ปกนิทานชาดกเรื่องการให้อภัย

นิทานชาดกเรื่องการให้อภัย

บางครั้งสิ่งที่แตก ไม่ได้แตกเพราะแรงกระแทก แต่มาจากความเงียบที่ไม่มีใครยอมพูดก่อน บางประโยคที่ไม่ได้กล่าว อาจกลายเป็นรอยร้าวที่ขยายออกทุกวัน จนใจที่เคยใกล้กันต้องห่างไปโดยไม่ตั้งใจ

มีนิทานชาดกเรื่องหนึ่ง ว่าด้วยผลไม้ที่ยังไม่สุก กับคำพูดที่สุกเกินไป จนทำให้สองพี่น้องต้องจากกันไกล และสิ่งเดียวที่ทำให้พวกเขากลับมาพบกันอีกครั้ง… ก็คือการให้อภัย กับนิทานชาดกเรื่องการให้อภัย

ภาพประกอบนิทานชาดกเรื่องการให้อภัย

เนื้อเรื่องนิทานชาดกเรื่องการให้อภัย

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในหมู่บ้านอันเงียบสงบแห่งหนึ่ง มีครอบครัวเล็ก ๆ อาศัยอยู่ด้วยกันอย่างเรียบง่าย พ่อ แม่ และลูกชายสองคน พี่คนโตสงบสุขุม ส่วนน้องชายมีนิสัยร่าเริงและขยันขันแข็ง ทั้งสองเติบโตมาท่ามกลางธรรมชาติ ซึมซับความสงบจากผืนดิน ลมฝน และแสงแดด

เมื่อถึงวัยที่ผู้คนโดยมากเริ่มมองหาคู่ครอง พ่อแม่จึงกล่าวกับลูกทั้งสองด้วยความหวัง “เจ้าสองคนควรมีครอบครัวของตน ถึงเวลาแล้วที่จะตั้งหลักปักฐาน”

แต่ลูกชายทั้งสองกลับสบตากัน แล้วกล่าวเป็นเสียงเดียวกัน “เรามิได้อยากครองเรือน อยากแสวงหาความสงบ อยากบำเพ็ญเพียรในป่า”

พ่อกับแม่ตกใจในทีแรก แต่เมื่อได้ยินถ้อยคำจริงใจและมุ่งมั่นของลูก พวกเขากลับนิ่งไปเนิ่นนาน แล้วจึงกล่าวว่า “หากเจ้าอยากสละทางโลก เช่นนั้นเราก็จะไปกับเจ้า”

ครอบครัวทั้งสี่จึงละทิ้งเรือนของตน ขึ้นเขาไปอยู่ในอาศรมกลางป่า ใช้ชีวิตเรียบง่ายด้วยผลไม้และน้ำจากธาร เย็นเช้าสวดมนต์ ภาวนา และช่วยกันดูแลซึ่งกันและกัน

วันเวลาผ่านไป แม้จะเรียบง่าย แต่ความสงบที่แท้จริงนั้น ก็ยังมีบางสิ่งรอทดสอบอยู่ข้างหน้า

เช้าวันหนึ่ง ขณะที่พ่อแม่กำลังนั่งหลับตาอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ พี่ชายเดินมาหาน้องผู้กำลังนั่งสานกระจาด

“น้องเอ๋ย วันนี้เจ้าช่วยไปเก็บผลไม้สุกมาให้พ่อแม่หน่อยเถิด”

“ได้สิพี่ ข้าจะรีบไป รีบกลับ”

น้องชายเดินเข้าป่าพร้อมกระจาดเปล่า แสงแดดยามสายสาดผ่านพุ่มไม้ กลิ่นหอมของดินและลมพัดอ่อน ๆ พาให้เขารู้สึกสดชื่น เขาเห็นต้นไม้ลูกกลมสีเขียวอมเหลือง ห้อยระย้าลงมา จึงรีบเก็บอย่างระมัดระวัง

เมื่อกลับมาถึงอาศรม พี่ชายรับผลไม้ไปดู แล้วขมวดคิ้วทันที

“นี่เจ้ามองไม่ออกหรือว่ามันยังไม่สุก? พ่อแม่จะกินได้อย่างไร?”

น้องชายหน้าเสีย รีบตอบอย่างรู้สึกผิด “ข้า… ข้าเก็บมาโดยดูจากสีที่เปลี่ยนแล้ว ข้าเข้าใจผิด”

“ไม่ใช่แค่ผิด แต่คือความสะเพร่า เจ้ามัวใจลอยหรืออย่างไร?”

ถ้อยคำรุนแรงของพี่ชายทำให้น้องชายก้มหน้าเงียบ สำนึกในความผิดนั้นมีอยู่ แต่ความเสียใจก็ท่วมท้น

พี่ชายไม่กล่าวคำปลอบใจแม้แต่น้อย กลับหันหน้าเดินหนีไปอีกทาง ก่อนจะกล่าวเสียงเข้ม

“ไปเถิด ถ้าเจ้าไม่รู้จักรับผิดชอบ อย่าอยู่รบกวนการภาวนาของใครเลย”

น้องชายยืนนิ่งอยู่กลางลานหิน สายลมที่เคยเย็นกลับกลายเป็นสิ่งที่ผลักไส เขาไม่พูดคำใดอีก เก็บกระจาดเปล่าแล้วเดินจากไป

เสียงเท้ากระทบพื้นดินค่อย ๆ ห่างออก จนเหลือเพียงความเงียบของป่า ที่ไม่อาจตอบคำถามในใจได้เลยว่า ความผิดพลาดหนึ่งครั้ง ควรทำลายมิตรภาพทั้งหมดหรือไม่

ภาพประกอบนิทานชาดกเรื่องการให้อภัย 2

เมื่อน้องชายเดินจากอาศรม เขามิได้รู้ทิศทางที่แน่ชัด เพียงเดินไปตามเส้นทางที่ไม่มีใครรออยู่เบื้องหลัง และไม่มีเป้าหมายที่แน่นอนเบื้องหน้า ความเงียบในใจกลายเป็นเสียงที่ดังที่สุดในป่า

แต่เขาไม่หยุด เขาเดินผ่านหุบเขา ลำธาร และแนวไผ่ จนกระทั่งพบกับกองทัพของพระราชาที่ตั้งค่ายอยู่ริมเชิงเขา ทหารหลายคนกำลังจับอาวุธ สีหน้าเคร่งเครียด เสียงพูดคุยต่ำและหนัก

“ศัตรูของพระองค์ล้อมมาอีกด้าน หากไม่มีปาฏิหาริย์ก็คงยากจะรอด” หนึ่งในแม่ทัพกล่าว

น้องชายเฝ้ามองอยู่เงียบ ๆ เขาพินิจแผนที่ ปราการ ภูมิประเทศ แล้วกล่าวเบา ๆ กับตนเอง “ข้ามีบางสิ่งที่พอช่วยได้”

เขาเข้าเฝ้าพระราชาในยามค่ำ กล่าวถึงความรู้ในการกำหนดลม การรู้จังหวะของธาตุและกระแสชีวิต ด้วยการเพียรภาวนาที่เขาได้ฝึกมาตลอด

พระราชาทอดพระเนตรดูชายผู้นั้นแล้วตรัสว่า “หากเจ้าช่วยเราได้ เจ้าจะได้สิ่งใดก็ขอมาเถิด”

น้องชายมิได้ลังเล เขานำพระราชาและทัพเดินทางผ่านเส้นทางลับ ใช้จังหวะลมและเงาเข้าปราบศัตรูอย่างรวดเร็ว รุ่งเช้า ท้องฟ้าสว่างพร้อมกับชัยชนะ

พระราชาทรงดีพระทัย ตรัสถามอย่างเปิดใจ “เจ้าต้องการรางวัลอันใด?”

ชายหนุ่มเพียงย่อกายแล้วกล่าวอย่างสงบ “ข้าไม่ปรารถนาทองคำ ข้าไม่ต้องการชื่อเสียง ข้าเพียงต้องการให้พระองค์เสด็จไปกับข้า เพื่อไปยังอาศรมในป่า และขอให้พี่ชายของข้า… ให้อภัย”

เมื่อควันของสงครามจางไป ก้าวพระบาทของพระราชาก็เดินทางผ่านป่าลึก สู่ที่ที่ไม่มีใครคาดว่าจะได้ยินเสียงราชรถ เขาเสด็จเคียงข้างน้องชาย ม้าและทหารหยุดอยู่ด้านนอก ปล่อยให้ความเงียบของธรรมชาตินำทาง

ที่ลานหินหน้าอาศรม พี่ชายยังคงนั่งหลับตาอยู่ใต้ต้นไม้เหมือนเดิม เงาร่มไม้ทอดยาวดั่งไม่เคยขยับ น้องชายเดินเข้าไปช้า ๆ คุกเข่าลงเบื้องหน้า

“พี่… ข้าผิดแล้ว ข้ามิได้มีเจตนา ข้าเพียงอยากดูแลพ่อแม่ให้ดีที่สุด ข้าเก็บผลไม้ผิด ข้ารับได้หากพี่ไม่ให้อภัย แต่ข้ามาวันนี้เพื่อขอให้พี่ได้รู้ว่าข้ายังคิดถึงท่านทุกลมหายใจ”

พี่ชายลืมตาขึ้น ชำเลืองมองไปยังร่างกษัตริย์ที่ยืนอยู่ห่างออกไป แล้วทอดสายตากลับมาที่น้องชาย

“เจ้าลงเขาไปมีชีวิต มีชื่อเสียง มีอำนาจ แล้วเหตุใดจึงกลับมาเพื่อคุกเข่าต่อผู้ที่เคยไล่เจ้า?”

น้องชายเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงตาไม่สั่นไหว “เพราะข้าไม่ได้ต้องการชัยชนะใด นอกจากการได้พี่ชายของข้าคืนกลับมา”

ถ้อยคำนั้นมิใช่คำขอร้อง แต่เป็นเสียงที่กลั่นจากใจที่ยังผูกพัน

พี่ชายลุกขึ้นช้า ๆ ก้าวมายืนตรงหน้า แล้วยื่นมือออก “เจ้าคือผู้น้องของข้า และจะเป็นเช่นนั้นเสมอไป”

ทั้งสองกอดกันในความเงียบ มีเพียงสายลมที่พัดใบไม้ร่วงลงบนพื้นอย่างอ่อนโยน พระราชาทอดพระเนตรภาพนั้นด้วยรอยยิ้มบาง ๆ ก่อนจะหันหลังกลับโดยไม่พูดคำใด

จากวันนั้น ครอบครัวที่เคยแยกจากได้กลับมาอยู่ร่วมกันอีกครั้ง มิใช่เพราะคำว่าญาติ แต่เพราะคำว่าให้อภัย

ภาพประกอบนิทานชาดกเรื่องการให้อภัย 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ความผิดพลาดเพียงครั้งเดียว อาจพาให้คนสองคนเดินห่างออกจากกัน แต่คำว่า “ให้อภัย” เพียงคำเดียว กลับสามารถพาใจที่ห่างไกล ให้กลับมาใกล้กว่าเดิม

พี่ชายเคยไล่น้องไปเพราะความโกรธ น้องชายเคยเดินจากมาโดยไม่มีคำแก้ตัว แต่เมื่อความเสียใจถูกแทนที่ด้วยความจริงใจ และอัตตาถูกวางลงด้วยความรัก มิตรภาพและครอบครัวก็หวนคืน

บางครั้ง สิ่งที่ยากไม่ใช่การยอมแพ้… แต่คือการยอมให้อภัย

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานชาดกเรื่องการให้อภัย (อังกฤษ: Forgiveness) จัดอยู่ในหมวดมนุษยชาดก หรือชาดกที่พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นมนุษย์ เนื้อเรื่องสะท้อนถึงคุณค่าของ “การให้อภัย” ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการรักษาความสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นระหว่างพี่น้อง เพื่อน หรือผู้ร่วมอยู่ใต้ฟ้าเดียวกัน

พระพุทธองค์ทรงเล่าเรื่องนี้ขึ้น เมื่อมีภิกษุรูปหนึ่งไม่ยอมพูดกับสหธรรมิกผู้เคยทำให้ขัดเคืองใจ แม้เวลาจะผ่านไปนาน แต่ความโกรธยังค้างคาอยู่ในใจ

พระองค์ทรงตรัสเล่าเรื่องของสองพี่น้องที่เคยบำเพ็ญเพียรร่วมกัน แต่เพราะความเข้าใจผิดเพียงเล็กน้อยกลับทำให้ต้องแยกจากกัน แม้ฝ่ายหนึ่งจะประสบความสำเร็จ มีอำนาจ และได้รับการยกย่องจากกษัตริย์ แต่สิ่งที่เขาปรารถนาจริง ๆ คือการได้ “คำอภัย” จากพี่ชาย

ชาดกเรื่องนี้จึงสอนให้เห็นว่า การให้อภัยมิใช่การยอมแพ้หรืออ่อนแอ แต่คือการเปิดพื้นที่ให้ความสัมพันธ์ได้หายใจอีกครั้ง และเป็นการชนะความโกรธที่แท้จริง

“การให้อภัย อาจไม่เปลี่ยนอดีต… แต่เปลี่ยนอนาคตได้เสมอ”


by