ในโลกของเหล่าเทพเจ้า ความยิ่งใหญ่และเกียรติยศมักเป็นสิ่งที่เทพทุกองค์ภาคภูมิใจ แต่ในบางครั้ง การมองตัวเองสูงส่งเกินไปอาจทำให้มุมมองที่มีต่อความจริงเบี่ยงเบนไป
เช่นเดียวกับเรื่องราวของเทพเฮอร์มีส เทพแห่งการค้าและการสื่อสาร ผู้มั่นใจในบทบาทสำคัญของตน แต่เมื่อเขาต้องเผชิญกับมุมมองของมนุษย์ กลับต้องเรียนรู้บทเรียนสำคัญเกี่ยวกับคุณค่าและความถ่อมตัวกับนิทานอีสปเรื่องเทพเฮอร์มีสกับประติมากร
เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องเทพเฮอร์มีสกับประติมากร
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เฮอร์มีส เทพแห่งการค้า การสื่อสาร และการเดินทาง เป็นที่รู้จักในฐานะเทพเจ้าผู้ว่องไวและมีสติปัญญาเฉียบแหลม เขามักได้รับมอบหมายให้เป็นผู้นำสารจากเหล่าเทพบนโอลิมปัส ด้วยหน้าที่สำคัญนี้ เฮอร์มีสมักคิดว่าตนเองมีบทบาทที่เหนือกว่าเทพเจ้าองค์อื่น
วันหนึ่ง ด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าเหล่ามนุษย์มองเขาเช่นไร เฮอร์มีสจึงแปลงร่างเป็นมนุษย์และเดินทางลงมายังโลก ในขณะเดินทางไปตามถนนสายเล็ก ๆ เฮอร์มีสเห็นร้านของประติมากร แกะสลักรูปปั้นที่เต็มไปด้วยรูปปั้นเทพเจ้า เขารู้สึกสนใจและตัดสินใจเดินเข้าไป
ภายในร้านเต็มไปด้วยรูปปั้นแกะสลักของเหล่าเทพที่งดงาม แต่ละองค์ตั้งอยู่บนแท่นหินอย่างสง่างาม เฮอร์มีสเริ่มสำรวจรอบ ๆ และมองเห็นรูปปั้นของเทพซุส เทพเจ้าสูงสุดของโอลิมปัส รูปปั้นของซุสมีท่าทางทรงอำนาจ มือหนึ่งถือสายฟ้า อีกมือยกขึ้นราวกับกำลังปกป้องโลก
เฮอร์มีสเดินเข้าไปใกล้และสังเกตป้ายราคาที่ติดอยู่ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นราคาที่ต่ำกว่าที่เขาคาด “เทพซุส เทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของเรา มีราคาต่ำเพียงนี้เชียวหรือ?” เฮอร์มีสพึมพำกับตัวเอง
จากนั้นเขาเดินไปยังรูปปั้นของเทพีเฮรา ราชินีแห่งเหล่าเทพ รูปปั้นของเฮรามีความงดงามและเปี่ยมไปด้วยความสง่าผ่าเผย ราคาที่ติดไว้สูงกว่าของซุสเล็กน้อย แต่ก็ยังต่ำกว่าที่เฮอร์มีสคาดไว้ “แปลกนัก ทำไมรูปปั้นของราชินีเฮราถึงมีราคาสูงกว่าเทพซุสเล็กน้อยเท่านั้น?”
ในที่สุด เขาก็เดินไปยังมุมหนึ่งของร้าน ที่นั่นมีรูปปั้นของเขาเอง รูปปั้นของเฮอร์มีส เทพแห่งการค้าและโชคลาภ รูปปั้นของเขามีท่าทางคล่องแคล่ว ถือคทาในมือ และมีปีกเล็ก ๆ ติดอยู่บนรองเท้า เฮอร์มีสยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ “แน่นอน รูปปั้นของข้าจะต้องมีราคาสูงกว่านี้ เพราะข้าเป็นเทพที่มนุษย์พึ่งพาในชีวิตประจำวันมากที่สุด”
เขาหันไปหาช่างแกะสลักที่กำลังขัดเงารูปปั้นอยู่ และถามด้วยน้ำเสียงมั่นใจ “ข้าสนใจจะรู้ว่ารูปปั้นนี้ขายในราคาเท่าใด?”
ช่างแกะสลักเงยหน้าขึ้นและยิ้มเล็กน้อย “โอ้ รูปปั้นนี้หรือ? หากท่านซื้อรูปปั้นของซุสและเฮรา ข้าจะแถมรูปปั้นนี้ให้ฟรีเลย!”
เฮอร์มีสรู้สึกตกใจและพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “ทำไมเจ้าจึงตั้งราคามันต่ำเช่นนี้? ข้าคือเฮอร์มีส เทพแห่งโชคลาภและการค้า! เจ้าคิดว่าข้าไม่มีคุณค่าเพียงพอหรือ?”
ช่างแกะสลักหัวเราะเบา ๆ และตอบอย่างตรงไปตรงมา “ข้าไม่ได้ตั้งราคาตามความสำคัญของเทพเจ้า ข้าตั้งราคาตามความต้องการของลูกค้า และข้าต้องยอมรับว่า มนุษย์ไม่ค่อยต้องการรูปปั้นของเฮอร์มีสสักเท่าไร”
เฮอร์มีสเงียบไปครู่หนึ่ง เขารู้สึกอับอายและโกรธในเวลาเดียวกัน แต่เขาก็ไม่อาจโต้แย้งคำพูดของช่างแกะสลักได้
ก่อนที่เขาจะเดินออกจากร้าน เขาหันกลับมาพูดเบา ๆ “บางทีข้าควรกลับไปพิจารณาตัวเองใหม่ ข้าคิดว่ามนุษย์ชื่นชมข้า แต่ดูเหมือนว่าข้าประเมินตัวเองสูงเกินไป”
เฮอร์มีสเดินออกจากร้านด้วยความรู้สึกอ่อนน้อมลงกว่าเดิม และตระหนักว่าความยิ่งใหญ่ที่แท้จริงไม่ได้มาจากการประเมินค่าตนเองสูงเกินไป แต่คือการเข้าใจในคุณค่าที่แท้จริงของตัวเอง
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การประเมินค่าตนเองสูงเกินไปอาจนำไปสู่ความผิดหวังเมื่อเผชิญกับความเป็นจริง ความหยิ่งผยองไม่ได้ทำให้ผู้อื่นยอมรับหรือเห็นคุณค่าในตัวเรา สิ่งสำคัญคือการมองตัวเองอย่างเหมาะสม เข้าใจคุณค่าแท้จริงของตัวเอง และถ่อมตัวเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานอีสปเรื่องเทพเฮอร์มีสกับประติมากร (อังกฤษ: Hermes and the sculptor) นิทานเรื่องนี้ถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 88 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) และกลายเป็นเรื่องโปรดในยุโรปตั้งแต่ยุคเรเนซองส์
นิทานนี้มุ่งวิพากษ์ความหลงตัวเอง โดยทั่วไป และเล่าถึงการที่เฮอร์มีส แปลงร่างเป็นมนุษย์เพื่อเยี่ยมช่างแกะสลักรูปปั้น เมื่อพบว่ารูปปั้นของซุส เทพเจ้าสูงสุดถูกตั้งราคาต่ำ และรูปปั้นของเฮรา ราชินีของเทพเจ้า มีราคาสูงขึ้นเพียงเล็กน้อย เฮอร์มีสรู้สึกมั่นใจว่ารูปปั้นของตนเองซึ่งเป็นผู้นำสารของเหล่าเทพ จะต้องมีราคาสูงกว่านั้น แต่เมื่อเขาถามถึงราคาของรูปปั้นเฮอร์มีส ช่างแกะสลักกลับตอบว่า “ถ้าท่านซื้อรูปปั้นสองอันนั้น ข้าจะแถมรูปปั้นนี้ให้ฟรีเลย!”
นิทานนี้สามารถใช้กับคนหลงตัวเองที่ไม่ได้รับการยกย่องใด ๆ จากผู้อื่น และเป็นคำเตือนเกี่ยวกับการประเมินค่าตนเองสูงเกินไป และแสดงให้เห็นว่าความหยิ่งผยองมักถูกมองข้ามหรือไม่ได้รับการยอมรับจากผู้อื่น