ในโลกของผู้แสวงหาความหมาย บางคนค้นหาคำตอบในหนังสือ บางคนค้นหาจากอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ แต่ในเส้นทางของเซน คำตอบอาจอยู่ในสิ่งที่ธรรมดาที่สุด ในการยิ้ม การวางถุง และการเดินไปข้างหน้าโดยไม่พูดอะไรสักคำ
มีนิทานเซนเรื่องหนึ่ง เล่าถึงชายคนหนึ่งผู้ไม่เรียกตัวเองว่าอาจารย์ ไม่เคยอธิบายธรรมะด้วยถ้อยคำ แต่กลับมีถุงผ้าใบใบเดียว และรอยยิ้มที่ไม่เคยจางหาย ชื่อของเขาคือโฮเทอิ ผู้ซึ่งคำสอนนั้นอยู่ในความเงียบ และการกระทำที่ไร้พิธีรีตอง กับนิทานเซนเรื่องชาวจีนผู้เป็นสุข

เนื้อเรื่องนิทานเซนเรื่องชาวจีนผู้เป็นสุข
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ระหว่างภูเขาและแม่น้ำ ณ ย่านชาวจีนนอเมริกา มีชายคนหนึ่งที่ไม่มีใครรู้ว่ามาจากไหน เขาเป็นชายร่างอ้วนกลม หน้ากลมแดง มีรอยยิ้มอยู่เสมอ และมีเสียงหัวเราะที่ฟังแล้วเหมือนลมเย็นในวันร้อน เขาเดินไปตามถนนพร้อมกับสะพายถุงผ้าใบใหญ่ใบหนึ่ง
คนจีนในย่านนั้นเรียกเขาว่า พระหัวเราะหรือชายจีนผู้สุขใจ
แต่ชื่อจริงของเขาคือโฮเทอิ เขาเป็นพระในยุคราชวงศ์ถังของจีน และแม้ว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ในช่วงเดียวกับพระเซนผู้ยิ่งใหญ่หลายท่าน แต่โฮเทอิไม่เคยเรียกตัวเองว่าเป็นปรมาจารย์เซน และไม่เคยคิดจะเปิดสำนักหรือสั่งสอนใคร แม้แต่การรวบรวมลูกศิษย์จำนวนมากไว้รอบตัวเขา
ทุกวัน โฮเทอิจะเดินไปตามถนนในเมือง สะพายถุงผ้าใบใบใหญ่ที่เต็มไปด้วยของเล็ก ๆ น้อย ๆ ลูกกวาด ผลไม้ หรือขนมปังโดนัท
เมื่อเขาเดินผ่านที่ใด เด็ก ๆ จะวิ่งเข้ามาหาเขา พร้อมเสียงหัวเราะและแววตาอยากรู้อยากเห็น
“วันนี้มีอะไรบ้าง?” เด็กคนหนึ่งอาจถาม
โฮเทอิไม่พูดอะไรมาก เขายิ้ม แล้วล้วงมือลงไปในถุง ยื่นของให้ทีละคนอย่างใจเย็น
บางวันเขานั่งเล่นกับเด็ก ๆ ริมถนน เหมือนเปิดโรงเรียนอนุบาลเล็ก ๆ ที่ไม่มีโต๊ะ ไม่มีหนังสือ แต่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ
เขาไม่พูดธรรมะ ไม่สอนอะไรเป็นคำ ๆ แต่ทุกคนรู้สึกได้ถึงความสงบและความสุขที่แผ่ออกมาจากตัวเขา
แม้โฮเทอิจะดูเหมือนคนธรรมดาที่เดินแจกของเล่นและขนม แต่เขาก็ทำบางสิ่งที่ชวนให้ขบคิด
ทุกครั้งที่เขาเจอกับคนที่ดูมีความสนใจในเซน หรือเป็นนักบวชผู้ปฏิบัติ เขาจะยื่นมือออกไปตรง ๆ แล้วพูดเพียงว่า “ขอเหรียญเพนนีหนึ่งเหรียญ”
บางคนให้เหรียญไปอย่างงง ๆ บางคนไม่ให้ โฮเทอิก็ไม่ว่าอะไร เขายังคงยิ้มและเดินต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
วันหนึ่ง ขณะที่เขากำลังจะยื่นของให้เด็กกลุ่มหนึ่ง พระเซนอีกคนหนึ่งเดินผ่านมา
พระรูปนั้นมีสีหน้าเคร่งขรึมและท่าทางมั่นคง เขาหยุดยืนอยู่ต่อหน้าโฮเทอิ แล้วถามขึ้นด้วยน้ำเสียงสงบ “อะไรคือความหมายของเซน?”
โฮเทอิไม่ตอบ เขาค่อย ๆ ปล่อยถุงผ้าใบนั้นลงสู่พื้นเสียงเบา ๆ ตุบ ไม่มีคำอธิบาย ไม่มีคำเทศนา
พระเซนเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วถามต่ออีกคำ “แล้วอะไรคือการนำเซนไปใช้จริง?”
โฮเทอิยังไม่พูดอะไร เขาย่อตัวลงอย่างช้า ๆ ยกถุงผ้าใบนั้นขึ้นพาดบ่า แล้วหันหลังเดินจากไปในความเงียบ
เสียงฝีเท้าของเขาค่อย ๆ จางลง เหลือไว้แต่ภาพของชายคนหนึ่งที่แบกถุงใบเดิม เดินต่อไปด้วยรอยยิ้ม

หลังจากเหตุการณ์ที่โฮเทอิวางถุงลงและแบกขึ้นอีกครั้ง เขายังคงใช้ชีวิตอย่างเดิม เดิน แจกของ ยิ้ม และหัวเราะ ไม่มีใครรู้ว่าเขาจะปรากฏตัวเมื่อใด หรือหายไปที่ไหนตอนกลางคืน แต่ทุกคนจำภาพของชายร่างอ้วนผู้ถือถุงผ้าใบและหัวเราะได้เสมอ
สิ่งหนึ่งที่หลายคนสังเกตได้คือ ทุกครั้งที่โฮเทอิเจอกับคนที่ดูเหมือนเป็นผู้ฝึกปฏิบัติธรรม หรือมีแววตามุ่งมั่นในทางเซน เขาจะหยุด ยื่นมือออกไป และพูดเพียงเบา ๆ ว่า “ขอเหรียญเพนนีหนึ่งเหรียญ”
บางคนหยิบเหรียญให้ด้วยความงง บางคนถามกลับว่า “ทำไม?”
แต่โฮเทอิไม่เคยตอบ เขาแค่ยิ้ม ถ้าอีกฝ่ายไม่ให้ เขาก็พยักหน้าเล็กน้อย แล้วเดินจากไปโดยไม่ว่าอะไร
แต่ถ้าใครยื่นเหรียญให้จริง ๆ โฮเทอิจะรับมันด้วยความนอบน้อม แล้วพูดเพียงว่า “ขอบคุณ” จากนั้นเขาก็เดินต่อ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีคำสอน ไม่มีบทอธิบาย มีเพียงเหรียญหนึ่งเหรียญ และชายคนหนึ่งที่ไม่เคยหยุดยิ้ม
แม้เวลาจะผ่านไป ชื่อของโฮเทอิก็ไม่เคยปรากฏอยู่ในตำราธรรมะอย่างเป็นทางการ เขาไม่เขียนหนังสือ ไม่เปิดสำนัก ไม่รับศิษย์ เขาเพียงแค่เดิน แจกของ ยิ้ม หัวเราะ และบางครั้งก็ขอเหรียญแดงหนึ่งเหรียญ
แต่คนที่เคยพบเขา มักจะจดจำภาพหนึ่งได้อย่างชัดเจน ภาพที่โฮเทอิวางถุงลงอย่างเงียบ ๆ และภาพที่เขาแบกถุงขึ้นอีกครั้งโดยไม่พูดอะไรเลย
หลายคนสงสัยว่า “แค่นั้นหรือ? แค่นั้นคือเซนจริงหรือ?” แต่ในความเงียบนั้น บางคนกลับเข้าใจมากกว่าการฟังธรรมะนับพันบท
เซนไม่ได้อยู่ในถ้อยคำแสนไพเราะ หรือในบทเทศนาที่ยาวยืด บางครั้งมันคือการวางสิ่งที่ไม่จำเป็นลง และบางครั้ง มันคือการหยิบสิ่งเดิมกลับขึ้นมาอย่างรู้แจ้ง ช้า ๆ และเรียบง่าย เหมือนกับถุงผ้าใบของโฮเทอิ

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ความเข้าใจในธรรมะหรือความจริง ไม่ได้มาจากถ้อยคำหรือคำอธิบายเสมอไป แต่เกิดจากการเห็น การสัมผัส และการดำเนินชีวิตจริง ๆ ด้วยจิตใจที่เปิดรับ บางครั้ง ความเงียบอาจให้คำตอบที่ลึกซึ้งกว่าการพูด และการกระทำธรรมดา ๆ เช่นการวางถุงลงหรือการแบกมันขึ้นใหม่ ก็อาจกลายเป็นคำสอนที่แท้จริงโดยไม่ต้องใช้ถ้อยคำใด
โฮเทอิไม่เคยอ้างตัวเป็นอาจารย์ ไม่เคยเทศนาอย่างเป็นทางการ แต่การกระทำของเขากลับสะท้อนแก่นของเซนอย่างลึกซึ้ง ทั้งเมื่อเขาวางถุงลงเพื่อแสดงการปล่อยวาง และเมื่อเขายกถุงขึ้นอีกครั้งเพื่อแสดงการนำธรรมะกลับมาใช้ในชีวิตจริง การกระทำที่ไร้คำอธิบายของเขาเปิดโอกาสให้ผู้ที่เฝ้าดูได้ “เห็น” ด้วยใจของตนเอง ซึ่งเป็นหัวใจของการเรียนรู้แบบเซนอย่างแท้จริง
อ่านต่อ: อ่านนิทานเซนสั้น ๆ สนุก ๆ ที่แฝงข้อคิดดี ๆ เกี่ยวกับชีวิตการปล่อยวางและความสงบ
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานเซนเรื่องชาวจีนผู้เป็นสุข (อังกฤษ: Happy Chinaman) เรื่องราวนี้มีต้นฉบับมาจากหนังสือชื่อ “Zen Flesh, Zen Bones” ซึ่งรวบรวมเรื่องเล่าทางเซนโดย Paul Reps และ Nyogen Senzaki ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1957 นิทานนี้เป็นหนึ่งใน 101 เรื่องสั้นเซนที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง ซึ่งใช้เล่าเพื่อเปิดประสบการณ์ทางจิตใจ มากกว่าจะอธิบายด้วยเหตุผล
เรื่องของโฮเทอิ (Hotei) หรือที่รู้จักในชื่อพระหัวเราะ เป็นเรื่องจริงที่ถูกเล่าขานในประวัติศาสตร์พุทธศาสนานิกายเซนของจีน โฮเทอิเป็นพระในยุคราชวงศ์ถัง ไม่ได้มีชื่อเสียงในฐานะครูสอนธรรมะแบบทางการ แต่เป็นผู้ที่ใช้ชีวิตธรรมดาเพื่อถ่ายทอดความหมายของธรรมะผ่านท่าที ความเมตตา และความเรียบง่ายในทุก ๆ วัน
รูปปั้นของโฮเทอิในไชน่าทาวน์ตามเมืองต่าง ๆ ของอเมริกา กลายเป็นสัญลักษณ์ของความสุข ความเมตตา และการปล่อยวาง ซึ่งสืบต่อมาจากวิถีของเขาในเรื่องเล่านี้นั่นเอง
คติธรรม: “บางคำถาม ไม่ต้องตอบด้วยปาก แต่ตอบด้วยการวาง…แล้วเดินต่อไป”