ในโลกที่ผู้คนต่างแสวงหาความมั่งคั่งและอำนาจ เต๋ากลับสอนว่า สิ่งเหล่านั้นหากได้มาด้วยความโลภ จะกลายเป็นพันธนาการที่เผาใจผู้ครอบครอง เพราะความอุดมแท้จริงไม่ได้อยู่ที่สิ่งที่เรามี แต่อยู่ที่สิ่งที่เราปล่อยวางได้
มีนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องหนึ่ง ที่เล่าจื๊อใช้สะท้อนให้เห็นผลแห่งความโลภของผู้ปกครอง ผู้ซึ่งเข้าใจความมั่นคงผิดทาง จนสูญเสียทุกสิ่งที่เคยครอบครอง กับนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องความโลภทำร้ายเราอย่างไร

เนื้อเรื่องนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องความโลภทำร้ายเราอย่างไร?
หมอกหนาปกคลุมทั่วนครหลวงของแคว้นเหลียง เสียงฆ้องราชสำนักดังขึ้นทุกเช้า ประกาศเก็บภาษีเพิ่มเป็นครั้งที่สามในปีเดียว ในห้องบัลลังก์ทอง เจ้าแคว้นเหลียงสวมอาภรณ์ไหมทอง ปักลายมังกรสามเศียร มือเขาเล่นกับเหรียญทองในกล่องไม้ราวกับของเล่น
“ทองคือพลังอำนาจ หากเรามีมากพอ ไม่มีแคว้นใดกล้าท้าทายเรา” เขากล่าวพลางเหลือบตามองเสนาบดีผู้เฒ่า ที่ค้อมตัวจนหลังโค้ง
เล่าจื๊อซึ่งถูกเชิญมาจากแดนไกลเพื่อปรึกษาราชการ นั่งอยู่มุมห้องอย่างสงบ เขาจิบชาช้า ๆ ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “ทองที่มากเกินไปไม่ต่างจากไฟในห้องแคบ มันให้แสงชั่วครู่ แล้วเผาเจ้าของในภายหลัง”
เจ้าแคว้นหัวเราะเบา ๆ “ท่านนักปราชญ์พูดเหมือนชาวบ้านที่ไม่เข้าใจเรื่องการปกครอง บ้านเมืองจะเข้มแข็งได้ก็ต้องมีอำนาจ และทองคือสิ่งที่ซื้อความภักดีของคน”
เล่าจื๊อเพียงยิ้มบาง เขามองเห็นแววตาที่ไม่ต่างจากเหยี่ยวหวงรังทองคำ รู้ดีว่าไม่มีถ้อยคำใดจะทำให้เจ้าแคว้นเข้าใจสิ่งที่ยังไม่ถึงเวลาเรียนรู้ได้
หลายเดือนต่อมา แผ่นดินเหลียงเต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ของผู้คนที่ไม่มีข้าวกิน ท้องทุ่งรกร้าง ชาวบ้านเอาเปลือกไม้ต้มกินแทนอาหาร ทว่าในพระราชวัง กลับมีการจัดงานเลี้ยงใหญ่ฉลอง “ยุคทองของความมั่งคั่ง”
ค่ำคืนหนึ่ง ท้องฟ้าสีแดงเรื่อดั่งโลหิตจากเปลวคบไฟในหมู่บ้านที่ถูกยึดข้าว เจ้าแคว้นนั่งอยู่ท่ามกลางห้องสมบัติที่สะท้อนแสงทองจนแสบตา เสียงทหารรายงานเข้ามาด้วยความหวาดหวั่น
“ฝ่าบาท…ประชาชนเริ่มรวมกลุ่มต่อต้าน พวกเขาเผายุ้งฉาง และแขวนศพเจ้าหน้าที่ไว้กลางเมือง”
“พวกมันไม่กลัวตายหรือ!” เจ้าแคว้นตวาด
เล่าจื๊อที่ยังอยู่ในวัง มองผ่านหน้าต่างเห็นควันลอยขึ้นจากนอกกำแพง พลันพูดเสียงเบา “เมื่อความหิวกัดกินจนลืมความกลัว ความตายก็กลายเป็นที่พึ่งสุดท้ายของคนสิ้นหวัง”
“เจ้ากล่าวราวกับเข้าข้างคนทรยศ!”
“ข้าเพียงกล่าวตามเต๋า สิ่งที่ถูกกดไว้แน่นเกิน ย่อมระเบิด สิ่งที่แย่งไว้หมด ย่อมถูกช่วงชิงคืน”
เจ้าแคว้นนิ่งงัน แต่แววตาเต็มไปด้วยความโกรธและเยาะเย้ย “เจ้าพูดได้ แต่ทองของข้ามันยังอยู่ตรงนี้ ไม่เคยหนีไปไหน”
เล่าจื๊อลุกขึ้นช้า ๆ วางถ้วยชาไว้ตรงหน้าเขา “ทองไม่หนีหรอก แต่ผู้คนจะหนีจากท่าน แล้ววันที่ท่านต้องหนีจากทองก็คงใกล้ถึงแล้ว…”
แสงเทียนสั่นไหวในลมราตรี คล้ายเสียงเตือนสุดท้ายของสวรรค์ ข้างนอก เสียงกลองแห่งการกบฏเริ่มดังจากปลายขอบฟ้า

รุ่งอรุณในวันที่ควันไฟปกคลุมทั่วเมือง กำแพงแคว้นเหลียงถูกฝูงชนทะลวงเข้าอย่างบ้าคลั่ง เสียงโห่ร้องปะปนกับเสียงระฆังวัดที่ดังราวกับสวรรค์เตือนภัยสุดท้าย
เจ้าแคว้นเหลียงวิ่งฝ่าทางเดินที่เคยเต็มด้วยข้าราชบริพาร บัดนี้เหลือเพียงศพเกลื่อนพื้นและกล่องทองที่ถูกเปิดออก ทองคำกองพะเนินราวภูเขาแต่ไร้ค่าดั่งทราย
“ข้าเป็นเจ้าแคว้น! พวกเจ้าไม่มีสิทธิ์แตะต้องสมบัติของแผ่นดิน!”
เขาตะโกนใส่เหล่าทหารที่เคยภักดี แต่ไม่มีใครฟังอีกต่อไป บางคนโยนชุดเกราะทิ้ง บางคนหันดาบเข้าหาเขาเอง
เล่าจื๊อยืนอยู่บนระเบียงสูง มองภาพทั้งหมดด้วยแววตาสงบ ดั่งผู้เฝ้าดูฤดูใบไม้ร่วงที่มาถึงตามกาล เขาไม่หนี ไม่สั่งสอน ไม่ขัดขวาง
“ท่านคิดว่าความกลัวทำให้คนภักดี แต่แท้จริงแล้ว ความกลัวทำให้คนหิว และเมื่อความหิวเกินทน ความตายก็เป็นแค่ของหวาน”
เสียงประตูบัลลังก์เปิดดังสนั่น ประชาชนกลุ่มใหญ่บุกเข้ามา เจ้าแคว้นถูกจับมัดกลางลาน ขณะฝนโปรยเบา ๆ ลงบนศีรษะของผู้ที่เคยอยู่เหนือทุกชีวิต
วันแห่งการประหารมาถึง ท้องฟ้าหม่นคล้ายโศกเศร้า เจ้าแคว้นเหลียงถูกพามายังลานเมือง ที่ซึ่งเขาเคยสั่งประหารคนอื่นนับร้อย
ทองคำที่เคยล้นห้องคลัง ถูกหลอมเป็นแท่งแจกจ่ายให้ประชาชนเพื่อซื้อข้าวและสร้างบ้านใหม่ ไม่มีใครร้องไห้ ไม่มีใครยินดี มีเพียงเสียงเงียบของผู้ที่ผ่านความตายและความหิวมามากเกินพอ
เจ้าแคว้นมองเล่าจื๊อที่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน “ท่าน…ข้าผิดตรงไหนกัน ข้าเพียงต้องการให้แคว้นมั่นคง…”
เล่าจื๊อตอบช้า ๆ “ท่านมั่นคงต่อทองคำ แต่ไม่มั่นคงต่อหัวใจของผู้คน เมื่อใจพวกเขาไม่เหลือที่พึ่ง ทองคำของท่านก็ไร้ค่า”
“ท่านสร้างกำแพงด้วยทองคำ แต่ไม่แม้สร้างสะพานให้หัวใจแก่ผู้คน เมื่อผู้คนหมดศรัทธา สมบัติของท่านก็กลายเป็นเพียงฝุ่น”
เสียงคมดาบสะท้อนกลางลาน ก่อนที่ทุกอย่างจะสงบ เหมือนลมหายใจสุดท้ายของแผ่นดินที่ปล่อยภาระอันหนักออกไป
ค่ำนั้น ลมเย็นพัดผ่านวังที่เหลือเพียงซาก กำแพงทองถูกเผาจนละลายเป็นเงาสีเทาในแสงจันทร์ เล่าจื๊อเดินออกจากเมืองอย่างเงียบงัน
“เมื่อโลภะกลืนกินผู้คน สิ่งที่เหลืออยู่ไม่ใช่ทองคำ… แต่คือความว่างเปล่าที่เงียบงัน และนั่นแหละ คือคำตอบของเต๋า”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… เมื่อความโลภเข้าครอบงำ หัวใจก็จะมืดบอดจนมองไม่เห็นคุณค่าของชีวิตและผู้คนรอบข้าง ความมั่งคั่งที่ได้มาด้วยการกอบโกยย่อมกลายเป็นพันธนาการที่ทำลายตนเองในที่สุด เพราะความโลภไม่เคยรู้จักคำว่า “พอ” มันจะเผาผลาญทุกสิ่งจนเหลือเพียงเถ้าถ่านแห่งความสูญเสีย
ในเรื่องนี้ เจ้าแคว้นเหลียงหลงเชื่อว่าทองคำคืออำนาจ และอำนาจคือความมั่นคง เขาจึงสะสมทองด้วยการกดขี่ประชาชน จนที่สุดผู้คนที่เคยภักดีก็ลุกขึ้นต่อต้าน เพราะไม่มีสิ่งใดทนอยู่ได้เมื่อถูกบีบเกินขอบของธรรมชาติ การสูญเสียทั้งอาณาจักรและชีวิตของเขาเป็นผลแห่งกรรมที่เต๋าเตือนเสมอว่า “เมื่อสิ่งใดเกินพอดี มันย่อมกลับกลายเป็นภัย” ความโลภจึงไม่เพียงทำลายผู้อื่น แต่ยังทำลายผู้ถือครองมันเองอย่างเงียบงัน
อ่านต่อ: นิทานเต้าเต๋อจิงแฝงข้อคิดดี ๆ และปรัชญาชีวิตสุดลึกซึ้งในวิถีเต๋าของเล่าจื๊อ
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องความโลภทำร้ายเราอย่างไร (อังกฤษ: How Greediness Injures) นิทานเรื่องนี้มาจากคัมภีร์เต้าเต๋อจิงบทที่ 75 ซึ่งเล่าจื๊อกล่าวถึง “ความโลภที่ก่อโทษเราอย่างไร” ท่านเตือนว่า เมื่อผู้ปกครองเห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตนมากเกินไป เอาเปรียบและกดขี่ประชาชน ผู้คนย่อมยากจน หิวโหย และไม่เกรงกลัวต่อความตายอีกต่อไป ความไม่กลัวตายนั้นเอง คือสัญญาณแห่งการล่มสลายของอำนาจ เพราะผู้ที่สิ้นหวังย่อมไม่อาจถูกควบคุมได้อีก เล่าจื๊อได้บันทึกไว้ว่า:
ความโลภทำร้าย
ประชาชนต้องทนทุกข์กับความอดอยาก
เพราะภาษีและค่าครองชีพที่ถูกเจ้านายเรียกเก็บอย่างมากมาย
นี่เองคือสาเหตุให้เกิดความอดอยากประชาชนยากต่อการปกครอง
เพราะการแทรกแซงและควบคุมที่เกินจำเป็นจากผู้ปกครอง
นี่เองคือสาเหตุที่ทำให้การปกครองเป็นเรื่องยากประชาชนจึงมักมองความตายเป็นเรื่องเบา
เพราะความเหน็ดเหนื่อยในการหาหนทางดำรงชีวิตที่มากเกินไป
นี่เองทำให้พวกเขาไม่หวั่นเกรงต่อความตายดังนั้น การไม่ยึดติดกับชีวิตหรือวัตถุเพื่ออยู่รอดอย่างตึงเครียด
กลับดีกว่าการประเมินค่าชีวิตสูงเกินจำเป็น
เล่าจื๊อสอนว่า แท้จริงแล้ว การปกครองด้วยความโลภและความกลัวไม่เคยยั่งยืน สิ่งที่ทำให้แผ่นดินมั่นคงคือความเมตตา ความพอเพียง และการเข้าใจในธรรมชาติของชีวิต หากผู้มีอำนาจสะสมมากเกินไป ย่อมกลายเป็นผู้สูญเสียสิ่งสำคัญที่สุด คือหัวใจของมนุษย์ สุดท้ายไม่ใช่เฉพาะผู้ปกครอง แต่ความโลภนั้นก็ทำลายทุกสิ่ง แม้แต่ตนเราเองเช่นกัน
นิทานเรื่องนี้จึงถูกแต่งขึ้นเพื่อสะท้อนคำสอนของบทนี้ โดยใช้เรื่องราวของเจ้าแคว้นเหลียงเป็นอุปมาแห่งผู้ปกครองที่ถูกไฟแห่งโลภะเผาผลาญจนสิ้นอำนาจและชีวิต เมื่อทองคำกลายเป็นกำแพงกั้นระหว่างเขากับผู้คน ความพังพินาศจึงเป็นเพียงผลลัพธ์อันหลีกเลี่ยงไม่ได้
คติธรรม: “เมื่อผู้ปกครองสะสมทรัพย์จนลืมความทุกข์ของประชาชน ทรัพย์นั้นจะกลายเป็นเปลวไฟเผาผลาญตนเอง เพราะทองคำซื้อความภักดีได้เพียงชั่วคราว แต่ไม่อาจซื้อหัวใจของผู้คนได้ตลอดไป”

