ปกนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องลืมความรู้

นิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องลืมความรู้

ผู้คนมากมายต่างเชื่อว่า ยิ่งเรียนรู้มากเท่าไร ก็ยิ่งควบคุมชะตาชีวิตและเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้มากขึ้น แต่ในคำสอนของเต๋า กลับชี้ไปในอีกหนทางหนึ่ง ซึ่งไม่ได้เน้นการสะสมความรู้ หากแต่เป็นการลดละสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไปทีละน้อย เพื่อให้ใจว่างและเห็นความจริงได้ชัดเจนกว่าเดิม

มีนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องหนึ่ง ที่เล่าจื๊อเล่าผ่านประสบการณ์ของตนเอง ตั้งแต่ครั้งยังเป็นบัณฑิตหนุ่มผู้ใฝ่รู้ จนได้พบความจริงอันลึกซึ้งของหนทางแห่งเต๋า กับนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องลืมความรู้

ภาพประกอบนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องลืมความรู้

เนื้อเรื่องนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องลืมความรู้

ในยามนั้น ตอนที่ข้ายังเป็นเพียงบัณฑิตหนุ่มผู้หมกมุ่นอยู่กับตำรา ข้าใช้เวลาทุกเช้าเย็นคลุกอยู่กับกองหนังสือและกระดาษไผ่ อ่านถ้อยคำโบราณเหมือนกับว่ามันคือกุญแจที่จะไขทุกปริศนาของโลก

ทุกครั้งที่ข้าเจอข้อความที่ยากแก่การเข้าใจ ข้าจะจดซ้ำ ๆ ลงบนกระดาษ และบอกกับตัวเองว่า

“ยิ่งข้าเรียนรู้มากขึ้นเท่าไร ข้าย่อมควบคุมชีวิตและสรรพสิ่งได้มากขึ้นเท่านั้น”

ความมั่นใจนั้นกลายเป็นเพื่อนสนิทที่คอยกระซิบอยู่ในใจเสมอ และไม่นานนัก ชาวบ้านรอบ ๆ ก็เริ่มนับถือข้าว่าเป็น “บัณฑิตผู้แตกฉาน” ใครมีปัญหาอะไรก็มักมาหาข้า เพื่อฟังคำตอบจากตำรา

วันหนึ่งผู้อาวุโสในหมู่บ้านก้าวเข้ามาหาข้า เขามีสีหน้าเคร่งเครียด

“เล่าจื๊อ” เขาเอ่ยเสียงหนักแน่น “หมู่บ้านของเรากำลังเดือดร้อน น้ำจากภูเขาไหลบ่าลงมาไม่หยุด ทุ่งนาถูกทำลาย บ้านเรือนกำลังพัง เจ้าผู้มีความรู้มากมาย โปรดช่วยชี้ทางเถิด”

หัวใจข้าเต้นแรงด้วยความภูมิใจ…นี่คือเวลาที่ความรู้ของข้าจะได้พิสูจน์!
ข้าโค้งให้เขาแล้วตอบอย่างมั่นใจ

“ไม่ต้องห่วงท่านอาวุโส ข้าได้เรียนตำรามามากมายเกี่ยวกับการควบคุมน้ำและผืนดิน ข้าจะจัดการให้ทุกอย่างเป็นระเบียบตามที่ตำรากล่าวไว้ ไม่มีอะไรเกินความสามารถของข้า”

ในแววตาข้าเวลานั้น… มีเพียงประกายแห่งความเชื่อมั่นเต็มเปี่ยม โดยไม่รู้เลยว่ากำลังจะเดินเข้าสู่บทเรียนที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิต

รุ่งเช้าวันถัดมา ข้าพาคนทั้งหมู่บ้านไปยังลำธารที่ไหลมาจากภูเขา ข้าอุ้มม้วนตำราแนบอกเหมือนดาบคู่ใจ พลางสั่งการด้วยน้ำเสียงมั่นคง

“เจ้าจงสร้างคันดินตรงนี้… ส่วนตรงนั้นให้ก่อเสาไม้ขึ้นสูง และที่นี่จงขุดร่องน้ำให้กว้างตามตำรา ข้าศึกษามาแล้ว ทุกอย่างจะเป็นไปตามหลักวิชาแน่นอน”

ชาวบ้านบางคนมองหน้ากันอย่างไม่มั่นใจ แต่เพราะต่างเชื่อในชื่อเสียงความรู้ของข้า จึงทำตามโดยไม่เอ่ยคำค้าน

หลายวันผ่านไป กำแพงดินสูงตระหง่าน ร่องน้ำยาวเหยียดราวกับเป็นงานศิลป์แห่งตำรา ข้ายืนมองด้วยความภาคภูมิใจและพูดกับตนเองว่า

“นี่แหละคือพลังของความรู้… ข้าได้ควบคุมแม่น้ำแล้ว!”

แต่โชคชะตากลับหัวเราะใส่ข้า…

ไม่นานเมฆดำก็ปกคลุม ฝนเทกระหน่ำ น้ำจากภูเขาไหลบ่าอย่างบ้าคลั่ง กำแพงดินที่ข้าสั่งให้สร้างกลับกั้นผิดทาง น้ำทะลักเข้าท่วมเรือนชาวบ้านหลายหลัง ต้นข้าวถูกถอนรากตายเกลื่อน ทุ่งนาบางแห่งกลับแห้งผากจนดินแตกระแหง

เสียงกรีดร้องและความโกรธเกรี้ยวของชาวบ้านดังขึ้นรอบตัว

“เจ้าบัณฑิตที่อ่านแต่ตำรา หึ!”
“ความรู้ของเจ้าทำให้เราพังยับยิ่งกว่าเดิม!”

ข้ายืนนิ่งอยู่ท่ามกลางสายฝน ม้วนตำราหล่นลงบนพื้นดินเละ ข้ารู้สึกเหมือนถูกตบหน้าด้วยความจริงอันโหดร้าย

ข้าเอาแต่ถามตัวเองในใจ… “เหตุใดกัน ข้าอ่านมานับไม่ถ้วน ข้าท่องจำจนหมด แต่เมื่อเผชิญความจริงต่อหน้า เหตุใดทุกสิ่งกลับพังทลายเช่นนี้เล่า? หรือว่าความรู้ของข้า…ไร้ค่าเสียแล้ว?”

ข้าไม่กล้าแม้แต่จะมองตาผู้คน ร่างทั้งร่างหนักอึ้งเหมือนถูกกดด้วยภูเขา ความมั่นใจที่เคยสูงส่ง พังครืนเหมือนกำแพงดินที่เพิ่งแตกไปต่อหน้าต่อตา

ภาพประกอบนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องลืมความรู้ 2

ข้าเดินออกจากหมู่บ้านโดยไม่เหลียวหลัง… เสียงชาวบ้านที่โกรธเกรี้ยวยังคงก้องในหู แต่หัวใจของข้าว่างเปล่าเกินกว่าจะรับฟัง ข้าแบกความล้มเหลวไว้บนบ่าหนักหน่วง จนแม้แต่ตำราที่เคยเป็นสมบัติล้ำค่าก็กลายเป็นเพียงกองไม้ไผ่เปียกฝน

ข้านั่งลงริมทุ่ง เหม่อมองสายน้ำไหลรินอย่างเงียบงัน พลันสายตาก็สะดุดกับชาวนาชราผู้หนึ่ง เขากำลังซ่อมคันนาเล็ก ๆ ด้วยมือเปล่า ไม่ได้มีตำรา ไม่ได้มีทฤษฎีใด ๆ

ข้าเอ่ยถามเขาเสียงแผ่ว “ท่านชรา…เหตุใดท่านไม่สร้างคันดินใหญ่ ๆ อย่างที่ตำรากล่าวเล่า? เช่นนั้นน้ำคงถูกควบคุมดีกว่านี้มิใช่หรือ?”

ชายชราหัวเราะเบา ๆ พลางเอานิ้วจุ่มน้ำแล้วปล่อยให้หยดไหลผ่าน “เจ้าหนุ่มเอ๋ย น้ำหาใช่สิ่งที่ต้องควบคุม หากแต่ต้องให้มันไหลไปตามทางของมัน… หน้าที่เราคือเฝ้ามอง ปรับเพียงเล็กน้อยตามความเป็นจริง ไม่ฝืน ไม่ขัดขืน”

ข้านิ่งฟัง หัวใจเหมือนถูกคมมีดเฉือนเบา ๆ ความจริงตรงหน้าสอนข้ามากกว่าตำรานับพันเล่ม

“บางที…สิ่งที่ข้าอ่านมา อาจเป็นเพียงเงา แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้านี้ คือความจริง”

คืนนั้น ข้านั่งใต้แสงจันทร์ มือถือม้วนตำราที่เปียกน้ำจนตัวอักษรเลือนราง ข้าเงยหน้ามองฟ้าแล้วพูดกับตนเอง “ความรู้ของข้ามิใช่ความผิด แต่สิ่งที่ผิดคือการยึดมั่นว่า ข้าสามารถบังคับโลกได้ด้วยมัน… ข้าโง่เขลาเหลือเกิน”

สายลมพัด ม้วนตำราปลิวหลุดจากมือข้าไหลไปตามน้ำ ข้ามองตามโดยไม่คิดคว้าไว้อีกต่อไป พลันใจกลับรู้สึกเบาสบายอย่างที่ไม่เคยเป็น

วันหนึ่งข้าเดินเข้าไปหาพระชราผู้หนึ่งที่นั่งสงบอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ กุฏิเล็กเก่า ๆ อยู่เบื้องหลัง บรรยากาศเงียบสงัด ราวกับโลกทั้งใบหยุดฟัง ข้าถามพระชรา “ท่านอาจารย์… ข้าแบกตำรามากมาย หวังจะเข้าใจสรรพสิ่ง แต่ยิ่งเรียนรู้กลับยิ่งสับสน ไม่รู้ว่าควรเดินทางใดต่อไป”

พระชราลืมตาช้า ๆ สายตาเปี่ยมเมตตา “เจ้าหนุ่มเอ๋ย… คน ๆ เดียวจะรู้ทุกสิ่งในโลกได้อย่างไร? ความรู้ทั้งหมดนั้นกว้างใหญ่ดุจท้องฟ้า แต่สิ่งที่มนุษย์หยิบได้ก็เป็นเพียงฝุ่นละอองเล็กน้อยเท่านั้น อย่าหลงคิดว่าการอ่านตำรามากมายจะทำให้เจ้ารู้แจ้งทุกเรื่อง”

เล่าจื๊อก้มหน้าลงอย่างอับอาย “ข้าคิดมาตลอดว่าความรู้มากจะทำให้ข้ามีพลังเหนือผู้อื่น แต่บัดนี้…ข้าเริ่มเห็นความโง่เขลาของตน”

พระชรายิ้มบาง เอ่ยต่ออย่างอ่อนโยน “จงถ่อมตนเถิด ความรู้ของเจ้ามิใช่คำตอบสำหรับทุกคน ทุกเวลา ทุกสถานการณ์ แต่สิ่งที่เจ้าทำได้คือเลือกทางของตนเอง ใช้สิ่งที่เรียนมาเป็นเพียงแสงสว่างนำทาง มิใช่โซ่ตรวนผูกใจ”

“เรียนรู้เพื่อจะลืม… ไม่ใช่ลืมเพราะไม่รู้ แต่ลืมเพราะไม่ยึดติด ให้ความรู้กลายเป็นเพียงหนทาง ไม่ใช่พันธนาการ เมื่อถึงฝั่งแล้ว แพก็ไม่จำเป็นต้องแบกไว้ แม้แต่ธรรมะเจ้าก็ไม่ควรยึดติด”

เสียงลมพัดผ่าน เสมือนคำสอนนั้นไหลเข้าสู่หัวใจของเล่าจื๊อ เขาหลับตาลง ก้มกราบด้วยความซาบซึ้ง “ข้าจะเรียนรู้เพื่อปล่อยวาง และจะไม่ยึดติดในความรู้ที่เก็บสะสมอีกต่อไป ข้าจะเลือกหนทางของตนเอง ด้วยความถ่อมตน”

ดวงตาของเขาเมื่อเงยขึ้น พลันเห็นโลกเรียบง่าย และเบาสบายกว่าที่เคยเป็นมา สิ่งที่ควรทำ มิใช่กักเก็บ แต่คือการปล่อยให้มันไหลไปตามทางของมัน

ภาพประกอบนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องลืมความรู้ 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า.. ความรู้มิใช่สิ่งที่จะยึดถือไว้ตลอดกาล ยิ่งสะสมมากก็ยิ่งหนัก หากไม่รู้จักปล่อยวางก็จะกลายเป็นภาระแทนที่จะนำพาไปสู่ความสงบ การเรียนรู้ที่แท้จริงจึงอยู่ที่การรู้ขอบเขตของตน รู้ว่าไม่มีผู้ใดบนโลกนี้สามารถเข้าใจสรรพสิ่งทั้งหมดได้ และเมื่อเข้าใจเช่นนี้ก็จะเกิดความถ่อมตน ไม่อวดอ้างตนเหนือใคร แต่เลือกใช้ความรู้เพียงเท่าที่จำเป็น เดินบนหนทางของตนเองด้วยใจที่เบาและอิสระ นี่คือหัวใจของ “การลืมความรู้” ในคัมภีร์เต้าเต๋อจิง

ในนิทาน เล่าจื๊อประสบกับความล้มเหลวครั้งใหญ่ แม้เขาจะมีความรู้มากมายแต่กลับไม่สามารถควบคุมสิ่งต่าง ๆ ได้ตามใจตน ความผิดหวังนั้นทำให้เขาตระหนักว่าการแบกตำรามากมายไว้ในใจ ไม่ได้ทำให้ชีวิตเบาขึ้น ตรงกันข้ามกลับเพิ่มความทุกข์และความสับสน จนเมื่อเขาได้พบพระชราที่สอนว่า คนเราไม่มีวันรู้ทุกสิ่ง ความรู้เป็นเพียงเครื่องมือ ไม่ใช่ภาระ จงเรียนรู้เพื่อที่จะปล่อยวางและเลือกใช้เฉพาะสิ่งจำเป็น เขาจึงเข้าใจว่า แก่นแท้ของการปฏิบัติตามเต๋า คือการลดละ จนถึงที่สุดของการ “ไม่ยึดติดแม้กระทั่งความรู้” นั่นเอง

อ่านต่อ: นิทานเต้าเต๋อจิงแฝงข้อคิดดี ๆ และปรัชญาชีวิตสุดลึกซึ้งในวิถีเต๋าของเล่าจื๊อ

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องลืมความรู้ (อังกฤษ: Forgetting Knowledge) นิทานเรื่องนี้มาจากคัมภีร์เต้าเต๋อจิงบทที่ 48 ซึ่งกล่าวถึงการ “ลืมความรู้” หรือการลดละสิ่งที่แบกรับไว้ในใจ แทนที่จะสะสมเพิ่มพูนขึ้นทุกวันเหมือนการเรียนรู้ทั่วไป การปฏิบัติตามเต๋ากลับเป็นการละวาง ลดทอน และคลายการยึดติดลงไปเรื่อย ๆ จนถึงที่สุดคือ “การไม่กระทำโดยเจตนา” ซึ่งกลับกลายเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในหนทางของเต๋า เล่าจื๊อได้บันทึกไว้ว่า:

การลืมความรู้

ผู้ใดมุ่งเรียนรู้ ย่อมแสวงหาที่จะเพิ่มพูนความรู้วันแล้ววันเล่า
ผู้ใดมุ่งปฏิบัติตามเต๋า ย่อมแสวงหาที่จะลดละสิ่งที่ตนทำวันแล้ววันเล่า

เขาลดละสิ่งต่าง ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนถึงขั้นไม่ทำอะไรโดยมีเจตนา
เมื่อถึงจุดแห่งการไม่กระทำเช่นนี้ ก็ไม่มีสิ่งใดที่เขาไม่สามารถทำได้

ผู้ใดครอบครองทั้งฟ้าและแผ่นดินด้วยตัวเอง
ทำเช่นนั้นได้โดยไม่ดิ้นรนหรือบีบคั้นตน
แต่หากใครตั้งใจฝืนทำเพื่อหวังได้สิ่งนั้น
เขาก็ไม่อาจเทียบเท่าผู้ที่ครอบครองทั้งฟ้าและแผ่นดินได้

เล่าจื๊อได้สอนว่า ความรู้ที่แท้จริงไม่ใช่การท่องจำหรือสะสมให้มากที่สุด แต่คือการเรียนรู้ที่จะวางลง เวลาคนเราเรียนหนังสือหรือหาความรู้ก็มักจะสะสม เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่ถ้าใครปฏิบัติตามเต๋า จะตรงกันข้าม ไม่ใช่เพิ่ม แต่ค่อย ๆ ลดสิ่งเกิน ลดความอยาก ลดการกระทำที่ฝืน จนสุดท้ายไม่เหลืออะไรต้องทำด้วยเจตนาใหญ่ ๆ เลย พอถึงจุดนั้นกลับกลายเป็นว่าทุกอย่างก็สำเร็จได้เองโดยไม่ต้องพยายาม ยิ่งไปดิ้นรนจะยิ่งเหนื่อยและไม่ได้อะไร แต่ถ้าวางเฉย ไม่ยึด ไม่บังคับ สิ่งทั้งหลายจะเข้ามาเองอย่างเป็นธรรมชาติ โดยคำสอนนี้ยังสอดคล้องกับหลักธรรมสูงสุดของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านตรัสไว้ว่า “แม้แต่ธรรมะก็ไม่ควรจะยึดติด” เพราะธรรมะเป็นเพียงเครื่องมือพาให้พ้นทุกข์ ถ้าไปยึดแม้แต่ธรรมะก็ยังติดอยู่กับ “ตัวตน” และ “ความเห็น” จึงไม่ถึงความหลุดพ้นจริง ๆ

นิทานเรื่องนี้จึงถูกแต่งขึ้นเพื่อสะท้อนคำสอนในบทดังกล่าว โดยแสดงให้เห็นว่าแม้แต่เล่าจื๊อเองยังต้องเรียนรู้ที่จะลดละความยึดติดในปัญญาของตน ยอมรับข้อจำกัดของมนุษย์ และเข้าใจว่าการปล่อยวางความรู้ก็คือการคืนชีวิตให้เบาและเสรี เมื่อไม่ถูกพันธนาการด้วยความหลงตน จิตใจก็จะเปิดกว้างและกลมกลืนไปกับหนทางแห่งเต๋าอย่างแท้จริง

คติธรรม: “ความรู้ที่แท้จริง มิใช่การสะสมให้มากที่สุด แต่คือการรู้จักปล่อยวางสิ่งที่ไม่จำเป็น เพราะเมื่อใจเบา จึงเห็นหนทางได้ชัดเจน”