ปกนิทานชาดกเรื่องเพื่อนแท้ยามยาก

นิทานชาดกเรื่องเพื่อนแท้ยามยาก

บางความช่วยเหลือไม่ส่งเสียงดัง ไม่ยิ่งใหญ่ ไม่รวดเร็ว แต่มาถึงในจังหวะที่พอดีกับจิตใจที่กำลังจะพัง บางตัวตนที่ดูช้าเกินไป อ่อนแอเกินไป หรือเล็กเกินไป อาจกลายเป็นความกล้าหาญที่คาดไม่ถึง

มีนิทานชาดกเรื่องหนึ่ง ว่าด้วยปีกบาง ๆ ที่ตักน้ำทีละหยด เท้าที่หนักแน่นที่กลิ้งทราย และเสียงคำรามของผู้ไม่เอ่ยวาจา กับนิทานชาดกเรื่องเพื่อนแท้ยามยาก

ภาพประกอบนิทานชาดกเรื่องเพื่อนแท้ยามยาก

เนื้อเรื่องนิทานชาดกเรื่องเพื่อนแท้ยามยาก

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว กลางผืนป่าอันเขียวขจี ลึกเข้าไปจากทางเดินของผู้คน มีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง แผ่กิ่งก้านสูงล้ำไปถึงเมฆ ข้างบนสุดของกิ่งที่ไหวเบา ๆ ตามลมอ่อน

คือรังของครอบครัวเหยี่ยว พ่อเหยี่ยว แม่เหยี่ยว และลูกน้อยอีกสามตัวที่ยังบินไม่ได้ พวกมันอาศัยอยู่ท่ามกลางความเงียบสงบ ฟังเสียงลม เสียงใบไม้ เสียงสายน้ำในหุบเขา ไม่เคยรู้จักภัยใดนอกจากฝนแรงและแดดร้อน

แต่ถึงแม้จะเป็นสัตว์ที่บินโดดเดี่ยวบนฟ้า ครอบครัวเหยี่ยวกลับไม่ได้อยู่ลำพัง พวกเขามีเพื่อนสนิทสามตนที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

สิงโตผู้สง่างามที่เดินครองผืนดิน, นกกระเต็นจอมพูดที่อยู่ริมลำธาร, และเต่าผู้เงียบขรึมที่อาศัยใต้เงาไม้ริมสระน้ำ

แม้รูปร่าง สีสัน หรือนิสัยจะต่างกัน แต่มิตรภาพระหว่างพวกเขานั้นแน่นแฟ้นกว่ารากไม้ใต้ดิน พวกเขาเคยช่วยกันหาน้ำในหน้าแล้ง เคยแบ่งอาหารในฤดูฝน และเคยเตือนกันเรื่องกลิ่นคนที่ลอยมาในสายลม

บางครั้งก็เพียงนั่งอยู่ใต้เงาไม้ พูดคุยเรื่องใบไม้ที่ผลิช้า หรือฝนที่ตกเร็วกว่าปีก่อน “เพื่อนแท้ มิได้เกิดจากความเหมือน แต่เกิดจากการรู้ว่าจะไม่ทอดทิ้งกัน” แม่เหยี่ยวเคยเอ่ยเบา ๆ ขณะดูดวงตะวันตกลงหลังยอดไม้

และในฤดูแล้งหนึ่ง ความผูกพันนั้นกำลังจะถูกทดสอบ

วันหนึ่ง ท่ามกลางอากาศร้อนแล้ง แสงแดดสาดแรงจนเงาไม้แทบไม่มีให้พัก กลุ่มพรานห้าคนเดินลึกเข้ามาในป่า พวกเขาแบกหอกและถุงหนัง มองซ้ายขวาอย่างเงียบงัน หูเงี่ยฟังเสียงนก เสียงสัตว์ และเสียงลมหายใจของการล่า

เมื่อเดินมาถึงต้นไม้ใหญ่ที่มีรังของครอบครัวเหยี่ยว หนึ่งในนั้นชี้ขึ้นไป “ดูนั่นสิ ลูกนกตัวขาว ๆ ยังบินไม่ได้”

“พวกมันอ้วนพอจะย่างกินได้พอดี”

อีกคนหัวเราะเสียงต่ำ ก่อนตัดกิ่งแห้ง ก่อไฟใต้ต้นไม้ เปลวเพลิงเริ่มลุกทีละน้อย ควันดำพวยพุ่งขึ้นสู่ยอดไม้ กลิ่นเผาไม้ร้อนแรงจนใบไม้รอบข้างเริ่มไหม้

แม่เหยี่ยวที่เฝ้ารังอยู่เบื้องบนเบิกตากว้าง “พวกเขาจะฆ่าลูกของเรา!” เธอร้องเสียงสั่น รีบหันไปหาสามี

“ไปตามเพื่อนของเรา ไปตอนนี้! ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะไม่รอด!”

พ่อเหยี่ยวไม่พูดอะไรสักคำเดียว เขากระพือปีกออกจากกิ่งไม้ราวลูกศรที่พุ่งสู่ท้องฟ้า มุ่งหน้าไปตามสายลม สู่ลำธาร สู่พงไม้ สู่ที่ที่เพื่อนแท้ของเขาอาศัยอยู่

ในขณะเดียวกัน เบื้องล่าง เปลวไฟเริ่มเลียขึ้นสูง กลิ่นไม้ไหม้ลอยคละคลุ้ง ความร้อนแผ่ขึ้นสู่กิ่ง พวกพรานหัวเราะกันอย่างอารมณ์ดี ใบหน้าพวกเขาไม่รู้เลยว่ามีอะไรบางอย่างกำลังมุ่งตรงมาจากทั้งสามทิศ

ภาพประกอบนิทานชาดกเรื่องเพื่อนแท้ยามยาก 2

พ่อเหยี่ยวโฉบต่ำไปตามแนวลำธาร หัวใจเต้นรัวเร็วกว่าการบิน เขาเห็นนกกระเต็นสีน้ำเงินตัวหนึ่งกำลังโผบินอยู่เหนือผิวน้ำ

“นกกระเต็น! ไฟไหม้รังลูกของข้า! เจ้าช่วยได้ไหม!”

นกกระเต็นไม่ถามคำเดียว มันหันกลับและบินตามทันที ก่อนที่พ่อเหยี่ยวจะทันเปลี่ยนทิศไปเรียกเต่า เขาเห็นร่างกลมใหญ่กำลังค่อย ๆ เคลื่อนตัวไปยังแอ่งน้ำ

“ท่านเต่า! ลูกข้ากำลังจะถูกไฟคลอก! พรานจุดไฟใต้ต้นไม้!”

เต่าพยักหน้าเพียงครั้งเดียว ก่อนเร่งฝีเท้าด้วยแรงทั้งหมดที่มี แม้จะเชื่องช้า แต่ไม่มีความลังเลใดในดวงตา

สุดท้าย พ่อเหยี่ยวโฉบผ่านทุ่งหญ้า ไปยังถ้ำหินที่สิงโตพักอาศัย เขาไม่ทันได้พูดจบประโยค “เพื่อนข้า รังของข้า”

“ข้ารู้แล้ว” สิงโตคำรามในลำคอเบา ๆ แล้วพุ่งออกจากถ้ำดั่งสายฟ้าฟาด

ในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ ทั้งสามมิตรแท้ก็ปรากฏตัว ณ โคนต้นไม้ใหญ่ที่กำลังถูกไฟลามเลีย นกกระเต็นบินวนเหนือเปลวไฟ แล้วใช้จะงอยปากเล็ก ๆ ตักน้ำจากแอ่งน้ำมาโปรยใส่ไฟ แม้น้ำน้อยนิด แต่มันก็ไม่หยุด “ข้าจะดับมันให้ได้ แม้ต้องบินพันครั้ง!”

เต่าคลานเข้ามาจากอีกด้าน ใช้แผ่นกระดองตักทรายกลิ้งเข้าใส่กองไฟ แม้ช้า แต่มั่นคง เปลวไฟเริ่มชะงัก ละอองทรายคลุกเปลวจนกลายเป็นกลุ่มควัน

แล้วเสียงคำรามก็ดังขึ้นจากเบื้องหลัง “อย่ามาแตะต้องลูกเพื่อนข้า”

สิงโตยืนตระหง่าน ขนแผงคอสั่นไหวตามแรงลม เสียงคำรามของมันกระแทกอกพรานทุกคนราวกับพายุ คนหนึ่งทำหอกหลุดมือ อีกคนหงายหลังไปโดยไม่ทันตั้งตัว ไม่มีใครพูดอะไร ทุกคนต่างวิ่งหนีตะเกียกตะกายไปคนละทิศทาง

ปล่อยให้ควันไฟลอยอยู่กับความว่างเปล่า และเพื่อนแท้ทั้งสามที่ยืนอยู่เบื้องรังเหยี่ยว

เมื่อเปลวไฟมอดลง ควันจางหาย รังของลูกเหยี่ยวก็ยังอยู่ตรงนั้น ใบไม้บนกิ่งไม้เกรียมไปบางส่วน แต่เสียงเล็ก ๆ ของลูกน้อยยังคงร้องอยู่ พวกมันรอด แม่เหยี่ยวกอดลูกแน่นด้วยปีกทั้งสองข้าง พ่อเหยี่ยวหยุดหอบหายใจ แล้วหันไปมองมิตรทั้งสามที่ยืนอยู่ตรงนั้น

“พวกเจ้ามาทันเวลา ข้ากล่าวอะไรคงไม่พอ”

นกกระเต็นยิ้มและสะบัดน้ำออกจากปีก “พวกเราเป็นเพื่อนกัน ข้าจะให้ลูกเจ้าถูกเผาไปได้อย่างไร”

เต่ากลิ้งตัวมาหยุดใกล้ ๆ พูดด้วยเสียงแหบแห้ง “มิตรภาพที่ดี… ต้องไม่ลืมกันเวลามีภัย”

ส่วนสิงโตไม่พูดอะไร มันเพียงยกหน้าขึ้นสู่ฟ้า หายใจเข้าเต็มปอด แล้วเดินกลับเข้าป่าไปอย่างสงบ

ตั้งแต่นั้นมา เหยี่ยวไม่เคยลืมว่าครั้งหนึ่ง ใต้ต้นไม้ต้นนั้น ในยามที่ชีวิตใกล้ดับลงที่สุด ได้มีเสียงปีก เสียงทราย และเสียงคำรามของเพื่อนแท้ที่มาช่วยไว้

ฤดูร้อนผ่านพ้นไป ป่ากลับคืนสู่ความสงบ และในทุก ๆ เย็น เมื่อลมพัดเบา ๆ จากลำธาร เหยี่ยวก็จะมองไปยังขอบป่า แล้วกล่าวเบา ๆ กับลูกของมันว่า

“จำไว้นะลูก… เพื่อนแท้ ไม่ได้อยู่เพียงตอนที่เราหัวเราะ แต่จะอยู่ตอนที่ทุกอย่างรอบตัวกำลังมอดไหม้”

ภาพประกอบนิทานชาดกเรื่องเพื่อนแท้ยามยาก 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… เพื่อนแท้คือผู้ที่ไม่ลังเลจะยื่นมือเข้าช่วย แม้ไม่รู้ว่าจะสำเร็จหรือไม่ ขอเพียงได้อยู่ตรงนั้นในยามที่เราต้องการ

เมื่อลูกเหยี่ยวตกอยู่ในอันตราย พ่อเหยี่ยวมิได้รอความช่วยเหลือ แต่บินไปหาผู้ที่เขาเชื่อใจ และเพื่อนทั้งสามนกกระเต็น เต่า และสิงโตต่างไม่ตั้งคำถามใด ๆ ไม่มีใครรอให้ถูกขอซ้ำ ไม่มีใครถอยแม้รู้ว่าตนไม่แข็งแรงหรือช้าเกินไป พวกเขาทำเท่าที่ทำได้ และนั่นก็เพียงพอจะเปลี่ยนชะตาทั้งหมด

มิตรภาพที่แท้ จึงไม่ใช่แค่การอยู่ร่วมในวันที่สบาย แต่คือการยืนเคียงกันในวันที่ไฟลุกโชน แม้ตัวเองจะเปียก ปลิว หรือเดินช้า ก็ยังเลือกจะไม่หันหลัง

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานชาดกเรื่องเพื่อนแท้ยามยาก (อังกฤษ: Friends in Need) จัดอยู่ในหมวดติณมัยชาดก หรือชาดกที่พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งสะท้อนถึงความงดงามของมิตรภาพที่แท้จริง อันไม่ขึ้นอยู่กับรูปลักษณ์หรือเผ่าพันธุ์ หากตั้งอยู่บนความจริงใจ ความพร้อมจะช่วยเหลือ และความไม่ทอดทิ้งกันในยามยาก

พระพุทธองค์ทรงเล่าเรื่องนี้ขึ้นเมื่อมีภิกษุบางรูปเกิดความสงสัยในคุณค่าของการรักษาความสัมพันธ์ บางรูปละเลยเพื่อนสหธรรมิกในยามที่อีกฝ่ายประสบทุกข์ภัย ด้วยเกรงว่าจะทำให้ตนเสียเวลาในการภาวนา

พระองค์จึงทรงยกเรื่องของสัตว์สี่ชนิดเหยี่ยว สิงโต เต่า และนกกระเต็น ที่แม้แตกต่างในสภาพภายนอก แต่กลับรวมใจกันช่วยชีวิตเพื่อนในยามวิกฤตอย่างไม่ลังเล

ชาดกเรื่องนี้จึงชี้ให้เห็นว่า ความสัมพันธ์ที่ตั้งอยู่บนธรรมะ ย่อมไม่ถูกกำหนดด้วยผประโยชน์หรือความสะดวก แต่เกิดจากเจตนาอันบริสุทธิ์ ที่พร้อมจะลงแรง ลงใจ และแม้จะช้า ก็ยังขอมาให้ถึงในเวลาที่อีกฝ่ายยังต้องการ

“เพื่อนแท้ไม่จำเป็นต้องเก่งกว่าใคร แค่ไม่เดินหนีไปในวันที่เราอ่อนแอ ก็เพียงพอแล้ว”


by