวที่สุดย่อมเกิดขึ้น
เมื่อพวกเขาหลงในความสุขภายนอก ความทุกข์ภายในก็เริ่มเติบโต
ผู้ที่รักตนเองอย่างแท้จริง คือผู้ที่ไม่ต้องพิสูจน์คุณค่าของตนแก่ใคร”
ซือเหยียนก้มลงคำนับ เขาเข้าใจในที่สุด เขาไม่ต้องเป็นใคร ไม่ต้องมีอะไร เพียงเป็นตัวเองอย่างสงบ ก็เพียงพอแล้ว

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… การรักตนเองอย่างแท้จริงไม่ได้อยู่ที่การมีทรัพย์สิน ชื่อเสียง หรือการได้รับการยอมรับจากผู้อื่น แต่คือการยอมรับและเข้าใจตัวเองในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าชีวิตจะรุ่งโรจน์หรือยากลำบาก นี่คือแก่นของการรักตนเองอย่างแท้จริง
ในนิทานของซือเหยียนแสดงให้เห็นว่า แม้เขาจะมีความมั่งคั่ง ชื่อเสียง และทุกสิ่งตามใจปรารถนา แต่หากเขาไม่รู้จักตัวเองอย่างแท้จริง ความว่างเปล่าก็จะตามมา การทดสอบของโชคชะตาทำให้เขาสูญเสียทุกอย่าง แต่ผ่านการพบกับเล่าจื๊อ เขาได้เรียนรู้ว่า ความรักตนเองคือการอยู่กับตัวเองอย่างสงบและยอมรับตัวตนโดยไม่ต้องพิสูจน์อะไรให้ใครเห็น เมื่อเข้าใจเช่นนี้ เขาจึงพบความสงบและความสุขที่แท้จริง
อ่านต่อ: นิทานเต้าเต๋อจิงสรุปจากคัมภีร์เต้าเต๋อจิงเล่าในรูปแบบนิทานสนุกและเข้าใจง่ายได้ข้อคิดดี ๆ
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องการรักตนเองอย่างแท้จริง (อังกฤษ: Loving One’s Self) เรื่องราวนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากคำสอนในคัมภีร์เต้าเต๋อจิงบทที่ 72 ซึ่งกล่าวถึงการ “รักตนเองอย่างแท้จริง” อันเป็นแก่นแท้ของวิถีเต๋า การรักตัวเองไม่ได้หมายถึงการสะสมความมั่งคั่งหรือความสำเร็จภายนอก แต่คือการอยู่กับตัวเองอย่างสงบ เข้าใจคุณค่าของตน และยอมรับตนในทุกสถานการณ์ ความสงบและความพอใจในตัวเองคือภาวะที่สูงสุดของชีวิต โดยเล่าจื๊อได้บันทึกไว้ว่า:
การรักตนเองอย่างแท้จริง
เมื่อผู้คนไม่รู้จักเกรงกลัวในสิ่งที่ควรกลัว สิ่งที่พวกเขาหวาดกลัวที่สุดก็จะมาถึงในที่สุด
เมื่อผู้คนหลงระเริงในความสุขสบายของชีวิตประจำวัน และเบื่อหน่ายต่อสิ่งที่เป็นพื้นฐานของชีวิต ความพินาศก็จะตามมาอย่างเงียบงันผู้มีปัญญาจึงไม่ปล่อยให้ตนจมอยู่กับความสุขชั่วคราว หรือความทะเยอทะยานที่เกินพอดี เพราะรู้ดีว่าความสุขแท้ไม่ใช่การเสพสิ่งนอกกาย แต่คือการรักษาความสมดุลในใจ
ปราชญ์จึง “รู้จักตนเอง” โดยไม่โอ้อวด และ “รักตนเอง” โดยไม่ยึดติดกับการยกตนให้สูงกว่าผู้อื่น เขาเลือกทางแห่งความสงบและความพอดี ทางที่ไม่ต้องแสดงตนว่ามีค่า แต่กลับเป็นผู้มีค่าที่สุดในความเรียบง่ายนั้นเอง
โดยเล่าจื๊อสอนว่า ผู้ที่เข้าใจความรักตนเองอย่างแท้จริง จะไม่หลงไปกับความสำเร็จหรือความล้มเหลวภายนอก ไม่ยึดติดกับชื่อเสียงหรือทรัพย์สิน และไม่ว้าวุ่นใจไปกับคำชมหรือคำติของผู้อื่น แต่จะมีใจมั่นคง รู้จักความอดทน มีเมตตาต่อตนเองและผู้อื่น และสามารถอยู่ร่วมกับสรรพสิ่งได้อย่างสงบและสมดุล
นิทานเรื่องนี้จึงถูกแต่งขึ้นเพื่อสะท้อนคำสอนในบทดังกล่าว โดยเปรียบการสูญเสียทุกสิ่งของซือเหยียนกับความว่างเปล่าที่ทุกคนต้องพบในชีวิต แม้ภายนอกดูเหมือนสิ้นหวัง แต่แท้จริงแล้วเป็นโอกาสให้หันกลับมาสู่ตนเอง เข้าใจคุณค่าแท้ของชีวิต และนี่คือหัวใจของ “การรักตนเองอย่างแท้จริง” ที่เล่าจื๊ออยากให้ผู้คนได้ตระหนักและเรียนรู้
คติธรรม: “ความรักตนเองแท้จริง ไม่ได้อยู่ที่สิ่งที่เจ้ามี แต่คือการอยู่กับตัวเองอย่างสงบ แม้ในความว่างเปล่า เจ้าก็ยังเป็นเจ้าที่สมบูรณ์”

