ปกนิทานชาดกเรื่องดินแดนแห่งความโกลาหล

นิทานชาดกเรื่องดินแดนแห่งความโกลาหล

เมื่อผู้คนประพฤติผิดศีลธรรมและไม่ใส่ใจในสิ่งที่ถูกต้อง สังคมจะเต็มไปด้วยความโกลาหลและความวุ่นวาย แม้แต่ผู้ที่มีอำนาจที่สุดยังอาจหลงทาง แต่ทุกสิ่งมีวิธีแก้ไข หากเราตระหนักถึงความผิดและกลับใจ

มีนิทานชาดกเรื่องหนึ่ง เล่าถึงแผ่นดินที่เต็มไปด้วยความโกลาหล จนพระเจ้าได้ลงมาแปลงกายเพื่อสอนบทเรียนให้แก่ผู้คน… บทเรียนที่สอนให้รู้ว่า การกลับใจและการทำดีสามารถนำความสงบสุขมาสู่แผ่นดินได้ กับนิทานชาดกเรื่องแผ่นดินแห่งความโกลาหล

ภาพประกอบนิทานชาดกเรื่องดินแดนแห่งความโกลาหล

เนื้อเรื่องนิทานชาดกเรื่องดินแดนแห่งความโกลาหล

ในแผ่นดินแห่งหนึ่งที่เคยรุ่งเรืองและมีความสงบสุข เมื่อเวลาผ่านไป ผู้คนในแผ่นดินนั้นเริ่มละเลยการประพฤติที่ดี หลายคนหันไปทำสิ่งที่ผิดศีลธรรม ทั้งขโมยหลอกลวงและทุจริต พระราชาผู้ปกครองแผ่นดินก็ไม่ได้สนใจในสิ่งที่เกิดขึ้น และเริ่มเบี่ยงเบนจากหนทางของความถูกต้อง

แผ่นดินเต็มไปด้วยความโกลาหล ผู้คนไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบ ขโมยจำนวนมากออกปล้นชิงของผู้บริสุทธิ์ และผู้คนที่เหลือก็อยู่ในความกลัวและวิตกกังวล พระราชาเองแม้จะเป็นผู้ปกครอง แต่กลับไม่ตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในแผ่นดินของตน จนแผ่นดินเริ่มเสื่อมโทรมลงเรื่อยๆ

วันหนึ่ง พระราชานั่งอยู่บนบัลลังก์ในห้องที่ตกแต่งอย่างหรูหรา ขุนนางผู้หนึ่งเดินเข้ามาหาและกล่าวว่า “ฝ่าบาท ข้าเกรงว่าแผ่นดินของเราเริ่มเต็มไปด้วยความโกลาหล หากเรายังไม่ทำการเปลี่ยนแปลง อาจถึงขั้นเกิดสงครามหรือความเสียหายอย่างใหญ่หลวง”

พระราชาตอบด้วยท่าทางสงบ “ข้ารู้แล้ว ข้าจะคิดหาวิธีแก้ไข แต่ในตอนนี้ ข้าคงไม่ต้องการทำอะไรที่รุนแรง”

แม้พระราชาจะรับรู้ แต่พระองค์กลับยังไม่ตัดสินใจลงมือทำอะไรเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้น

พระเจ้าได้เห็นสถานการณ์ในแผ่นดินนี้จากสวรรค์ พระองค์ไม่พอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นและตัดสินใจจะสอนบทเรียนให้แก่ผู้คนในแผ่นดินนั้น พระองค์แปลงกายเป็นชายเร่รอนธรรมดา และนำสุนัขดุร้ายไปกับเขา

เมื่อชายเร่รอนพร้อมกับสุนัขเดินเข้ามาในเมือง เสียงเห่าของสุนัขดุร้ายดังไปทั่ว ทุกคนในเมืองต่างตกใจและวิ่งหนีกันสุดชีวิต พระราชาได้ยินเสียงโกลาหลดังมาจากข้างนอก ทรงตัดสินใจออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น

เมื่อพระราชาเดินออกมาจากพระราชวัง ท่านเห็นชายเร่รอนที่ถือสุนัขดุร้ายยืนอยู่ที่กลางเมือง ทุกคนวิ่งหนีกันไปทางต่างๆ ด้วยความหวาดกลัว

พระราชาทรงเข้าไปหาชายเร่รอนและถามว่า “ท่านคือใคร และทำไมสุนัขของท่านถึงเห่าดังขนาดนี้?”

ชายเร่รอนมองพระราชาแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “สุนัขของข้าหิว มันจะกินทุกคนที่ทำบาปในแผ่นดินนี้”

พระราชาเริ่มรู้สึกหวาดกลัวและถามว่า “ท่านหมายถึงสิ่งที่ข้าเห็นนี่หรือ?”

ชายเร่รอนตอบว่า “ใช่แล้ว หากทุกคนที่อยู่ในแผ่นดินนี้ยังไม่กลับใจและเลิกทำความชั่ว ชีวิตของพวกเขาจะตกอยู่ในอันตราย”

พระราชารู้สึกถึงความจริงจังในคำพูดของชายเร่รอน ทรงรู้ว่าถึงเวลาที่ต้องทำการเปลี่ยนแปลงในแผ่นดินนี้แล้ว จึงพูดกับชายเร่รอนด้วยความขอโทษว่า “ข้าขอให้ท่านโปรดอภัย ข้าจะไม่ปล่อยให้แผ่นดินนี้เต็มไปด้วยความชั่วร้ายอีกต่อไป”

ชายเร่รอนมองพระราชาและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงว่า “ข้าเพียงต้องการให้พวกท่านกลับใจจากความผิดพลาด เพื่อให้แผ่นดินนี้กลับมามีความสงบสุขและเจริญรุ่งเรืองอีกครั้ง”

พระราชาตัดสินใจที่จะทำการเปลี่ยนแปลง และประกาศให้ประชาชนทุกคนกลับใจจากการทำชั่วและเริ่มต้นใหม่ด้วยการประพฤติตามศีลธรรมที่ดี

ภาพประกอบนิทานชาดกเรื่องดินแดนแห่งความโกลาหล 2

หลังจากที่พระราชาทรงตัดสินใจประกาศคำสั่งให้ประชาชนกลับใจจากการกระทำผิด พระองค์ได้จัดพิธีใหญ่ในเมืองเพื่อเตือนสติและส่งเสริมให้ผู้คนตระหนักถึงความผิดที่เกิดขึ้นในแผ่นดินนั้น

ในพิธีนั้น พระราชาได้ตรัสกับประชาชนว่า “พวกท่านไม่ควรยึดมั่นในสิ่งที่ไม่ดี หากแผ่นดินของเราจะกลับคืนสู่ความสงบและรุ่งเรือง เราทุกคนต้องร่วมมือกันปฏิบัติความดี และละทิ้งการทำชั่วที่เคยเกิดขึ้น”

ผู้คนในแผ่นดินเริ่มมีสติและตระหนักถึงผลของการกระทำที่ผิด พวกเขาเริ่มกลับใจและสัญญาว่าจะไม่ทำสิ่งที่ผิดอีกต่อไป การกลับใจของประชาชนทำให้บรรยากาศในแผ่นดินเริ่มดีขึ้น ความเครียดและความกลัวค่อยๆ ลดลง สังคมเริ่มมีความหวังและความสงบกลับมา

หญิงสาวผู้มีจิตใจดีที่เคยช่วยชายแก่ ก็ได้มาช่วยประชาชนในเรื่องการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการกลับใจ เธอพูดกับประชาชนว่า “การกลับใจไม่ใช่แค่คำพูด แต่ต้องแสดงออกด้วยการกระทำ และการทำดีจะทำให้แผ่นดินนี้กลับมามีความสงบสุขอีกครั้ง”

ผู้คนเริ่มช่วยเหลือกันในทางที่ดี เช่น ช่วยกันสร้างแหล่งน้ำเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ขาดแคลน หลีกเลี่ยงการกระทำผิด และตั้งใจที่จะทำสิ่งที่ดีเพื่อกันและกัน

ไม่นานหลังจากการเปลี่ยนแปลงในแผ่นดิน ประชาชนเริ่มเห็นผลของการกลับใจ แผ่นดินกลับมามีความสงบสุข ชาวบ้านและขุนนางร่วมมือกันสร้างเมืองใหม่ที่เต็มไปด้วยความยุติธรรมและการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

พระราชาและราชินีที่เป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลง ดูแลประชาชนอย่างใส่ใจและเต็มไปด้วยความรักและความเมตตา พระราชาทรงรู้สึกว่าแผ่นดินนี้จะกลับมารุ่งเรืองได้ด้วยการประพฤติที่ดีของประชาชน

พระราชาทรงกล่าวกับราชินีว่า “การที่แผ่นดินของเรากลับมาเจริญรุ่งเรืองอีกครั้งไม่ใช่เพราะแค่กฎระเบียบ แต่เพราะใจของประชาชนที่กลับมาเชื่อในความดีและทำความดีด้วยใจจริง”

ราชินียิ้มและตอบว่า “สิ่งที่ดีที่สุดที่เราทำได้คือการให้ความหวังและนำทางให้ผู้คนกลับสู่สิ่งที่ถูกต้อง”

แผ่นดินนี้กลับมาเจริญรุ่งเรืองอีกครั้ง โดยมีความสงบและความรักระหว่างผู้คน ทุกคนต่างใช้ชีวิตในความสุขและช่วยเหลือกัน สถานการณ์ในแผ่นดินก็กลับมามีความมั่นคงและเจริญขึ้นอย่างยั่งยืน

ภาพประกอบนิทานชาดกเรื่องดินแดนแห่งความโกลาหล 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… การกระทำผิดอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ร้ายแรง แต่การกลับใจและการยอมรับผิดสามารถนำพาไปสู่การให้อภัยและการเริ่มต้นใหม่ เมื่อเราเรียนรู้จากความผิดและตั้งใจที่จะทำดี การเปลี่ยนแปลงในตัวเราสามารถนำความสงบสุขมาสู่ทั้งตัวเองและผู้อื่น

เมื่อพระเจ้าได้ทดสอบและแสดงบทเรียนให้พระราชาและประชาชนเห็น พวกเขากลับใจและสัญญาว่าจะประพฤติตามศีลธรรม การกลับใจจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุดในการแก้ไขความผิดและสร้างสังคมที่สงบสุข

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานชาดกเรื่องดินแดนแห่งความโกลาหล (อังกฤษ: Land of Chaos) นิทานเรื่องนี้จัดอยู่ในหมวดมนุษยชาดก หรือชาดกที่พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นมนุษย์ ซึ่งสะท้อนถึงการทดสอบความผิดพลาดของมนุษย์และการกลับใจเพื่อสร้างความสงบสุขในสังคม

พระพุทธองค์ทรงเล่าเรื่องนี้ขึ้นเมื่อมีภิกษุบางรูปถามถึงการทดสอบและบทเรียนจากความผิดพลาด พระองค์จึงตรัสถึงการที่พระเจ้าแปลงกายลงมาเพื่อสอนให้ผู้คนในแผ่นดินกลับใจจากการกระทำที่ผิด

ในเรื่องนี้ พระเจ้าแปลงกายเป็นชายเร่ร่อนธรรมดาและนำสุนัขดุร้ายไปยังแผ่นดินแห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยความโกลาหล เมื่อผู้คนตกใจและขออภัยพระองค์จึงเปิดเผยตัวตนและให้บทเรียนแก่ผู้คนให้รู้จักการกลับใจและปฏิบัติตามศีลธรรม

ชาดกเรื่องนี้จึงสอนให้เห็นถึงความสำคัญของการกลับใจจากความผิดพลาด การไม่ยึดมั่นในความชั่วร้าย และการนำสังคมกลับมาสู่ความสงบสุขได้ผ่านการสำนึกและการทำดี

คติธรรม: “การกลับใจจากความผิดไม่เพียงแต่ช่วยเราด้วยการให้อภัย แต่ยังนำความสงบสุขกลับคืนสู่สังคม”


by