ปกนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องการมีอยู่ของเต๋า

นิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องการมีอยู่ของเต๋า

สิ่งที่แท้จริง ไม่จำเป็นต้องมีชื่อเรียก และไม่อาจเข้าใจได้ด้วยคำพูดเพียงอย่างเดียว เพราะบางอย่างมีอยู่แม้เราไม่เรียกชื่อมันเลยด้วยซ้ำ

มีนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องหนึ่ง เล่าถึงเด็กชายที่ออกเดินทางจากเมืองแห่งถ้อยคำ เพื่อค้นหาสิ่งซึ่งไม่มีชื่อ ไม่มีป้าย และไม่มีใครบอกได้ว่าคืออะไร แต่กลับเปลี่ยนเขาไปตลอดกาล กับนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องการมีอยู่ของเต๋า

ภาพประกอบนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องการมีอยู่ของเต๋า

เนื้อเรื่องนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องการมีอยู่ของเต๋า

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในเมืองแห่งหนึ่ง ผู้คนเชื่อว่าทุกสิ่งต้องมีชื่อเรียก เพราะถ้าไม่มีชื่อ ก็ไม่มีตัวตน เด็กทุกคนโตมาพร้อมสมุดบันทึกชื่อสิ่งต่าง ๆ ที่ต้องจำให้ได้ว่าอะไรเรียกว่าอะไร ใบไม้ชนิดไหนชื่ออะไร เสียงลมแบบไหนเรียกว่าสายลมอรุณ และแม้แต่เงาของตัวเองก็ต้องมีชื่อ

มีเด็กชายคนหนึ่งชื่อ “ลี่” เขาไม่เหมือนใคร เขาไม่ค่อยสนใจสมุดชื่อ ไม่ชอบถามว่าอะไรคืออะไร เขาชอบมองสิ่งต่าง ๆ เงียบ ๆ แล้วปล่อยให้มันเป็นของมันอย่างนั้น

วันหนึ่งในห้องเรียน ครูยกก้อนหินขึ้นมาถามว่า “ใครรู้ว่านี่คืออะไร” เด็ก ๆ ทุกคนยกมือตอบว่า “หินกลมสีเทา” แต่ลี่ไม่ยกมือ ครูถามเขาว่าทำไมไม่ตอบ เขาเงียบไปสักพัก ก่อนจะพูดว่า

“ถ้าผมพูดว่ามันคือหิน มันก็แค่เป็นหิน แต่ก่อนจะถูกเรียกว่าหิน มันก็ยังอยู่ตรงนั้นอยู่ดี…”

ทั้งห้องเงียบ ครูนิ่งไปชั่วครู่แล้วบอกให้เปิดหน้าถัดไป เด็กคนอื่นหัวเราะ ลี่ก็แค่ยิ้มบาง ๆ แล้วก้มหน้าเขียนต่อ

คืนนั้น เขาออกจากบ้าน เดินไปตามถนนที่ไม่มีใครใช้แล้ว ไม่มีแผน ไม่มีเป้าหมาย เขาแค่อยากรู้ว่ามีบางสิ่งที่ไม่ต้องเรียกชื่อ… มันจะพาเขาไปไหนได้บ้าง

ลี่เดินผ่านหมอก ผ่านลม ผ่านทางที่ไม่มีป้าย ไม่มีร่องรอย ไม่มีคำใดมาบอกเขาว่าถูกหรือผิด จนกระทั่งเขามาถึงที่ราบโล่งแห่งหนึ่ง ที่นั่นไม่มีอะไรเลย นอกจากก้อนหินสองก้อนวางห่างกันพอดี เหมือนตั้งใจ ท่ามกลางทุ่งหญ้าเงียบงัน

ระหว่างหินสองก้อนนั้น มีเพียงช่องว่าง ลี่มองมันอยู่นานโดยไม่รู้ว่าควรเรียกมันว่าอะไร เขาเดินเข้าไปใกล้ แต่ไม่ได้แตะต้องอะไร แล้วนั่งลงอย่างเงียบ ๆ

ขณะนั่ง ลมเย็นพัดผ่านช่องว่างนั้นเข้ามาปะทะหน้าเขา เหมือนกระซิบบางอย่างโดยไม่ออกเสียง

เขาไม่ได้พูดอะไร แต่ความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้นในใจ ไม่ใช่ความเข้าใจ ไม่ใช่คำตอบ แค่ความนิ่งที่ชัดเจนอย่างประหลาด

เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง เป็นเสียงของชายชราเดินมาช้า ๆ มือถือไม้เท้าเก่า เขามองลี่แล้วยิ้ม

“เจ้ากำลังพยายามเข้าใจมันอยู่หรือเปล่า” ชายชราถาม

ลี่พยักหน้าเบา ๆ

ชายชราหัวเราะเบา ๆ “อย่าพยายามเข้าใจมันเลย มันอยู่ก่อนที่เจ้าจะพยายาม และจะอยู่ต่อไปหลังจากเจ้าหยุดพยายาม”

แล้วเขาก็เดินจากไป โดยไม่พูดอะไรอีก

ภาพประกอบนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องการมีอยู่ของเต๋า 2

หลังชายชราเดินจากไป ลี่ยังคงนั่งอยู่ตรงเดิม เขาไม่ได้รีบกลับ ไม่ได้เดินเข้าไปในช่องว่างนั้น และไม่ได้คิดว่าจะต้องทำอะไรต่อ ในหัวไม่มีคำถาม ไม่มีเป้าหมาย มีเพียงเสียงลมที่พัดลอดช่องระหว่างหินอย่างแผ่วเบา และแสงแดดอ่อน ๆ ที่เริ่มส่องลงมาเฉียง ๆ จากทิศตะวันตก

เขานึกย้อนถึงช่วงเวลาที่พยายามหาคำตอบ พยายามตั้งชื่อให้ทุกสิ่งที่เห็น พยายามเข้าใจโลกด้วยคำพูด ทุกคำที่เขาเคยได้ยิน ทุกคำอธิบายที่เขาเคยเชื่อ เริ่มกลายเป็นเสียงเบา ๆ ที่ค่อย ๆ เลือนหายไป

เขายังไม่รู้ว่านี่คือเต๋าหรือไม่ และไม่แน่ใจว่าเต๋ามีอยู่จริงไหม แต่เขารู้สึกได้ว่า ที่ตรงนี้ไม่มีอะไรให้ต้องเข้าใจ ไม่มีสิ่งใดให้ไขความลับ ไม่มี “คำตอบ” ที่ซ่อนอยู่ มีเพียงสิ่งที่ “เป็น” อยู่ตรงหน้า และเขาเองก็เป็นส่วนหนึ่งของมัน

เขาหลับตาลง หายใจเข้าเบา ๆ แล้วนั่งนิ่ง ๆ อยู่อย่างนั้น

เมื่อฟ้าสาง ลี่ลืมตาขึ้นช้า ๆ เขาลุกขึ้นจากพื้นหญ้าโดยไม่ลังเล ไม่หันกลับไปมองช่องว่างระหว่างหินนั้นอีก และเริ่มเดินกลับเมืองทางเดิม

ทุกอย่างระหว่างทางกลับยังคงเหมือนเดิม ทางเดินเดิม ทุ่งหญ้าเดิม ก้อนหินเดิม ต้นไม้ที่เคยเห็นเมื่อวาน แต่เขารู้สึกถึงบางอย่างที่เปลี่ยนไป แม้จะมองด้วยตาเดิม ฟังด้วยหูเดิม เดินด้วยเท้าเดิม แต่ทุกอย่างดูไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

เมื่อถึงบ้าน เขาไม่ได้เล่าเรื่องที่เจอให้ใครฟัง เขากลับไปใช้ชีวิตเงียบ ๆ เหมือนก่อนหน้านี้ แต่เขาเริ่มฟังมากขึ้น มองนานขึ้น และไม่รีบตั้งชื่อสิ่งที่เห็นเหมือนเมื่อก่อน

บางครั้ง เพื่อนในชั้นเรียนยังคงหัวเราะว่าเขาไม่รู้จักชื่อดอกไม้แปลก ๆ หรือไม่รู้ศัพท์ใหม่ในสมุด แต่เขาไม่สนใจแล้ว

เพราะในใจเขารู้ว่า สิ่งที่ไม่มีชื่อ ไม่ได้แปลว่าไม่มีความหมาย มันแค่ไม่ต้องการคำใดมาจำกัดมันเท่านั้น

ภาพประกอบนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องการมีอยู่ของเต๋า 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… สิ่งที่แท้จริง ไม่จำเป็นต้องมีชื่อเรียก และไม่อาจเข้าใจได้ด้วยคำพูดเพียงอย่างเดียว และเมื่อเราลดความอยากที่จะเข้าใจทุกอย่าง เราจะเริ่มเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ลึกกว่าที่เคย

ลี่เติบโตมาในเมืองที่ผู้คนให้ความสำคัญกับการตั้งชื่อและอธิบายทุกสิ่ง แต่เมื่อเขาออกเดินทางและได้พบกับ “สิ่งที่ไม่มีชื่อ” เขากลับรู้สึกถึงความสงบลึกในใจโดยไม่ต้องเข้าใจเป็นคำพูด ช่องว่างระหว่างก้อนหินนั้นไม่ใช่สิ่งวิเศษหรือมีพลังเหนือธรรมชาติ แต่มันแสดงให้เห็นว่าสิ่งสำคัญในชีวิตบางอย่างไม่อาจนิยามได้ และไม่จำเป็นต้องเรียกชื่อถึงจะรับรู้มันได้

ในตอนแรกลี่เองก็อยากรู้ อยากเข้าใจ อยากหาคำตอบ แต่สิ่งที่เขาพบกลับไม่ได้มาจากการ “พยายาม” แต่มาจากการ “ยอมอยู่กับสิ่งนั้น” โดยไม่เร่ง ไม่ตัดสิน และไม่จำกัดมันไว้ด้วยคำหรือกรอบ เมื่อเขากลับสู่เมืองเดิม แม้โลกจะเหมือนเดิม แต่ตัวเขาไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะเขาได้เรียนรู้วิธี “มองเห็น” โดยไม่ต้อง “อธิบาย” ทุกอย่างอีกแล้ว

อ่านต่อ: นิทานเต้าเต๋อจิงสอนปรัชญาสุดลึกซึ้งให้กับชีวิต

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องการมีอยู่ของเต๋า (อังกฤษ: Embodying the Dao) นิทานเรื่องนี้มาจากบทที่ 1 ของคัมภีร์เต้าเต๋อจิง (Tao Te Ching) ซึ่งแต่งโดยเล่าจื๊อ (Lao Tzu) นักปราชญ์ชาวจีนผู้เป็นต้นแบบของลัทธิเต๋า ข้อความต้นฉบับที่ปรากฏในหนังสือกล่าวถึงแก่นแท้ของ “เต๋า” ว่าเป็นสิ่งที่อยู่เหนือคำบรรยาย ไม่สามารถเรียกชื่อหรือจับต้องได้ เต๋าไม่มีรูปร่าง แต่เป็นจุดกำเนิดของทุกสรรพสิ่ง และความเข้าใจในเต๋าไม่อาจเกิดจากความอยากรู้อย่างผิวเผิน หากแต่เกิดจากการ “อยู่กับมัน” อย่างเงียบสงบ

“เต๋าที่สามารถเดินตามได้ ไม่ใช่เต๋านิรันดร์ที่แท้จริง
ชื่อที่สามารถตั้งได้ ไม่ใช่ชื่อที่คงอยู่ตลอดไป
เมื่อไร้ชื่อ เต๋าคือจุดกำเนิดของฟ้าและดิน
เมื่อมีชื่อ เต๋าคือมารดาของสรรพสิ่ง
หากปราศจากความอยาก เราจะพบเต๋าในความลึกสุด
แต่หากยังมีความอยากอยู่ เราจะเห็นเพียงเปลือกนอกของมัน
ทั้งสองด้านนี้ แม้ดูต่าง แต่แท้จริงคือสิ่งเดียวกัน
เมื่อมันเริ่มปรากฏ จึงมีชื่อเรียกต่าง ๆ กัน
เราเรียกสิ่งนั้นร่วมกันว่า “ความลึกลับ”
และเมื่อความลึกลับถึงที่สุด ที่นั่นคือประตูของทุกสิ่งที่ละเอียดอ่อนและมหัศจรรย์”

คำสอนบทนี้คือหัวใจของนิทาน “สิ่งที่ไม่มีชื่อ” โดยเล่าในรูปแบบเปรียบเทียบผ่านตัวละครเด็กชายผู้เติบโตในโลกที่ทุกสิ่งต้องมีชื่อเรียก แต่เมื่อเขาออกจากโลกแห่งนิยามและเดินทางไปพบกับ “สิ่งที่ไม่มีชื่อ” เขาจึงค่อย ๆ สัมผัสถึงเต๋าที่ไม่มีคำใดอธิบายได้

คติธรรม: “สิ่งที่ไม่มีชื่อ ไม่ได้ไร้ความหมาย หากแต่ลึกเกินกว่าคำใดจะอธิบาย และเมื่อเราหยุดพยายามจะเข้าใจ มันจะเผยตัวตนออกมาอย่างเงียบงัน”