ในโลกที่เต็มไปด้วยการแย่งชิงและความหวาดกลัวต่อความสูญเสีย มีสิ่งหนึ่งที่เปล่งประกายเหนือทุกความมืดมิด นั่นคือความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ที่แท้จริง ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยเหลือผู้อื่น แต่ยังสามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมอันโหดร้ายได้อย่างน่าอัศจรรย์
มีนิทานชาดกเรื่องหนึ่ง เล่าเรื่องของผู้ให้ผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ไม่หวั่นไหวต่ออุปสรรคหรือภัยพิบัติใด ๆ เพื่อรักษาสัจจะและเมตตาเอาไว้ แม้กระทั่งความตายก็ไม่อาจกั้นขวางพลังแห่งการให้ที่บริสุทธิ์ กับนิทานชาดกเรื่องความเอื้อเฟื้อพิชิตความตาย

เนื้อเรื่องนิทานชาดกเรื่องความเอื้อเฟื้อพิชิตความตาย
ในอดีตกาลนานมาแล้ว ณ ดินแดนภารตะ มีเศรษฐีผู้หนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วในเรื่องความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เขาเปิดบ้านต้อนรับผู้ยากไร้และแจกทานแก่ผู้คนไม่เคยขาด
ชื่อเสียงแห่งการให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนของเขา ขจรขจายไปถึงสวรรค์และยมโลก
ในขณะเดียวกัน ณ ป่าใหญ่อันเงียบสงบ ฤๅษีผู้มีปณิธานมั่นคงในสมาธิกำลังบำเพ็ญเพียรอย่างแรงกล้า เขาเข้าสมาธิยาวนานจนละเลยการกินดื่ม ร่างกายผ่ายผอม อ่อนแรงเกินกว่าจะประคองตนได้
ทันทีที่ฤๅษีออกจากสมาธิ ก็พบว่าตนเองกำลังตกอยู่ในภาวะใกล้ตายด้วยความหิวโหย
ฤๅษีรวบรวมกำลังเฮือกสุดท้าย เดินโซซัดโซเซออกจากป่าไปยังหมู่บ้าน หวังเพียงจะได้อาหารประทังชีวิต และในใจเขานึกถึงเศรษฐีผู้มีชื่อเสียงในเรื่องการให้ ว่าคงจะเป็นผู้เดียวที่สามารถช่วยชีวิตเขาได้
ในขณะเดียวกันนั้นเองพระยม ผู้เป็นเทพเจ้าแห่งความตาย กำลังเฝ้าจับตามองเหตุการณ์อยู่แต่ไกล เมื่อเห็นฤๅษีผู้อ่อนแรงใกล้จะสิ้นชีวิต พระยมก็คิดในใจว่า “ถึงเวลาแล้วที่ข้าจะนำดวงจิตนี้ไปยังยมโลก”
เมื่อฤๅษีมาถึงหน้าคฤหาสน์ของเศรษฐี เศรษีเห็นสภาพอ่อนล้าของเขา ก็รู้ทันทีว่าฤๅษีกำลังตกอยู่ในภาวะคับขัน ด้วยความเมตตา เศรษฐีรีบรุดออกมาต้อนรับและเตรียมอาหารให้โดยไม่รอช้า
แต่พระยมไม่ต้องการให้ฤๅษีรอดชีวิต เขาจึงเนรมิตหลุมถ่านไฟลุกโชนกว้างใหญ่ ขวางกั้นระหว่างเศรษฐีกับฤๅษีไว้
เปลวไฟสีแดงฉานพวยพุ่งขึ้นสูง ลุกโชนราวกับจะกลืนกินทุกสิ่ง เศรษฐีหยุดอยู่ชั่วครู่ มองเห็นหลุมไฟที่พระยมสร้างขึ้น แต่ในใจของเขาไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย

เศรษฐีสูดลมหายใจลึก ขบคิดเพียงสั้น ๆ ว่า “หากปล่อยให้ฤๅษีตายต่อหน้าต่อตา ข้าก็ไร้ซึ่งเมตตา สมบัติใดในโลกก็ไร้ความหมาย”
ด้วยจิตใจแน่วแน่และเปี่ยมด้วยความเอื้อเฟื้อ เศรษฐีก้าวเท้าเข้าสู่หลุมไฟอันร้อนแรง โดยไม่หวั่นไหวต่อเปลวเพลิงที่แผดเผา
เขาเดินอย่างสงบนิ่ง ผ่านกองถ่านแดงฉานเหล่านั้นไปทีละก้าว อย่างน่าอัศจรรย์ ไม่มีรอยไหม้หรือบาดเจ็บใด ๆ ปรากฏบนร่างของเขาเลย
พระยมซึ่งเฝ้ามองอยู่เบื้องบน ถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง เพราะพลังแห่งความเมตตาและการให้ของเศรษฐีนั้น บริสุทธิ์จนกระทั่งไฟแห่งยมโลกไม่อาจทำอันตรายได้แม้แต่น้อย
เศรษฐีเดินมาถึงตัวฤๅษีอย่างปลอดภัย เขายื่นมือออกด้วยความเคารพ และประคองถาดอาหารถวายฤๅษีด้วยใจเปี่ยมด้วยศรัทธา ฤๅษีรับอาหารด้วยมือสั่นเทา แต่ดวงตาเปี่ยมด้วยความซาบซึ้งเกินบรรยาย
“ขอท่านเศรษฐีจงเจริญ ด้วยอานิสงส์แห่งการให้ที่ยิ่งใหญ่นี้” ฤๅษีกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงแต่เปี่ยมไปด้วยพรอันศักดิ์สิทธิ์
พระยมได้แต่ทอดถอนใจ ก่อนจะสลายหลุมไฟไปอย่างเงียบงัน และกลับสู่ยมโลกโดยปราศจากเหยื่อ เพราะพลังแห่งความเอื้อเฟื้อที่แท้จริงได้พิชิตแม้กระทั่งความตายเอง

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ที่ออกจากใจบริสุทธิ์ มีพลังยิ่งใหญ่จนสามารถเอาชนะอุปสรรคและภัยพิบัติทั้งปวงได้ แม้แต่ความตายซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้คนหวาดหวั่น ก็ไม่อาจขวางกั้นเจตนาที่เปี่ยมด้วยเมตตา
เศรษฐีผู้มิได้หวั่นเกรงต่อเปลวไฟแห่งยมโลก ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าการให้ที่แท้จริง มิได้หวังผลตอบแทน แต่เป็นการปล่อยแสงสว่างจากภายใน ที่ทรงพลังกว่าทุกเงามืดในโลกนี้
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานชาดกเรื่องความเอื้อเฟื้อพิชิตความตาย (อังกฤษ: Generosity Defeats Death) จัดอยู่ในหมวดมนุษยชาดก หรือชาดกที่พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นมนุษย์ ซึ่งเน้นการบ่มเพาะคุณธรรมอันสูงส่งผ่านการดำเนินชีวิตอย่างเปี่ยมด้วยเมตตาและเสียสละ
พระพุทธองค์ทรงเล่าเรื่องนี้ขึ้นเมื่อมีภิกษุรูปหนึ่งเกิดความสงสัยในพลังของความเอื้อเฟื้อ ว่าจะสามารถเอาชนะอุปสรรคใหญ่หลวงได้จริงหรือไม่ พระองค์จึงตรัสเล่าถึงเศรษฐีผู้มีจิตใจเมตตา ที่แม้ต้องเผชิญกับเปลวไฟแห่งความตาย ก็ยังสามารถก้าวข้ามไปได้ ด้วยพลังแห่งการให้ที่แท้จริง
ชาดกเรื่องนี้จึงสอนให้ตระหนักว่า ความเอื้อเฟื้อที่บริสุทธิ์นั้นมีพลังยิ่งใหญ่กว่าภัยพิบัติใด ๆ และสามารถนำพาผู้ให้ให้พ้นจากอันตรายทั้งปวงได้อย่างน่าอัศจรรย์
“ผู้มีเมตตาแท้ ย่อมก้าวข้ามอุปสรรคทั้งปวง แม้เปลวเพลิงแห่งความตายก็มิอาจขวางได้”