บางครั้ง… สิ่งที่ทำให้เราสั่นไหว ไม่ใช่เสียงตำหนิ แต่คือสายตาชื่นชม เพราะยิ่งโลกภายนอกยกย่องมากเท่าไร เราก็ยิ่งต้องเผชิญกับเงาในใจตนให้ชัดเท่านั้น
มีนิทานเซนที่ว่าด้วยครูผู้รู้ธรรม แต่กลับพบความจริงที่สุดของตนในวันที่ยืนอยู่ท่ามกลางความเคารพ กับนิทานเซนเรื่องเหงื่อของคาซัน

เนื้อเรื่องนิทานเซนเรื่องเหงื่อของคาซัน
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว แสงแดดยามสายส่องผ่านหมอกบางในหุบเขา วัดเล็ก ๆ ที่ห่างไกลจากโลกภายนอกยังคงเงียบสงบ พระหนุ่มคาซัน ผู้มุ่งมั่นในธรรมะ ใช้ชีวิตเรียบง่ายในวัดแห่งนี้มาตลอด เขาไม่เคยข้องเกี่ยวกับผู้มีอำนาจ ไม่เคยพบเจ้าเมือง ไม่เคยแม้แต่จะคิดถึงสิ่งใดนอกเหนือจากการปฏิบัติธรรม
แต่วันหนึ่ง สารจากเมืองหลวงถูกนำมายื่นถึงมือเขาโดยข้าราชการผู้หนึ่ง
“พระอาจารย์คาซัน ได้โปรดรับหน้าที่เป็นประธานในพิธีศพของเจ้าเมืองโยชิคาวะด้วยเถิด”
คาซันเงียบไปครู่หนึ่ง ใบหน้าสงบนิ่ง แต่หัวใจกลับไหววูบ
“ข้าพเจ้าไม่เคยพบเจ้าเมืองมาก่อน… เหตุใดจึงเลือกเรา?” เขาถามอย่างอ่อนน้อม
“เพราะท่านเป็นพระผู้เปี่ยมเมตตา มีชื่อเสียงว่าไม่ยึดติด ไม่หวั่นไหว ท่านจึงเหมาะที่สุด”
คำชมที่ฟังดูงดงามนั้น กลับกดทับใจของคาซันอย่างประหลาด เขายอมรับหน้าที่ด้วยความเคารพ แต่ภายใน… กำลังสั่น
วันพิธีมาถึง คาซันเดินทางไปยังปราสาทของเจ้าเมืองเป็นครั้งแรกในชีวิต ที่นั่นเต็มไปด้วยขุนนาง ทหาร ข้าราชการ และชนชั้นสูง พวกเขาต่างแต่งกายเรียบหรู สีหน้าสงบแต่แฝงอำนาจ
คาซันยืนอยู่หน้าหีบศพ ท่ามกลางสายตานับร้อย เขพนมมือขึ้น เริ่มสวดบทสัจธรรมเบื้องต้น
แต่ยังไม่ถึงครึ่งบท… เหงื่อก็ผุดขึ้นที่ขมับ และไหลท่วมตัว
มือของเขาสั่นเล็กน้อย หัวใจเต้นแรงเกินปกติเขารู้ตัวดี เขากำลังประหม่าสิ่งที่ธรรมะไม่อาจระงับในยามนั้น ไม่ใช่โลภะ ไม่ใช่โทสะ
แต่คือความกลัวต่อสายตาและชื่อเสียง
พิธีจบลงด้วยความเรียบร้อย ไม่มีใครเอ่ยตำหนิ มีแต่คำชื่นชมและคารวะจากเหล่าผู้สูงศักดิ์ แต่คาซัน… กลับไม่ยิ้มเลยแม้แต่น้อย

เมื่อคาซันกลับถึงวัดในหุบเขา เขาไม่พูดสิ่งใดทันที แต่ขอตัวอยู่ในความเงียบพักหนึ่งวันเต็ม
เช้าวันถัดมา เขาเรียกลูกศิษย์ทั้งหมดมารวมกันที่ลานใต้ต้นสนใหญ่ ใบหน้าทุกคนเต็มไปด้วยความเคารพและอยากฟังคำสอนหลังจากพิธีใหญ่ที่พวกเขาไม่ได้ร่วม
แต่สิ่งที่พวกเขาได้รับ กลับไม่ใช่ธรรมะ… หากแต่เป็นคำรับสารภาพ
“เมื่อข้าอยู่ต่อหน้าศพของเจ้าเมือง” คาซันเริ่มพูดช้า ๆ น้ำเสียงหนักแน่นแต่ไม่อวดดี
“มือของข้าสั่น… ใจของข้าสั่น… ข้ากลัว… ข้าหวั่นไหวต่อชื่อเสียงและสถานะ”
เหล่าศิษย์ต่างนิ่งงัน ไม่มีใครกล้าพูด
เขาเว้นวรรค แล้วเอ่ยต่อ “ในวัดแห่งนี้ ข้าสงบเยี่ยงภูผา แต่ในโลกแห่งชื่อเสียง ข้าเพียงไม้ไผ่ที่สั่นไหวตามลม ข้าไม่คู่ควรจะเป็นอาจารย์ของพวกเจ้า”
ศิษย์บางคนอ้าปากจะท้วง แต่คาซันยกมือขึ้นเบา ๆ “ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าจะกลับไปเป็นเพียงศิษย์ธรรมดา ข้าจะไปศึกษาต่อกับอาจารย์ผู้อยู่เหนือความหวั่นไหว”
และในวันนั้นเอง เขาถอดจีวรครู ออกเดินทางอย่างไม่มีพิธีลา
แปดปีผ่านไป วัดในหุบเขายังตั้งอยู่ แต่เงียบกว่าที่เคยเป็น ศิษย์หลายคนเติบโต หลายคนรอ… โดยไม่รู้ว่ารอสิ่งใด
แล้ววันหนึ่ง พระในชุดเก่า เดินขึ้นทางลาดหินของวัด ใบหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย มีแสงบางอย่างในดวงตา
เขาไม่เอ่ยชื่อ ไม่ประกาศตน เพียงยิ้ม แล้วเดินเข้าลาน สนทนากับศิษย์เก่าด้วยใจที่ว่างและจิตที่ตื่นรู้
ศิษย์บางคนร้องไห้ ศิษย์บางคนยิ้ม แต่ไม่มีใครถามว่าเขา “ไปเรียนอะไรมา” เพราะในความเงียบของเขา ทุกคน… ได้ยินคำตอบ

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ผู้ที่กล้ายอมรับความไม่มั่นคงของตนเอง ย่อมเดินได้ไกลกว่าผู้ที่หลอกตัวเองว่าพร้อมแล้ว ความอ่อนแอไม่ใช่สิ่งที่ต้องปกปิด หากเรากล้ามองมันด้วยใจเปลือยเปล่า
เหงื่อของคาซันไม่ใช่จุดด่างพร้อย แต่คือสัญญาณของการตื่นรู้ เขาไม่เลือกยืนสูง หากจิตยังสั่นไหว เขายอมก้าวลง ไม่ใช่เพราะแพ้ แต่เพราะเขารู้ว่า “ทางธรรม… ไม่เร่งรีบ แต่ต้องมั่นคง”
อ่านต่อ: นิทานเซนให้ข้อคิดธรรมะแห่งชีวิตและความสงบสนุก ๆ สั้น ๆ
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานเซนเรื่องเหงื่อของคาซัน (อังกฤษ: Kasan Sweat) มาจากหนังสือรวมเรื่องเล่าเซนคลาสสิกชื่อว่า Zen Flesh, Zen Bones ซึ่งรวบรวมโดย Paul Reps และ Nyogen Senzaki ในนั้นรวมเรื่องเล่าเซน 101 เรื่อง และเรื่องนี้เป็นหนึ่งในนั้น
พระอาจารย์คาซัน จิโทคุ (Kasan Jitoku) เป็นพระในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นช่วงปลายยุคคามาคุระ เป็นศิษย์ในสายนิกายเซนเรื่องนี้เล่าถึงเหตุการณ์จริงที่สะท้อนภาวะภายในของผู้ฝึกปฏิบัติธรรมเมื่อพบเจอสถานการณ์ที่ท้าทาย เช่น การเผชิญหน้ากับโลกของอำนาจและชื่อเสียง
เนื้อเรื่องถูกใช้บ่อยในตำราธรรมะและบทสอนเซน เพื่อชี้ให้เห็นว่า “การรู้ตัวว่าตนยังไม่ถึง พร้อมจะถอดบทบาทและฝึกใหม่… ย่อมสำคัญกว่าการแสร้งว่ารู้แล้ว”
เป็นหนึ่งในนิทานเซนที่เรียบง่าย แต่เปี่ยมพลังทางจิตวิญญาณมากที่สุดเรื่องหนึ่งครับ
คติธรรม: “ผู้ที่ยอมวางตำแหน่งลงด้วยใจรู้ตน ย่อมสูงกว่าใครที่ยืนอยู่ในตำแหน่งด้วยความหลอกลวงตนเอง”