ในโลกแห่งเทพนิยายเก่าแก่ของเยอรมนี ที่ป่าทึบอาจซ่อนทั้งความมหัศจรรย์และภัยอันตรายที่มองไม่เห็นไว้ด้วยกัน
มีนิทานกริมม์เรื่องหนึ่งเล่าถึงสายใยความรักและความซื่อสัตย์ระหว่างเด็กสองคน ที่ต้องใช้ปัญญาและพลังวิเศษแห่งการแปลงร่าง เพื่อหลบหนีจากเงื้อมมือของความมุ่งร้ายในบ้านของตนเอง กับนิทานกริมม์เรื่องฟุนเดอโฟเกล (นกเก็บมาเลี้ยง)

เนื้อเรื่องนิทานกริมม์เรื่องฟุนเดอโฟเกล (นกเก็บมาเลี้ยง)
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ยังมีนายพรานผู้หนึ่งอาศัยอยู่ริมชายป่า ในวันหนึ่งเขาเข้าไปล่าสัตว์ตามปกติ ทันทีที่ย่างเท้าเข้าสู่ความเงียบสงัดของพงไพร เขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องแผดเสียงอย่างน่าเวทนา ราวกับเป็นเสียงของเด็กน้อย เขาเดินตามเสียงไปจนกระทั่งมาถึงต้นไม้สูงใหญ่ต้นหนึ่ง และที่ยอดไม้นั้นเอง เขาก็พบเด็กทารกน้อยคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่
ความจริงแล้ว มารดาของเด็กน้อยคนนี้ได้เผลอหลับไปใต้ต้นไม้ โดยที่เด็กยังอยู่ในอ้อมแขน แต่นกนักล่าตัวใหญ่ได้มองเห็นเข้า จึงบินโฉบลงมา คว้าเด็กน้อยไปอย่างรวดเร็ว แล้วนำไปทิ้งไว้บนยอดไม้สูง
นายพรานปีนขึ้นไปนำเด็กน้อยลงมา เขานึกในใจว่า “ข้าจะนำเด็กคนนี้กลับบ้านไปด้วย และเลี้ยงดูให้เติบโตพร้อมกับลีนา ลูกสาวของข้า” เขาจึงพาเด็กทารกกลับบ้านไปตั้งแต่วันนั้น เด็กที่ถูกพบอยู่บนต้นไม้คนนี้ถูกตั้งชื่อว่าฟุนเดอโฟเกล ซึ่งหมายถึง “นกเก็บมาเลี้ยง”
ฟุนเดอโฟเกลและลีนาเติบโตมาด้วยกัน พวกเขารักและผูกพันกันอย่างสุดซึ้ง ชนิดที่ว่าเมื่อใดที่พวกเขาไม่ได้อยู่ด้วยกัน ต่างฝ่ายก็จะรู้สึกเหงาและเศร้าหมองทันที
อย่างไรก็ตาม นายพรานผู้นี้มีแม่ครัวเฒ่าคนหนึ่งชื่อซานนา วันหนึ่งในช่วงค่ำ ลีนาสังเกตเห็นแม่ครัวเฒ่าหยิบถังน้ำสองใบและเดินไปตักน้ำที่บ่อ นางมิได้ไปเพียงครั้งเดียว แต่กลับไปกลับมาหลายครั้งผิดวิสัย ลีนาจึงเอ่ยปากถามขึ้นว่า “คุณยายซานนา ทำไมถึงต้องตักน้ำมากมายขนาดนี้เจ้าคะ?”
แม่ครัวเฒ่าหันมาตอบเสียงกระซิบว่า “ถ้าเจ้าสัญญาว่าจะไม่นำไปบอกใคร ข้าจะบอกเหตุผลให้เจ้าทราบ”
ลีนาสาบานว่าเธอจะไม่บอกเรื่องนี้กับใครเป็นอันขาด แม่ครัวเฒ่าซานนาจึงเผยแผนร้ายออกมาว่า “รุ่งเช้าตรู่ เมื่อนายพรานออกไปล่าสัตว์ ข้าจะต้มน้ำพวกนี้ให้เดือดในกาน้ำ แล้วข้าจะจับเจ้าฟุนเดอโฟเกลทุ่มลงไป และต้มมันให้ตายเสีย เพราะข้าเกลียดเด็กเหลือขอมาก!”
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น นายพรานตื่นขึ้นและออกไปล่าสัตว์ตามที่แม่ครัวเฒ่าวางแผนไว้ ในขณะที่เขาลับหายไปจากบ้าน เด็กทั้งสองยังคงนอนอยู่บนเตียง
ลีนาหันไปกระซิบกับฟุนเดอโฟเกลว่า “หากเจ้าไม่มีวันทิ้งข้า ข้าก็จะไม่มีวันทิ้งเจ้าเช่นกัน” ฟุนเดอโฟเกลรับคำด้วยความหนักแน่นว่า “ไม่มีวันไหนทั้งในตอนนี้และตลอดไป ที่ข้าจะทิ้งเจ้า”
จากนั้นลีนาก็เล่าความจริงให้เขาฟัง “เมื่อคืนนี้ แม่เลี้ยงซานนาเฒ่าตักน้ำเข้าบ้านไว้มากมายจนข้าสงสัย นางบอกว่ารุ่งเช้าตรู่ เมื่อท่านพ่อออกไปล่าสัตว์ นางจะต้มกาน้ำให้เต็ม แล้วจับเจ้าทุ่มลงไปต้มเสีย! แต่เราต้องรีบลุกขึ้นแต่งตัว แล้วหนีไปด้วยกันตอนนี้เลย!”
เด็กทั้งสองจึงรีบลุกขึ้น แต่งตัวอย่างรวดเร็ว แล้วหนีออกจากบ้านไปในป่า
เมื่อน้ำในกาน้ำเดือดพล่าน แม่ครัวเฒ่าซานนาจึงย่องเข้าไปในห้องนอนเพื่อจะจับฟุนเดอโฟเกลมาโยนใส่ แต่เมื่อนางเดินเข้าไปถึงเตียง ทั้งฟุนเดอโฟเกลและลีนาก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย นางตกใจกลัวอย่างรุนแรง และรำพึงกับตัวเองว่า “ข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน เมื่อนายพรานกลับมาเห็นว่าเด็กหายไป? พวกมันต้องถูกตามล่ากลับมาทันที เดี๋ยวนี้ ตอนนี้!”
แม่ครัวเฒ่าจึงส่งคนรับใช้สามคนออกวิ่งตามหาและไล่ตามเด็กทั้งสอง
เด็กทั้งสองมานั่งพักอยู่บริเวณชายป่า และเมื่อพวกเขาเห็นคนรับใช้ทั้งสามกำลังวิ่งตามมาแต่ไกล ลีนาจึงพูดกับฟุนเดอโฟเกลว่า “จงอย่าทิ้งข้า และข้าก็จะไม่ทิ้งเจ้า” ฟุนเดอโฟเกลกล่าวซ้ำว่า “ทั้งในตอนนี้และตลอดไป”
ลีนาจึงกล่าวคาถาว่า “ถ้าอย่างนั้น เจ้าจงกลายร่างเป็นต้นกุหลาบเสีย และข้าจะเป็นดอกกุหลาบที่อยู่บนต้นนั้น”
เมื่อคนรับใช้สามคนมาถึงชายป่า พวกเขาก็ไม่เห็นอะไรเลยนอกจากต้นกุหลาบต้นหนึ่งกับดอกกุหลาบหนึ่งดอก พวกเขาหันมาพูดกันว่า “ที่นี่ไม่มีอะไรทำแล้ว”
แล้วพวกเขาก็กลับไปรายงานแม่ครัวเฒ่าว่าพวกเขาไม่พบอะไรนอกจากต้นกุหลาบเล็ก ๆ ต้นหนึ่งพร้อมดอกกุหลาบหนึ่งดอก แม่ครัวเฒ่าด่ากราดว่า “พวกโง่เง่า! พวกแกควรจะสับต้นกุหลาบให้เป็นสองท่อน แล้วเด็ดดอกกุหลาบกลับมาบ้านด้วย! ไปซะ! กลับไปทำเสียใหม่!”
คนรับใช้จึงจำต้องกลับออกไปตามหาอีกเป็นครั้งที่สอง แต่เด็ก ๆ มองเห็นพวกเขามาแต่ไกล ลีนาจึงพูดว่า “ฟุนเดอโฟเกล อย่าทิ้งข้า และข้าจะไม่ทิ้งเจ้า” ฟุนเดอโฟเกลกล่าวว่า “ทั้งในตอนนี้และตลอดไป”
ลีนาจึงกล่าวคาถาว่า “ถ้าอย่างนั้น เจ้าจงกลายร่างเป็นโบสถ์เสีย และข้าจะเป็นโคมระย้าที่อยู่ในนั้น”
เมื่อคนรับใช้ทั้งสามมาถึง พวกเขาก็ไม่พบสิ่งใดเลยนอกจากโบสถ์หนึ่งหลัง ซึ่งมีโคมระย้าอยู่ข้างใน พวกเขาจึงพูดกันว่า “ไม่มีอะไรแล้วที่นี่ ไปกลับบ้านกันเถอะ” เมื่อกลับถึงบ้าน แม่ครัวเฒ่าถามว่าพวกเขาหาเด็กพบหรือไม่ พวกเขาก็ตอบว่าไม่พบอะไรเลย นอกจากโบสถ์และมีโคมระย้าอยู่ในนั้น
แม่ครัวเฒ่าด่ากราดอีกครั้งว่า “พวกงี่เง่า! ทำไมพวกแกไม่พังโบสถ์ให้เป็นชิ้น ๆ แล้วนำโคมระย้ากลับมาบ้านด้วย!”

และบัดนี้ แม่ครัวเฒ่าซานนาผู้ชั่วร้ายก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป นางจึงลุกขึ้นยืนด้วยสองขาของตัวเอง แล้วออกติดตามเด็ก ๆ ด้วยตนเอง โดยไปพร้อมกับคนรับใช้ทั้งสาม
เด็ก ๆ มองเห็นคนรับใช้ทั้งสามกำลังวิ่งมาแต่ไกล และเห็นแม่ครัวเฒ่ากำลังเดินอุ้ยอ้ายตามมาติด ๆ ลีนาจึงกล่าวว่า “ฟุนเดอโฟเกล อย่าทิ้งข้า และข้าก็จะไม่ทิ้งเจ้า” ฟุนเดอโฟเกลกล่าวซ้ำว่า “ทั้งในตอนนี้และตลอดไป”
ลีนาจึงกล่าวคาถาสุดท้ายว่า “ถ้าอย่างนั้น เจ้าจงกลายเป็นบ่อน้ำเสีย และข้าจะเป็นเป็ดที่ลอยอยู่บนน้ำนั้น”
เมื่อแม่ครัวเฒ่ามาถึง นางเห็นเพียงบ่อน้ำขนาดใหญ่ที่นิ่งสงบ นางรู้สึกกระหายน้ำอย่างรุนแรงจากการเดินไล่ล่า และด้วยความโลภที่ต้องการทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า นางจึงก้มตัวลงไปที่ขอบบ่อน้ำ และทำท่าจะดื่มน้ำในบ่อจนหมดสิ้น
แต่ทว่า! เป็ดน้อย (ซึ่งคือลีนา) ที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ ก็ว่ายน้ำเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว นางใช้จะงอยปากอันแหลมคมจับเข้าที่ศีรษะของแม่ครัวเฒ่า และออกแรงดึงร่างนางจนล้มตกลงไปในน้ำ!
แม่ครัวเฒ่าผู้ชั่วร้ายพยายามดิ้นรนอย่างสุดกำลัง แต่นางไม่สามารถต้านทานพลังวิเศษและชะตากรรมของตนเองได้ นางจึงต้องจมน้ำตายอยู่ในบ่อน้ำนั้นอย่างอนาถ
เมื่อภยันตรายจากแม่ครัวเฒ่าซานนาผู้ชั่วร้ายถูกกำจัดไปแล้ว ร่างของเป็ดน้อยและบ่อน้ำก็พลันกลับกลายคืนสู่สภาพเดิม กลายเป็นลีนากับฟุนเดอโฟเกลที่ยืนอยู่เคียงข้างกัน เด็กทั้งสองได้สูดหายใจอย่างโล่งอก พวกเขาปลดปล่อยเสียงหัวเราะแห่งความดีใจออกมา เพราะรู้ดีว่าตอนนี้ทั้งสองปลอดภัยแล้วอย่างแท้จริง
พวกเขากลับไปยังบ้านของนายพราน แม้จะเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าจากการผจญภัยและการแปลงร่าง แต่ดวงตาของพวกเขาก็เปล่งประกายด้วยความปีติยินดี นายพรานผู้เป็นบิดาได้กลับจากการล่าสัตว์ในเวลาต่อมา และเมื่อเขาได้รู้ถึงเรื่องราวทั้งหมด ตั้งแต่แผนร้ายของแม่ครัวเฒ่า ไปจนถึงความกล้าหาญและความผูกพันที่ช่วยให้ลูกทั้งสองรอดชีวิตมาได้ เขาก็รู้สึกสะเทือนใจเป็นอย่างยิ่ง และสำนึกคุณในความรักอันบริสุทธิ์ของเด็กทั้งสอง
นายพรานกำชับให้ลีนาและฟุนเดอโฟเกลให้คำมั่นว่า จะไม่มีวันแยกจากกัน และจะรักษาความรักความซื่อสัตย์ที่มีต่อกันไว้ตลอดไป เพราะเขาได้ประจักษ์แล้วว่า ความรักและคำสาบานที่แน่วแน่นั้น เป็นพลังวิเศษที่ยิ่งใหญ่กว่าเวทมนตร์ใด ๆ และเป็นเกราะกำบังอันแข็งแกร่งที่สุดที่สามารถเอาชนะความชั่วร้ายและความริษยาได้ทุกรูปแบบ
จากวันนั้นเป็นต้นมา ชีวิตในกระท่อมกลางป่าก็กลับมาสู่ความสงบสุขดังเดิม ไม่มีภัยคุกคาม ไม่มีเสียงเดือดปุด ๆ ของน้ำในกาน้ำ และไม่มีสายตาชั่วร้ายของแม่ครัวเฒ่าอีกต่อไป ฟุนเดอโฟเกลและลีนายังคงเติบโตเคียงคู่กันอย่างมีความสุข ภายใต้การดูแลของนายพรานผู้ใจดี พวกเขาใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและรักกันมากขึ้นทุกวัน
และด้วยคำสาบานที่ว่า “จะไม่ทอดทิ้งกันทั้งในตอนนี้และตลอดไป” ทำให้ความสุขของพวกเขายั่งยืน…
และหากพวกเขาไม่ตายจากไปเสียก่อน พวกเขาก็ยังคงมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขสืบไปจนถึงทุกวันนี้

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ความรักและความผูกพันที่ซื่อสัตย์และแน่วแน่ระหว่างคนสองคน คือพลังวิเศษที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ซึ่งสามารถใช้เป็นเกราะป้องกันและอาวุธในการเอาชนะความชั่วร้ายและความริษยาได้ทุกรูปแบบในโลกนี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรักษาคำมั่นสัญญาที่จะไม่ทอดทิ้งกัน ทำให้ลีนาสามารถใช้สติปัญญาและอำนาจในการแปลงร่างได้อย่างต่อเนื่องเพื่อหลบหนีภัย การร่วมมือกันและการเชื่อมั่นในกันและกันจึงเป็นหัวใจสำคัญของการอยู่รอด ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่า แม้แต่เด็กตัวเล็ก ๆ ที่ต้องเผชิญหน้ากับผู้ใหญ่ที่ชั่วร้าย ก็สามารถเอาชนะได้ด้วยความกล้าหาญที่เกิดจากความรักและความสามัคคีนั่นเอง
อ่านต่อ: คอลเลกชันนิทานโด่งดังจากยุโรปนิทานกริมม์อ่านสนุกได้ข้อคิดดี ๆ
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานกริมม์เรื่องฟุนเดอโฟเกล (นกเก็บมาเลี้ยง) (อ้งกฤษ: Fundevogel (Bird-foundling)) นิทานเรื่องนี้มาจากคอลเลกชันนิทานของพี่น้องกริมม์ (Grimm’s Fairy Tales) อยู่ในลำดับที่ 051 KHM
เนื้อเรื่องจัดอยู่ในประเภทนิทานพื้นบ้านที่เน้นเรื่อง “การหลบหนีด้วยพลังวิเศษ” (Magic Flight) เป็นที่รู้จักกันดีในหลาย ๆ เรื่อง เช่น โรแลนด์ที่รัก โดยมีตัวละครที่สามารถแปลงร่างได้อย่างต่อเนื่องเพื่อหนีจากผู้ไล่ล่า ซึ่งเป็นโครงเรื่องที่พบได้บ่อยในนิทานพื้นบ้านของยุโรป
แก่นของเรื่องสะท้อนความเชื่อดั้งเดิมเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างพลังแห่งความดีงามและความผูกพันในครอบครัว (ฟุนเดอโฟเกลและลีนา) กับความชั่วร้ายที่แฝงอยู่ในบ้าน (แม่ครัวเฒ่า) ซึ่งมักถูกเชื่อมโยงกับเรื่องแม่มดหรือปีศาจในเทพนิยายเยอรมัน
คติธรรม: “ความผูกพันอันบริสุทธิ์คือพลังเวทมนตร์ที่แข็งแกร่งที่สุด ซึ่งสามารถทำลายความชั่วร้ายที่เกิดจากความริษยาได้ทุกรูปแบบ”

