นิทานอีสปเรื่องจิ้งจอกกับสิงโตป่วย

ในป่าใหญ่ที่เต็มไปด้วยสัตว์น้อยใหญ่ สิงโตผู้เคยครองความยิ่งใหญ่ในฐานะราชาแห่งป่าเริ่มโรยรา ด้วยอายุที่มากขึ้นและสุขภาพที่เสื่อมถอย มันไม่สามารถล่าเหยื่อได้อย่างที่เคยทำ

สัตว์ทั้งหลายต่างสงสัยในข่าวลือว่า สิงโตผู้ยิ่งใหญ่กำลังล้มป่วยและใกล้ถึงวาระสุดท้าย แต่ในเงามืดของถ้ำที่สิงโตอาศัยอยู่ แผนการบางอย่างได้เริ่มต้นขึ้นโดยที่ไม่มีสัตว์ตัวใดคาดคิด… กับนิทานอีสปเรื่องจิ้งจอกกับสิงโตป่วย

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องจิ้งจอกกับสิงโตป่วย

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องจิ้งจอกกับสิงโตป่วย

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในป่ากว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยต้นไม้สูงตระหง่านและเสียงนกร้องขับขาน สิงโตตัวหนึ่งเคยปกครองพื้นที่นี้ด้วยความยิ่งใหญ่และน่าเกรงขาม แต่เมื่อเวลาผ่านไป มันอายุมากขึ้น ร่างกายเริ่มอ่อนแอจนไม่สามารถออกล่าเหยื่อได้เหมือนเมื่อก่อน ความหิวโหยค่อย ๆ กัดกินความอดทนของมัน จนในที่สุดมันคิดแผนการที่ชั่วร้ายขึ้นมา

“ข้าไม่มีกำลังจะไล่ล่าอีกต่อไป แต่ข้ายังมีสมอง ข้าจะหลอกพวกสัตว์ทั้งหลายให้มาเป็นเหยื่อของข้าเอง” สิงโตพูดกับตัวเอง มันนอนอยู่ในถ้ำของมัน และปล่อยข่าวลือไปทั่วป่าว่ามันกำลังป่วยหนัก ใกล้ตาย และอยากให้เพื่อนสัตว์ทั้งหลายมาเยี่ยมเยียนเป็นครั้งสุดท้าย

สัตว์น้อยใหญ่ที่เคยเกรงกลัวสิงโต เมื่อได้ยินข่าวก็เริ่มรู้สึกเห็นใจ “ถ้าสิงโตใกล้ตายจริง ๆ เราก็ควรไปเยี่ยมมัน” กระต่ายพูดกับตัวเอง “ข้าเองก็คิดว่าควรไป” กวางตัวหนึ่งเสริม “เราคงไม่ต้องกลัวมันแล้ว เพราะมันป่วยหนักเกินกว่าจะทำอะไรได้”

ทีละตัว ทีละตัว สัตว์ทั้งหลายเดินเข้าไปในถ้ำเพื่อเยี่ยมเยียนสิงโต แต่เมื่อเข้าไป พวกมันก็ไม่เคยได้กลับออกมาอีกเลย เพราะสิงโตที่แสร้งทำเป็นป่วยนั้นจับสัตว์ทุกตัวที่เข้าไปกินเป็นอาหาร

วันหนึ่ง จิ้งจอกผู้เฉลียวฉลาดได้ยินข่าวว่าสิงโตป่วยหนัก มันรู้สึกสงสัยในทันที “สิงโตที่เคยเป็นผู้ล่าแห่งป่าใหญ่ จะยอมรับความอ่อนแอของตัวเองง่าย ๆ เช่นนั้นหรือ? ข้าว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล” จิ้งจอกพูดกับตัวเอง

ด้วยความอยากรู้อยากเห็น มันตัดสินใจไปเยี่ยมสิงโต แต่ด้วยนิสัยระมัดระวังของมัน มันเลือกที่จะสังเกตการณ์ก่อนเข้าไปใกล้ เมื่อเดินไปถึงหน้าถ้ำของสิงโต จิ้งจอกเห็นรอยเท้าของสัตว์นานาชนิดที่เดินเข้าไปในถ้ำ มันยืนมองรอยเท้าเหล่านั้นอยู่นาน และทันใดนั้น มันก็สังเกตเห็นความผิดปกติ

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องจิ้งจอกกับสิงโตป่วย 2

“แปลกจริง ๆ” จิ้งจอกพึมพำ “รอยเท้าทุกคู่มุ่งหน้าเข้าไปในถ้ำ แต่ไม่มีรอยเท้าไหนเดินกลับออกมาเลย นี่ไม่ใช่เรื่องปกติ”

มันยืนอยู่หน้าถ้ำ ไม่ยอมก้าวเข้าไปแม้แต่ก้าวเดียว สิงโตที่เฝ้ารอเหยื่อในถ้ำมองเห็นจิ้งจอก จึงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “จิ้งจอกผู้ฉลาด! ข้าดีใจที่เจ้าได้มาเยี่ยมเยียนข้า ข้าป่วยหนักเหลือเกินและใกล้จะสิ้นใจแล้ว ข้าหวังเพียงเจ้าเข้ามาในถ้ำเพื่อพูดคุยกับข้าเป็นครั้งสุดท้าย”

จิ้งจอกมองเข้าไปในถ้ำด้วยสายตาที่คมกริบ มันไม่ขยับตัวแม้แต่น้อยก่อนจะตอบกลับ “ท่านสิงโต ข้าขออภัยที่ข้าไม่อาจเข้าไปได้ แต่ข้าเห็นสิ่งที่ทำให้ข้าต้องระวังตัว รอยเท้าของสัตว์น้อยใหญ่ที่เดินเข้าไปในถ้ำนั้นไม่มีรอยใดที่เดินกลับออกมา ข้าคงไม่โง่พอที่จะเดินเข้าไปโดยไม่มีทางออก!”

สิงโตเงียบไปในทันที มันรู้ดีว่าจิ้งจอกนั้นฉลาดเกินกว่าจะตกหลุมพรางของมัน จิ้งจอกยืนอยู่อีกครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ข้าขอแสดงความเสียใจหากท่านป่วยจริง แต่ข้าคิดว่าเพื่อนสัตว์ที่หายเข้าไปในถ้ำนั้น คงไม่ได้อยากให้ข้าเดินตามพวกมันไปหรอก”

พูดจบ จิ้งจอกก็หันหลังเดินกลับไป ทิ้งให้สิงโตผู้เจ้าเล่ห์นอนอยู่ในถ้ำอย่างหิวโหยและปราศจากเหยื่อรายต่อไป

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องจิ้งจอกกับสิงโตป่วย 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า จงอย่าเชื่อในสิ่งที่ดูเหมือนปลอดภัยหรือมีเหตุผลจนกว่าจะตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน เพราะอันตรายอาจซ่อนอยู่ในสิ่งที่ดูน่าไว้วางใจ และการใช้สติปัญญา ความระมัดระวัง และการสังเกตอย่างรอบคอบ จะช่วยให้เรารอดพ้นจากสถานการณ์อันตรายได้

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องจิ้งจอกกับสิงโตป่วย (อังกฤษ: The Fox and the Sick Lion) เป็นนิทานอีสปเรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นที่รู้จักมาตั้งแต่สมัยคลาสสิก ถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 142 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) สิงโตตัวหนึ่งแก่เกินกว่าจะล่าเหยื่อได้ แสร้งทำเป็นป่วยเป็นอุบายและกินสัตว์ที่เข้ามาเยี่ยมในถ้ำของมัน แต่สุนัขจิ้งจอกกลับทักทายมันจากภายนอกเท่านั้น และเมื่อถูกถามว่าเหตุใดจึงไม่เข้าไปในถ้ำ สุนัขจิ้งจอกก็ตอบว่า “เพราะข้าเห็นแต่รอยเท้าที่เดินเข้าไป แต่ไม่มีรอยเท้าที่ออกมาเลย”

ชีวิตของคนอื่นเป็นบทเรียนว่าเราจะหลีกเลี่ยงอันตรายได้อย่างไร การเข้าไปในบ้านของคนที่มีอำนาจนั้นง่าย แต่เมื่อคุณเข้าไปข้างในแล้ว อาจสายเกินไปที่จะออกไปได้

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องจิ้งจอกกับหน้ากาก

ในโรงละครเก่าแก่ที่ครั้งหนึ่งเคยเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและการปรบมือ บัดนี้กลับเงียบสงัด มีเพียงซากของเวทีและอุปกรณ์การแสดงที่หลงเหลืออยู่ วันหนึ่ง จิ้งจอกผู้รักการสำรวจเดินเข้าไปในโรงละครด้วยความอยากรู้อยากเห็น

ที่นั่นมันพบกับสิ่งที่ดูเหมือนจะมีค่าและงดงาม แต่สิ่งที่มันค้นพบกลับเป็นบทเรียนที่ชวนให้ขบคิด… กับนิทานอีสปเรื่องจิ้งจอกกับหน้ากาก

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องจิ้งจอกกับหน้ากาก

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องจิ้งจอกกับหน้ากาก

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในโรงละครเก่าแก่ที่ร้างไปนาน มีเศษซากของการแสดงในอดีตหลงเหลืออยู่ ไม่ว่าจะเป็นม่านที่ขาดรุ่งริ่ง เสื้อผ้าที่ซีดจาง และอุปกรณ์ที่วางกระจัดกระจาย ท่ามกลางความเงียบสงบของสถานที่แห่งนี้ จิ้งจอกตัวหนึ่งเดินเตร่เข้ามาด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“ช่างเงียบเหงาเสียจริง ใครจะเชื่อว่าโรงละครแห่งนี้เคยเต็มไปด้วยชีวิตชีวา” จิ้งจอกพูดกับตัวเองขณะเดินสำรวจไปทั่ว

ขณะที่มันเดินผ่านเวทีเก่า มันสะดุดเข้ากับสิ่งหนึ่งที่ดึงดูดสายตา นั่นคือหน้ากากที่เคยใช้ในการแสดง หน้ากากถูกวางทิ้งไว้บนพื้น ท่ามกลางฝุ่นและความเก่าแก่ของโรงละคร หน้ากากนั้นยังคงความงดงามไว้ ดวงตาที่ดูเฉียบคม คิ้วหนา และรอยยิ้มที่เปี่ยมด้วยเสน่ห์ ทำให้ดูเหมือนเป็นใบหน้าจริง

“โอ้ ช่างงดงามเหลือเกิน! ดูสิ คิ้วที่โค้งได้รูปนี่ช่างดูทรงพลัง ดวงตาก็ดูฉลาดและเฉียบคม และรอยยิ้มนี้ก็เปี่ยมด้วยเสน่ห์” จิ้งจอกอุทานด้วยความตื่นเต้น มันหยิบหน้ากากขึ้นมาแล้วหมุนดูรอบ ๆ “นี่คงเป็นใบหน้าของใครบางคนที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นคนสำคัญในป่า หากนี่เป็นใบหน้าจริง คงทำให้ผู้คนเคารพและหวาดเกรงไม่น้อย”

มันจ้องมองหน้ากากอยู่นานก่อนจะพลิกดูด้านใน ทันทีที่เห็นภายในหน้ากาก จิ้งจอกก็หัวเราะเบา ๆ และพูดว่า “แต่ช่างน่าเสียดาย ความงามที่ข้าชื่นชมนี้ กลับไม่มีอะไรอยู่ข้างในเลย ว่างเปล่า ภายในกลับกลวงเปล่า ไม่มีอะไรอยู่เลย”

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องจิ้งจอกกับหน้ากาก 2

จิ้งจอกนั่งลงข้างหน้ากาก ราวกับกำลังพูดคุยกับมัน “เจ้าหน้ากากเอ๋ย… เหมือนกับคนบางคนที่ได้รับเกียรติจากโชคชะตา รูปลักษณ์ภายนอกทำให้ผู้คนยกย่อง แต่สิ่งที่สำคัญอย่างแท้จริงคือสติปัญญาและสามัญสำนึก ซึ่งเจ้ากลับไม่มี หากไร้สิ่งเหล่านี้ ความงดงามของเจ้าก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย”

มันถอนหายใจและพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นขึ้น “ในป่า ข้ามักเห็นสัตว์ที่ภายนอกดูสง่างามแต่ข้างในว่างเปล่า พวกมันได้รับเกียรติและความรุ่งโรจน์เพราะรูปลักษณ์ แต่ไม่ได้มีความสามารถที่แท้จริง หากเจ้าเป็นสิ่งที่มีชีวิตจริง ๆ เจ้าคงเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความผิดพลาดเช่นนี้”

หลังจากพูดเสร็จ จิ้งจอกวางหน้ากากกลับลงไปบนพื้น มันยืนขึ้นแล้วเดินจากไป พลางพูดเบา ๆ กับตัวเอง “รูปลักษณ์งดงามแค่ไหนก็ไร้ค่า หากปราศจากความคิดและจิตวิญญาณที่แท้จริง”

ในโรงละครที่เงียบสงัด หน้ากากยังคงนอนนิ่งอยู่ที่เดิม เหมือนรอให้ใครสักคนมาค้นพบและเรียนรู้บทเรียนสำคัญที่มันเก็บซ่อนไว้

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องจิ้งจอกกับหน้ากาก 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า รูปลักษณ์ภายนอกที่งดงามหรือสถานะที่ได้รับการยกย่อง อาจดึงดูดสายตาผู้คนในช่วงแรก แต่หากขาดสติปัญญาและสามัญสำนึก สิ่งเหล่านั้นก็เป็นเพียงเปลือกนอกที่ไร้ค่า และผู้ที่ได้รับเกียรติหรือความรุ่งโรจน์จากโชคชะตา ควรใช้โอกาสนั้นในการแสดงคุณค่าภายในและสร้างประโยชน์ให้กับตนเองและผู้อื่น แทนที่จะเป็นเพียงภาพลวงตาที่ว่างเปล่า

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องจิ้งจอกกับหน้ากาก (อังกฤษ: The Fox and the Mask) เป็นนิทานอีสปเรื่องหนึ่งซึ่งมีทั้งภาษากรีกและละติน ถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 27 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ)

นิทานเรื่องนี้มักกล่าวสั้นๆ และดูเหมือนจะเป็นเครื่องมือวิพากษ์วิจารณ์ชนชั้นสูงที่หน้าตาดีแต่โง่เขลา สุนัขจิ้งจอกพบหน้ากากที่นักแสดงใช้กันในสมัยโบราณ และเมื่อพลิกไปมาหลายครั้งมันก็พูดว่า “เต็มไปด้วยความสวยงาม แต่มันไร้สมอง!”

นี่คือคำพูดที่ใช้กับคนที่ได้รับเกียรติและความรุ่งโรจน์จากโชคชะตา แต่กลับพรากสามัญสำนึกไป

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องจิ้งจอกกับสิงโต

ในป่ากว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยเสียงนกร้องและสายลมพัดผ่าน จิ้งจอกตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในความสงบสุข มันเป็นสัตว์ที่เฉลียวฉลาด แต่ก็ไม่เคยพบเจอสัตว์ใดที่น่าเกรงขามไปกว่าตัวเอง

วันหนึ่ง เมื่อชะตาได้พามันมาพบกับสัตว์ผู้ยิ่งใหญ่ที่มันไม่เคยเห็นมาก่อน หัวใจของมันเต้นระรัวด้วยความกลัว ความหวาดหวั่นในครั้งแรกนี้จะกลายเป็นบทเรียนสำคัญที่เปลี่ยนมุมมองของมันไปตลอดกาล… กับนิทานอีสปเรื่องจิ้งจอกกับสิงโต

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องจิ้งจอกกับสิงโต

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องจิ้งจอกกับสิงโต

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในป่าลึกที่สงบและเงียบงัน จิ้งจอกตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในโพรงใกล้ลำธาร มันเป็นจิ้งจอกที่ฉลาดและเจ้าเล่ห์ แต่ก็ไม่เคยพบสัตว์ตัวใดที่ยิ่งใหญ่หรือมีอำนาจมากไปกว่าตัวเอง วันหนึ่ง ขณะที่มันเดินเล่นในป่าเพื่อหาอาหาร มันก็ได้พบกับบางสิ่งที่ทำให้หัวใจของมันแทบหยุดเต้น

ตรงหน้ามัน สิงโตตัวใหญ่ยืนตระหง่านอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ดวงตาคมกริบและแผงคอที่หนาเป็นเงางามทำให้มันดูน่าเกรงขาม จิ้งจอกมองเห็นร่างสิงโตจากระยะไกล แต่เพียงแค่เห็นเงาของมัน จิ้งจอกก็รู้สึกถึงความกลัวที่แล่นผ่านร่าง “อะไรกันนี่? ตัวอะไรช่างน่ากลัวนัก!” จิ้งจอกพูดกับตัวเองพร้อมตัวสั่นเทา มันไม่กล้าแม้แต่จะมองตรง ๆ และวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว “ข้าต้องหนีให้ไกลจากที่นี่! ข้าจะไม่อยู่ใกล้สัตว์ประหลาดตัวนั้นเด็ดขาด!”

หลายวันผ่านไป จิ้งจอกยังคงระมัดระวังและหวาดกลัว ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงฝีเท้าหรือเสียงคำรามในป่า มันก็มักจะรีบวิ่งกลับโพรงด้วยความระแวง วันหนึ่ง ขณะที่มันกำลังเดินเล่นอีกครั้ง มันก็มองเห็นสิงโตตัวเดิมอีกครั้ง คราวนี้สิงโตกำลังนอนพักอยู่ใต้ร่มไม้ จิ้งจอกหยุดชะงักและใจเต้นแรง แต่มันก็พยายามรวบรวมความกล้า

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องจิ้งจอกกับสิงโต 2

“ข้าจะไม่วิ่งหนีอีกแล้ว อย่างน้อยข้าควรมองดูสิ่งนี้ให้ชัด ๆ ว่ามันคืออะไรกันแน่” จิ้งจอกพูดกับตัวเอง มันยืนมองสิงโตจากระยะไกล “ตัวใหญ่จริง ๆ แต่ดูเหมือนมันไม่ได้สนใจข้าเลย ถ้าข้าไม่ไปกวน มันคงไม่ทำอะไรข้าหรอก”

หลังจากยืนมองอยู่สักพัก จิ้งจอกก็ค่อย ๆ ถอยหลังออกมาแล้วเดินกลับไปที่โพรงของตัวเอง มันยังคงรู้สึกหวาดหวั่น แต่ก็เริ่มสงสัยว่า สิงโตอาจจะไม่ได้อันตรายอย่างที่มันคิด

หลายวันผ่านไปอีกครั้ง จิ้งจอกออกเดินเล่นในป่าตามปกติ และบังเอิญพบกับสิงโตอีกครั้ง คราวนี้สิงโตกำลังเดินผ่านทางในป่า จิ้งจอกรู้สึกตกใจเล็กน้อย แต่คราวนี้มันไม่ได้วิ่งหนีเหมือนครั้งแรก มันยืนมองอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้น “ตัวใหญ่อย่างกับภูเขา ข้าต้องระวัง แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่สนใจข้าเลยจริง ๆ”

จิ้งจอกรวบรวมความกล้า เดินเข้าไปใกล้เล็กน้อย และร้องทักขึ้นว่า “ท่านสิงโต ท่านเดินผ่านที่นี่บ่อยนัก ดูเหมือนท่านจะเป็นผู้ปกครองป่าแห่งนี้กระมัง?”

สิงโตหันมามองจิ้งจอกด้วยสายตานิ่งสงบ แต่ไม่ได้พูดอะไร จิ้งจอกรู้สึกประหลาดใจที่สิงโตไม่ได้มีท่าทีดุร้ายอย่างที่มันเคยคิด มันพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่กล้าหาญขึ้น “ในที่สุดข้าก็ได้เห็นท่านใกล้ ๆ ท่านช่างสง่างามจริง ๆ แต่ท่านก็ไม่ได้ดูน่ากลัวเหมือนตอนที่ข้าเจอครั้งแรก”

สิงโตส่งเสียงคำรามเบา ๆ ราวกับจะตอบรับคำทักทายนั้น จิ้งจอกยิ้มเล็กน้อย และพูดต่อ “บางที ข้าอาจคิดไปเองว่าท่านน่ากลัว แต่ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่า ถ้าข้าไม่ล่วงเกินท่าน ท่านก็คงไม่ทำอะไรข้าเช่นกัน”

สิงโตยังคงนิ่งเงียบ แต่การที่มันไม่แสดงท่าทีดุร้าย ทำให้จิ้งจอกมั่นใจมากขึ้น มันเดินผ่านสิงโตไปอย่างสงบ โดยไม่มีความหวาดกลัวหลงเหลืออยู่เลย

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องจิ้งจอกกับสิงโต 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความกลัวมักเกิดจากความไม่คุ้นเคยหรือจินตนาการที่เกินจริงของเราเอง แต่เมื่อเราเผชิญหน้ากับสิ่งนั้นซ้ำ ๆ และเรียนรู้ที่จะทำความเข้าใจกับมัน ความกลัวจะลดน้อยลงจนเราสามารถเผชิญหน้าสิ่งที่เคยหวาดหวั่นได้อย่างมั่นใจ และบางครั้งการเอาชนะความกลัวไม่ได้หมายถึงการไม่มีความกลัวเลย แต่คือการเรียนรู้และปรับตัวให้สามารถอยู่กับมันได้อย่างสงบ

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องจิ้งจอกกับสิงโต (อังกฤษ: The Fox and the Lion) เป็นนิทานอีสปที่เป็นตัวแทนของความขบขันเรื่องมารยาท ถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 10 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) นิทานเรื่องนี้เล่าขานกันอย่างย่อ ๆ ในแหล่งที่มาของภาษากรีกคลาสสิกว่า “สุนัขจิ้งจอกไม่เคยเห็นสิงโตมาก่อน ดังนั้นเมื่อบังเอิญพบกับสิงโตเป็นครั้งแรก มันเกือบจะหัวใจวายตายด้วยความตกใจกลัว ครั้งที่สองที่เห็นสิงโต มมันก็ยังคงกลัวอยู่ แต่ไม่มากเท่าครั้งก่อน ครั้งที่สาม สุนัขจิ้งจอกก็กล้าที่จะเข้าไปหาสิงโตและพูดคุยกับเขา” และเป็นนิทานคนละเรื่องกับจิ้งจอกกับสิงโตป่วย

ความคุ้นเคยช่วยให้เผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่น่ากลัวได้อย่างง่ายดาย

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องจิ้งจอกกับพวงองุ่น

ในวันที่อากาศร้อนอบอ้าว ท่ามกลางสวนองุ่นที่เต็มไปด้วยพวงองุ่นสีม่วงเข้มอันชุ่มฉ่ำ จิ้งจอกตัวหนึ่งเดินผ่านมาด้วยความหิวโหยและกระหายน้ำ เมื่อมันมองเห็นพวงองุ่นอันงดงามห้อยอยู่สูงบนต้นไม้

มันรู้สึกตื่นเต้นและคิดว่านี่อาจเป็นอาหารที่ช่วยเติมพลังให้กับมันได้ แต่สิ่งที่ดูเหมือนง่าย กลับกลายเป็นบททดสอบที่ยากเกินจะคาดเดา… กับนิทานอีสปเรื่องจิ้งจอกกับพวงองุ่น

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องจิ้งจอกกับพวงองุ่น

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องจิ้งจอกกับพวงองุ่น

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในวันที่อากาศร้อนจัด จิ้งจอกตัวหนึ่งเดินทางไกลผ่านทุ่งหญ้าและป่าเขา มันเหนื่อยล้าจากการเดินทางและกระหายน้ำอย่างมาก ขณะเดินต่อไป มันก็มองเห็นบางสิ่งสะท้อนแสงแดดอยู่ในสวนใกล้ ๆ เมื่อเข้าไปใกล้ มันพบพวงองุ่นสีม่วงเข้ม ห้อยระย้าจากต้นไม้สูง

“โอ้! องุ่นลูกโตขนาดนี้ต้องทั้งหวานและฉ่ำน้ำแน่ ๆ” จิ้งจอกพูดพลางเลียปาก “นี่แหละสิ่งที่ข้าต้องการที่สุดในตอนนี้”

มันมองไปรอบ ๆ เพื่อหาทางคว้าองุ่นลงมา เมื่อเห็นว่าไม่มีทางอื่นนอกจากต้องกระโดด มันจึงเริ่มถอยหลังออกไปเพื่อเตรียมตัวกระโดดอย่างสุดแรง

“แค่นี้คงง่ายสำหรับข้า” มันพูดให้กำลังใจตัวเอง แล้ววิ่งพุ่งไปข้างหน้า กระโดดขึ้นสูงพร้อมอ้าปากหวังจะคาบพวงองุ่น แต่ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน มันก็ไม่ถึง

“ไม่เป็นไร! ครั้งแรกก็แค่ลองดู” มันพูดพลางยิ้มเจื่อน ๆ แล้วถอยหลังไปอีกครั้ง คราวนี้มันวิ่งเร็วกว่าเดิม กระโดดสูงขึ้นอีก แต่พวงองุ่นยังคงเกาะอยู่บนกิ่งไม้โดยไม่มีลูกไหนตกลงมา

จิ้งจอกเริ่มหอบหายใจ มันนั่งพักใต้ต้นไม้ครู่หนึ่ง มองพวงองุ่นที่ห้อยอยู่เบื้องบน “ข้าคงต้องเพิ่มแรงกระโดดอีกนิด คราวนี้ต้องถึงแน่ ๆ”

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องจิ้งจอกกับพวงองุ่น 2

มันลุกขึ้นยืน พยายามอีกหลายครั้ง แต่ทุกครั้งก็ลงเอยด้วยความล้มเหลว แม้แต่การปีนต้นไม้ก็ไม่เป็นผล เพราะกิ่งของต้นองุ่นนั้นลื่นและเปราะบางเกินไป

เมื่อความเหนื่อยล้าเริ่มครอบงำและความหงุดหงิดค่อย ๆ ก่อตัวขึ้น จิ้งจอกจึงหยุดและมองพวงองุ่นเป็นครั้งสุดท้าย มันพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แฝงความเสียดาย “องุ่นพวกนี้คงไม่อร่อยอยู่แล้ว ข้าเดาว่ามันต้องเปรี้ยวและไม่เหมาะกับข้าแน่นอน!”

พูดจบ มันก็หันหลังเดินจากไป ทั้งที่ในใจยังรู้สึกเจ็บปวดจากความล้มเหลว แต่มันเลือกที่จะปลอบใจตัวเองด้วยการดูถูกสิ่งที่มันไม่อาจครอบครองได้

ตลอดทางที่มันเดินจากไป จิ้งจอกยังคงพึมพำให้กำลังใจตัวเอง “ไม่เป็นไร ข้าต้องหาอาหารที่ดีกว่านี้ได้แน่ พวงองุ่นนั่นคงไม่มีค่าเท่าที่ข้าคิดหรอก”

ในใจลึก ๆ มันรู้ว่าองุ่นพวกนั้นน่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในวันที่ร้อนระอุเช่นนี้ แต่มันกลับเลือกที่จะปฏิเสธความจริง เพียงเพื่อหลีกเลี่ยงความผิดหวังที่มันไม่อาจรับได้

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องจิ้งจอกกับพวงองุ่น 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เมื่อเราไม่สามารถได้สิ่งที่ต้องการ เรามักหาข้อแก้ตัวหรือพูดจาดูถูกสิ่งนั้นเพื่อปลอบใจตัวเอง แต่อย่าลืมว่าการยอมรับความล้มเหลวด้วยความซื่อสัตย์ต่อตัวเองเป็นหนทางสู่การเรียนรู้และเติบโต และคนที่พูดจาเสียดสีเกี่ยวกับสิ่งที่ตนเองไม่สามารถหาได้ ควรนำบทเรียนเล็ก ๆ น้อย ๆ ทุกอย่างที่ผ่านมาไปปรับใช้ในชีวิต เพื่อพัฒนาตัวเองให้พร้อมสำหรับโอกาสใหม่ในอนาคต แทนที่จะปิดกั้นตนเองด้วยคำแก้ตัว

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องจิ้งจอกกับพวงองุ่น (อังกฤษ: The Fox and the Grapes) เป็นนิทานเรื่องหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมากจวบถึงปัจจุบัน ถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 15 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) นิทานเรื่องนี้เล่าได้กระชับและเล่าซ้ำหลายครั้ง นิทานเรื่องนี้เล่าถึงสุนัขจิ้งจอกที่พยายามกินองุ่นด้วยความหิวโหย สุนัขจิ้งจอกจึงพยายามเอื้อมไปหยิบองุ่นที่ห้อยอยู่บนต้นสูง แม้ว่ามันจะกระโจนสุดแรง แต่ก็เอื้อมไม่ถึงองุ่น เมื่อมันเดินจากไป สุนัขจิ้งจอกก็พูดว่า “โอ้ คุณยังไม่สุกด้วยซ้ำ ฉันไม่ต้องการองุ่นเปรี้ยว”

คนอ่อนแอมักพูดจาเสียดสีเกี่ยวกับสิ่งที่ตนเองไม่สามารถหาได้

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องจิ้งจอกกับอีกา

ในป่าใหญ่ที่เต็มไปด้วยต้นไม้สูงตระหง่านและเสียงนกร้องขับขาน มีอีกาตัวหนึ่งที่เพิ่งพบกับชีสก้อนโตโดยบังเอิญ มันรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก และคิดว่านี่คงเป็นมื้ออาหารที่วิเศษที่สุดของมัน

ทว่าในความเงียบสงบของป่า กลับมีสายตาคู่นึงจับจ้องมองชีสก้อนนั้นด้วยความต้องการ เรื่องราวของการหลอกล่อและความฉลาดแกมโกงกำลังจะเริ่มต้นขึ้น… กับนิทานอีสปเรื่องจิ้งจอกกับอีกา

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องจิ้งจอกกับอีกา

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องจิ้งจอกกับอีกา

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในป่ากว้างใหญ่ที่มีต้นไม้สูงใหญ่รายล้อม อีกาตัวหนึ่งได้พบกับชีสก้อนโตที่ใครบางคนทิ้งไว้บนพื้น มันดีใจมากจนรีบบินลงมาแล้วคาบชีสขึ้นมาทันที “โอ้ ช่างโชคดีอะไรเช่นนี้! มื้อนี้ข้าคงได้กินอย่างอิ่มหนำแน่” อีกาพูดกับตัวเองด้วยความตื่นเต้น

มันบินขึ้นไปเกาะบนกิ่งไม้สูง ท่ามกลางความเงียบสงบของป่า ตั้งใจจะลิ้มรสชีสอันโอชะโดยไม่ต้องแบ่งใคร ขณะที่มันกำลังเพลิดเพลินกับความคิดของตัวเองนั้น จิ้งจอกตัวหนึ่งก็เดินผ่านมา เห็นอีกาพร้อมกับชีสในปาก มันหยุดเดินทันทีและพูดกับตัวเองเบา ๆ “โอ้ ชีสนั่นช่างน่ากินเหลือเกิน ข้าต้องหาทางเอามันมาให้ได้”

จิ้งจอกจึงเดินเข้าไปใต้ต้นไม้และเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “โอ้ ท่านอีกาผู้สง่างาม! ท่านช่างเป็นนกที่งดงามยิ่งนัก ข้าขอสารภาพว่าตั้งแต่เกิดมา ข้าไม่เคยเห็นนกตัวใดที่มีขนดำมันวาวและสง่างามเท่าท่านเลย”

อีกาได้ยินดังนั้นก็เริ่มรู้สึกภูมิใจในตัวเอง มันคิดในใจว่า “ข้าช่างสง่างามจริง ๆ คนอื่นยังต้องมาชื่นชมข้า” แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ยังไม่อ้าปากพูด เพราะไม่อยากให้ชีสหล่น

เมื่อเห็นอีกายังนิ่งอยู่ จิ้งจอกจึงพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ประจบยิ่งขึ้น “แต่มีสิ่งหนึ่งที่ข้าสงสัยยิ่งนัก ท่านผู้สง่างาม ท่านมีเสียงร้องที่ไพเราะหรือไม่? หากเสียงของท่านไพเราะเท่ารูปลักษณ์ ข้าคิดว่าท่านสมควรได้รับตำแหน่งราชาแห่งนกทั้งปวง”

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องจิ้งจอกกับอีกา 2

คำพูดนั้นทำให้อีการู้สึกตื่นเต้นและอยากพิสูจน์ตัวเอง มันคิดในใจว่า “ข้าจะต้องแสดงให้เจ้าจิ้งจอกรู้ว่าข้าคู่ควรกับคำชมนี้” อีกายืดตัวขึ้นอย่างภาคภูมิ แล้วอ้าปากร้องว่า “ก๊า! ก๊า!”

แต่ทันทีที่มันอ้าปาก ชีสก้อนโตที่คาบอยู่ก็ร่วงหล่นจากปากของมันตรงลงไปที่พื้น จิ้งจอกซึ่งรอจังหวะนี้อยู่แล้วรีบคว้าชีสขึ้นมาในทันที

มันยิ้มเยาะและพูดกับอีกาด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ “ขอบใจสำหรับชีส กาเอ๋ย เจ้ามีเสียงที่ไพเราะ แต่มีสมองที่ฝ่อแล้ว! เจ้ายังไม่รู้หรือว่า คำเยินยอของข้านั้นมีไว้เพื่อหลอกล่อเจ้าเพียงเท่านั้น? จำไว้นะ คำประจบสอพลอเป็นอาวุธที่ทรงพลังของคนเจ้าเล่ห์ ถ้าเจ้าทำตามคำแนะนำของศัตรู เจ้าจะต้องเจ็บปวดไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง”

อีกาได้ยินเช่นนั้นก็ยืนนิ่ง มันรู้สึกทั้งอายและผิดหวังในตัวเอง “ข้าช่างโง่เขลานัก ที่หลงเชื่อคำพูดของเจ้าจิ้งจอกเจ้าเล่ห์” มันคิดในใจพร้อมกับมองดูจิ้งจอกที่เดินจากไปพร้อมชีสของมัน

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องจิ้งจอกกับอีกา 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่าหลงเชื่อคำประจบสอพลอ เพราะมันมักจะมาพร้อมกับเจตนาร้ายที่แอบแฝงอยู่ และการขาดความระมัดระวังในคำพูดหรือการกระทำของตัวเอง อาจนำไปสู่ความสูญเสียที่ไม่อาจย้อนกลับมาได้

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องจิ้งจอกกับอีกา (อังกฤษ: The Fox and the Crow) เป็นนิทานอีสปเรื่องหนึ่ง ถูกจัดลำดับอยู่ใน Perry Index ลำดับที่ 124 (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) นิทานเรื่องนี้มีเวอร์ชันภาษาละตินและภาษากรีกยุคแรก ๆ และนิทานเรื่องนี้อาจปรากฏในแจกันกรีกโบราณด้วยซ้ำ นิทานเรื่องนี้ใช้เตือนใจไม่ให้ฟังคำประจบสอพลอและอย่าไว้ใจใครก็ตามที่พยายามหลอกลวงเรา

ถ้าเจ้าทำตามคำแนะนำของศัตรู เจ้าจะต้องเจ็บปวดไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องคนจับนกกับงูเห่า


ในป่าอันกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา มีชายคนหนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการจับนก เขามีความชำนาญในงานนี้และมักเตรียมกับดักไปมากมายในทุกครั้งที่ออกล่า วันหนึ่ง เขาเดินเข้าไปในป่าด้วยความหวังว่าจะจับนกให้ได้มากมาย

แต่ท่ามกลางความมุ่งมั่นและความคาดหวัง ชายจับนกกลับไม่ทันระวังสิ่งรอบตัว สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นจะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างไปตลอดกาล… กับนิทานอีสปเรื่องคนจับนักกับงูเห่า

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องคนจับนกกับงูเห่า

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องคนจับนกกับงูเห่า

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในป่าใหญ่ มีชายคนหนึ่งซึ่งมีอาชีพจับนกเป็นงานประจำ เขาพกกับดักมากมายเดินลึกเข้าไปในป่าด้วยความหวังว่าจะจับนกให้ได้มากที่สุดในวันนั้น “วันนี้ต้องเป็นวันที่โชคดีของข้าแน่ ๆ” เขาพูดกับตัวเอง พลางยิ้มและก้าวเดินอย่างมั่นใจ

ไม่นานนัก เขามองเห็นนกฝูงหนึ่งเกาะอยู่บนต้นไม้สูงใหญ่ เสียงเจื้อยแจ้วของพวกมันทำให้ชายจับนกรู้สึกตื่นเต้น เขาหยุดยืนมองขึ้นไปและพูดว่า “เจ้านกทั้งหลาย ข้าจะต้องจับพวกเจ้าให้ได้! วันนี้ข้าจะไม่กลับบ้านมือเปล่าเด็ดขาด”

เขาเริ่มวางกับดักทีละอันด้วยความตั้งใจ เขาวางบางอันไว้บนพื้นเพื่อดักนกที่บินลงมาเกาะ บางอันผูกไว้บนต้นไม้เพื่อจับนกที่อาจบินวนลงมา เขาพูดพลางทำงาน “ข้าต้องวางให้รอบคอบที่สุด เจ้านกพวกนี้ไม่มีทางหนีพ้นข้าหรอก!”

แต่ในความมุ่งมั่นนั้นเอง ชายจับนกกลับไม่ทันระวังว่าใกล้เท้าของเขา มีงูเห่าตัวหนึ่งนอนขดอยู่ งูเห่าเฝ้าดูชายจับนกมาตั้งแต่แรก มันขยับตัวเล็กน้อย แต่ชายจับนกไม่สังเกต เพราะเขากำลังจ้องมองนกบนต้นไม้อยู่

งูเห่าพูดกับตัวเองเบา ๆ ด้วยความโกรธ “เจ้ามนุษย์ ช่างไร้ความระมัดระวังนัก! เจ้ากำลังรบกวนข้า ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าเหยียบย่ำข้าโดยไม่มีผลอะไรแน่นอน”

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องคนจับนกกับงูเห่า 2

เมื่อชายจับนกเผลอเหยียบส่วนหนึ่งของลำตัวงู งูเห่าพุ่งตัวฉกกัดเขาอย่างรวดเร็ว ชายจับนกสะดุ้งเฮือกพร้อมกับร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด “โอ้ย! นี่ข้าถูกอะไร?” เขารีบถอยออกไปและเห็นงูเห่ากำลังขดตัวอยู่ใกล้ ๆ

“เจ้างู! ข้าขอโทษ ข้าไม่ตั้งใจ!” ชายจับนกร้องขอ แต่สายเกินไปแล้ว พิษของงูเริ่มแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย เขาทรุดลงกับพื้น หายใจหอบและรู้สึกอ่อนแรงลงเรื่อย ๆ

งูเห่าพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้ามนุษย์ เจ้าสมควรได้รับสิ่งนี้ เจ้าจ้องจะทำร้ายชีวิตผู้อื่น แล้วทำไมข้าจะป้องกันตัวเองไม่ได้ล่ะ?”

ชายจับนกมองงูเห่าและพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง “ข้าตั้งใจจะปองร้ายเจ้านกเหล่านั้น แต่กลับกลายเป็นว่าข้ากลายเป็นเหยื่อเสียเอง ช่างน่าเศร้าจริง ๆ ชีวิตของข้าต้องจบลงเพราะความไม่ระวังของตัวเอง”

เขานอนราบกับพื้น หายใจแผ่วลงเรื่อย ๆ ก่อนจะสิ้นใจท่ามกลางป่าที่เงียบสงัด งูเห่าคลายตัวและเลื้อยจากไปอย่างสงบ ปล่อยให้กับดักของชายจับนกยังคงวางอยู่โดยไม่มีผู้ใดใช้อีกต่อไป

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องคนจับนกกับงูเห่า 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เมื่อเราคิดจะวางแผนร้ายหรือปองร้ายผู้อื่น เราเองอาจตกเป็นเหยื่อของแผนร้ายที่คาดไม่ถึงเช่นกัน และความไม่ระวังในสิ่งรอบข้าง รวมถึงการมุ่งแต่ผลประโยชน์โดยไม่สนใจความปลอดภัย อาจนำมาซึ่งอันตรายที่หลีกเลี่ยงได้ยาก

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องคนจับนกกับงูเห่า (อังกฤษ: The Fowler and the Snake) นิทานที่มีต้นกำเนิดจากกรีกซึ่งแสดงให้เห็นชะตากรรมของนักล่า นิทานเรื่องนี้ได้รับการนับเป็นหนึ่งในนิทานของอีสป ถูกจัดลำดับอยู่ใน Perry Index ลำดับที่ 115 (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ)

เมื่อผู้คนวางแผนร้ายต่อผู้อื่น พวกเขาก็ตกเป็นเหยื่อของแผนร้ายเดียวกันนั้นเช่นกัน

นิทานเรื่องนี้มีแหล่งที่มาจากภาษากรีกสองแหล่งซึ่งตีความได้แตกต่างกัน แหล่งหนึ่งบรรยายว่านักล่านกตั้งกับดักนกมากมายจนเผลอเหยียบงูและถูกงูกัดตาย เรื่องนี้พิสูจน์ได้ว่า “เมื่อผู้คนวางแผนร้ายต่อผู้อื่น พวกเขาก็ตกเป็นเหยื่อของแผนการร้ายแบบเดียวกัน” ความรู้สึกนี้พบได้ทั่วไปในนิทานยุคแรกๆ ส่วนนิทานอีกเรื่องอย่างอีกากับงูก็ให้ข้อสรุปแบบเดียวกัน

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องแมลงวันในน้ำซุป

ในครัวอันเงียบสงบของบ้านหลังหนึ่ง หม้อน้ำซุปร้อนระอุส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วห้อง ดึงดูดแมลงวันตัวหนึ่งที่บินวนเวียนอยู่ใกล้ ๆ ด้วยความตื่นเต้น แมลงวันผู้ชื่นชอบการสำรวจสิ่งใหม่ ๆ ถูกล่อลวงด้วยกลิ่นซุปอันเย้ายวนใจ

มันไม่อาจห้ามใจที่จะเข้าไปใกล้เพื่อสัมผัสรสชาติที่มันคาดหวังว่าจะเป็นความสุขครั้งใหญ่ แต่การตัดสินใจของมันในครั้งนี้กลับนำพาไปสู่จุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของชีวิตมัน… กับนิทานอีสปเรื่องแมลงวันในน้ำซุป

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องแมลงวันในน้ำซุป

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องแมลงวันในน้ำซุป

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในครัวของบ้านหลังหนึ่ง หม้อน้ำซุปร้อนระอุส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วห้อง กลิ่นซุปที่เคี่ยวจนได้ที่นี้ดึงดูดแมลงวันตัวหนึ่งซึ่งบินว่อนอยู่ใกล้ ๆ ด้วยความตื่นเต้น แมลงวันผู้ชอบความสะดวกสบายและเสาะหาสิ่งหอมหวลพูดกับตัวเองด้วยน้ำเสียงรื่นเริง “ข้าคงต้องลองลิ้มรสความหอมนี้แล้ว! โอกาสแบบนี้หาไม่ได้ง่าย ๆ นี่คือสวรรค์ที่ข้าเฝ้าตามหา”

มันบินโฉบลงมาที่ขอบหม้อซุป สูดกลิ่นด้วยความสุขใจ และพูดกับตัวเองว่า “นี่แหละ ชีวิตอันสมบูรณ์แบบ! ข้าจะชิมน้ำซุปนี้สักหน่อย ไม่มีใครรู้หรอก!” แมลงวันยื่นปากเล็ก ๆ ลงไปจิบซุป รสชาติของมันทำให้มันยิ้มด้วยความพึงพอใจ “โอ้ ช่างยอดเยี่ยมอะไรเช่นนี้! ข้าโชคดีเหลือเกินที่ได้เจอสิ่งนี้”

แต่ในความประมาทของมัน ขณะที่กำลังดื่มด่ำกับรสชาติ ขามันกลับลื่นไถลเพราะไอน้ำที่เกาะอยู่บนขอบหม้อ แมลงวันพลัดตกลงไปในหม้อซุป มันตีปีกและพยายามดิ้นรนอย่างสุดกำลัง “ช่วยด้วย! ข้ากำลังจมน้ำซุป!” มันร้องตะโกน แต่ไม่มีใครได้ยิน

แมลงวันพยายามตะเกียกตะกายเอาตัวรอดจากน้ำซุปที่ร้อนระอุ มันตีปีกสุดแรง แต่น้ำซุปที่ลื่นและร้อนทำให้มันเริ่มหมดแรง “ข้าจะรอดออกจากที่นี่ได้หรือไม่? หรือว่านี่คือจุดจบของข้า…” มันพูดกับตัวเองด้วยเสียงสั่นเครือ

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องแมลงวันในน้ำซุป 2

เมื่อเรี่ยวแรงใกล้จะหมด แมลงวันหยุดดิ้น มันลอยตัวนิ่งกลางหม้อซุปและเริ่มคิดถึงชีวิตที่ผ่านมา “แต่เดี๋ยวก่อน…” มันพูดเบา ๆ “ข้าได้กินแล้ว ข้าได้ดื่มแล้ว และข้าได้อาบในน้ำซุปร้อนหอมนี้ ชีวิตข้าช่างสมบูรณ์แล้ว” มันถอนหายใจยาวและนึกย้อนถึงวันที่มันยังบินได้อย่างอิสระ

และมันก็ได้ลำลึกถึงความหลังของชีวิต “ข้าเคยได้เต้นรำกลางแสงตะวัน เคยได้สัมผัสลมเย็นที่พัดผ่านทุ่งหญ้า ข้าได้ชื่นชมความงดงามของธรรมชาติ ได้ลิ้มรสหยดน้ำค้างที่เกาะบนใบไม้ยามเช้า แม้ชีวิตของข้าจะสั้น แต่ทุกวันของข้าช่างเปี่ยมด้วยความสุข” มันยิ้มเล็กน้อยด้วยความภาคภูมิใจ

แมลงวันพูดกับตัวเองต่อไปด้วยน้ำเสียงสงบ “แม้เวลาของข้าจะไม่ยืนยาว แต่ข้าก็ได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ ข้ารู้จักทั้งความสุขและความทุกข์ ข้าได้สัมผัสทั้งความอิ่มเอมและความยากลำบาก หากนี่คือวาระสุดท้ายของข้า ข้าก็จะยอมรับมัน ข้าจะจากไปอย่างไม่เสียใจ”

ในวาระสุดท้าย แมลงวันหลับตาลงและปล่อยตัวเองลอยอยู่ในน้ำซุป กลิ่นหอมที่ครั้งหนึ่งเคยดึงดูดมัน บัดนี้กลายเป็นสิ่งสุดท้ายที่มันได้สัมผัส ไอร้อนจากหม้อซุปโอบล้อมตัวมันไว้ และในที่สุด แมลงวันก็จากไปอย่างสงบ

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องแมลงวันในน้ำซุป 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ชีวิตคือสิ่งสวยงาม แม้จะเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน เราควรชื่นชมสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ระหว่างทาง ไม่ใช่มุ่งแต่เป้าหมายเพียงอย่างเดียว ความตายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ระหว่างทางนั้น เราสามารถเลือกที่จะใช้ชีวิตให้มีคุณค่า ด้วยการมองเห็นความงดงามในทุกช่วงเวลา และให้ความสำคัญกับการใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ในปัจจุบัน เพราะทุกลมหายใจคือโอกาสที่ควรค่าแก่การทะนุถนอมเสมอ

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องแมลงวันในน้ำซุป (อังกฤษ: The Fly in the Soup) มาจากนิทานกรีกที่บันทึกไว้ทั้งในรูปแบบร้อยแก้วและบทกวี ถูกจัดลำดับอยู่ใน Perry Index ลำดับที่ 167 (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) บทเรียนของนิทานเรื่องนี้คือต้องรับมือกับสถานการณ์เลวร้ายด้วยความสงบ แต่หลังยุคคลาสสิก นิทานเรื่องนี้กลับถูกบันทึกไว้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ชีวิตไม่แน่นอน แต่ความตายแน่นอนเสมอ

โดยเป็นเรื่องราวของแมลงวันตกลงไปในหม้อซุปและคิดก่อนจะจมน้ำตาย “ข้าได้กินแล้ว ข้าได้ดื่มแล้ว ข้าได้อาบน้ำแล้ว ถ้าข้าตาย ข้าจะสนใจอะไร” Babrius บันทึกเรื่องราวในอีกรูปแบบหนึ่ง โดยเป็นเรื่องราวของหนูตัวหนึ่งยอมรับจุดจบของตนเองในลักษณะปรัชญา มันตกลงไปในหม้อน้ำซุปที่ไม่มีฝาปิด ขณะที่มันกำลังสำลักน้ำและหายใจไม่ออก มันพูดว่า “ฉันกินและดื่มจนอิ่มแล้ว และฉันกินอาหารดี ๆ ทุกชนิดจนอิ่มแล้ว ถึงเวลาที่ฉันต้องไปแล้ว!”

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องแมลงวันกับมด

ในวันที่อากาศอบอ้าวในฤดูร้อน มดตัวหนึ่งกำลังทำงานอย่างขยันขันแข็งเพื่อเก็บสะสมอาหารสำหรับฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึง ขณะที่มันขนเมล็ดข้าวกลับรัง มันได้พบกับแมลงวันผู้ร่าเริงที่บินไปมาด้วยความสนุกสนาน

แมลงวันซึ่งใช้ชีวิตอย่างอิสระและไม่เคยต้องทำงานหนัก เริ่มพูดจาเยาะเย้ยมดถึงความแตกต่างของชีวิตทั้งสอง แต่ในการสนทนานั้น มดได้ให้บทเรียนที่ลึกซึ้งแก่แมลงวันเกี่ยวกับคุณค่าของความพยายามและการเตรียมพร้อม… กับนิทานอีสปเรื่องแมลงวันกับมด

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องแมลงวันกับมด

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องแมลงวันกับมด

ในวันที่อากาศอบอ้าวในฤดูร้อน แมลงวันตัวหนึ่งบินไปมาอย่างสนุกสนาน มันโฉบขึ้นลงด้วยความร่าเริง รู้สึกภาคภูมิใจในชีวิตอิสระของตัวเอง ขณะที่บินผ่านไปในป่า มันเห็นมดตัวหนึ่งกำลังลากเมล็ดข้าวกลับรัง มดย่ำไปบนพื้นอย่างมุ่งมั่น หยาดเหงื่อเกาะพราวตามตัว แต่ดูเหมือนไม่ได้ทำให้มดหยุดทำงานเลยแม้แต่น้อย

แมลงวันบินโฉบลงมาหามดและเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงดูแคลน “ดูเจ้าเสียสิ มดตัวจ้อย! เจ้าดูเหนื่อยล้าขนาดนี้เพื่ออะไรกัน? เจ้าขนเมล็ดข้าวกลับรังตั้งแต่เช้าจรดเย็น ชีวิตเจ้านี่น่าเวทนาจริง ๆ” มันพูดพร้อมหัวเราะเบา ๆ

มดหยุดและเงยหน้ามองแมลงวัน แต่ยังไม่ตอบอะไร แมลงวันเห็นเช่นนั้นก็ยิ่งได้ใจ มันพูดต่อด้วยน้ำเสียงโอ้อวด “ข้าล่ะโชคดีกว่าเจ้าหลายเท่า! ข้าน่ะบินได้อย่างอิสระ ไปไหนมาไหนตามใจชอบ ข้าเดินทางไปยังสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ท่องเที่ยวในวิหารของเหล่าเทพเจ้า และเมื่อมีพิธีสำคัญ ข้าคือผู้แรกที่ได้ลิ้มรสอาหารจากเหล่าเทพ”

มดยังคงเงียบ แต่ยังจ้องมองแมลงวันด้วยสายตาเรียบนิ่ง แมลงวันยิ้มอย่างภาคภูมิใจและพูดต่อ “ข้ายังสามารถนั่งบนศีรษะของกษัตริย์ได้ หากข้าต้องการ และที่สำคัญ ข้าได้รับจุมพิตจากสตรีที่มีสามีโดยไม่มีใครกล้าขัดข้า! เจ้าคงไม่เข้าใจหรอก เจ้ามดตัวน้อย ชีวิตข้าช่างสูงส่งและงดงาม ส่วนเจ้า ดูเหมือนเป็นเพียงสัตว์ที่ไร้ค่า”

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องแมลงวันกับมด 2

เมื่อแมลงวันพูดจบ มดก็ถอนหายใจเบา ๆ แล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “ข้าขอถามเจ้า แมลงวัน การได้กินอาหารของเหล่าเทพเจ้าเป็นสิ่งที่น่ายินดีหรือไม่?”

“แน่นอนสิ!” แมลงวันตอบอย่างรวดเร็ว “นั่นเป็นเกียรติอย่างยิ่ง!”

มดตอบกลับทันที “แต่การได้กินอาหารของเทพเจ้านั้นมีไว้สำหรับผู้ที่เทพเจ้าเชิญ ไม่ใช่ผู้ที่เทพเกลียด เจ้าเดินทางไปยังพิธีได้ก็จริง แต่เจ้าก็ถูกขับไล่ออกไปทันทีที่ไปถึง ข้าเห็นเจ้าบินวุ่นวายและถูกปัดออกแทบทุกครั้ง”

แมลงวันเริ่มนิ่ง แต่ยังพยายามแย้ง “แต่ข้านั่งบนศีรษะกษัตริย์ได้นะ เจ้าเคยทำได้แบบข้าหรือเปล่า?”

มดหัวเราะเบา ๆ “สิ่งที่เจ้าเรียกว่าความสำเร็จนั้นน่าอับอายเสียมากกว่า เจ้าเป็นแค่แมลงสกปรกที่ไม่มีใครอยากให้เข้าใกล้ เจ้าไม่ต้องทำงานก็จริง แต่ข้าก็เห็นผลลัพธ์ของการขี้เกียจของเจ้า เจ้ากินเพียงของเน่าเสียริมกำแพง และเมื่อฤดูหนาวมาถึง เจ้าจะมีอะไรให้กิน?”

มดยกเมล็ดข้าวขึ้นมาด้วยแรงที่มั่นคงก่อนจะกล่าวต่อ “ข้า ขยันหมั่นเพียรเก็บรวบรวมเมล็ดข้าวไว้สำหรับฤดูหนาว ข้าสร้างรังที่อบอุ่นเพื่อหลบพายุและสายลมหนาว แต่เจ้า แมลงวัน เจ้าจะทำอย่างไรเมื่อหนาวเหน็บมาถึง?”

แมลงวันเริ่มตีหน้าเศร้า มันไม่มีคำตอบสำหรับคำถามของมด มดมองดูด้วยสายตาเข้าใจและกล่าวปิดท้าย “บัดนี้ เจ้าพยายามโอ้อวดข้าในฤดูร้อน แต่เมื่อถึงฤดูหนาว เจ้าคงไม่มีถ้อยคำใดจะกล่าวอีก ข้าคิดว่าแค่นี้ก็น่าจะเพียงพอที่จะดับความภาคภูมิใจและความหยิ่งยโสของเจ้าได้แล้ว”

แมลงวันเงียบไป มันไม่พูดอะไรอีก ก่อนจะบินจากไปอย่างช้า ๆ ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย ขณะที่มดยังคงขนเมล็ดข้าวกลับรังด้วยความมุ่งมั่น

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องแมลงวันกับมด 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าความพยายามและความขยันหมั่นเพียรในการทำงานเพื่ออนาคต ย่อมนำมาซึ่งความมั่นคงในชีวิต ในขณะที่การโอ้อวดความสำเร็จชั่วคราวที่ไร้รากฐาน อาจทำให้เราประสบปัญหาในยามที่ต้องการความมั่นคงที่สุด อีกทั้งยังเตือนว่า การเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อไม่ให้เราต้องเผชิญกับความลำบากในวันที่สายเกินไป

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องแมลงวันกับมด (อังกฤษ: The Fly and the Ant) เป็นนิทานอีสปเรื่องหนึ่งที่ปรากฏในหัวข้อการโต้เถียงระหว่างแมลงสองชนิด ถูกจัดลำดับอยู่ใน Perry Index ลำดับที่ 521 (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ)

นิทานประเภทนี้สอนให้เรารู้จักแยกแยะระหว่าง ผู้ที่ยกย่องตนเองด้วยการกระทำที่ว่างเปล่า และ ผู้ที่มีคุณสมบัติอันสูงส่งซึ่งพิสูจน์ได้จากความสำเร็จที่แท้จริง

ในนิทานที่ Phaedrus เล่า แมลงวันถือเป็นสัตว์ที่มีอำนาจเหนือกว่าเพราะมันชิมเครื่องสังเวยก่อนเทพเจ้า และในโลกแห่งมนุษย์ แมลงวันจะเกาะบนหัวกษัตย์ที่สวมมงกุฎและจุมพิตกับผู้หญิงทุกคนได้ มดแย้งว่าการทำอะไรตามใจตัวเองโดยไม่ได้รับคำเชิญล่วงหน้าไม่ได้เป็นการพิสูจน์อะไรเลย การทำงานเพื่อประโยชน์ส่วนรวมคือการวัดคุณค่าที่แท้จริง ไม่ใช่การโอ้อวดตน และฤดูหนาวจะเป็นผู้ตัดสินขั้นสุดท้าย

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องชาวประมงกับก้อนหิน

ในเช้าวันหนึ่งที่ริมแม่น้ำ ชาวประมงกลุ่มหนึ่งออกเรือพร้อมอวนและความหวัง พวกเขาตั้งใจจะจับปลาให้ได้มากมายเพื่อกลับไปเลี้ยงครอบครัวและขายในตลาด เสียงหัวเราะและบทสนทนาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น

แต่สิ่งที่พวกเขาค้นพบในอวนที่หนักอึ้งนั้น ไม่ได้เป็นอย่างที่คาดหวัง ความผิดหวังที่ตามมานำไปสู่บทเรียนสำคัญที่พวกเขาไม่มีวันลืม… กับนิทานอีสปเรื่องชาวประมงกับก้อนหิน

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องชาวประมงกับก้อนหิน

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องชาวประมงกับก้อนหิน

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ชาวประมงกลุ่มหนึ่งออกไปหาปลาในยามเช้าตรู่ พวกเขาโยนอวนลงไปในแม่น้ำที่ใสกระจ่าง ทุกคนเต็มไปด้วยความหวังว่าจะได้ปลาจำนวนมากกลับบ้าน หลังจากรอคอยอยู่พักใหญ่ พวกเขารู้สึกว่าอวนเริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ และต่างก็ตื่นเต้นกับน้ำหนักที่มากเกินคาดหมาย

“ดูสิ อวนของเราหนักมาก!” ชาวประมงคนหนึ่งร้องขึ้น “ข้าไม่เคยเห็นอวนหนักขนาดนี้มาก่อน ครั้งนี้เราคงโชคดีแน่ ๆ!”

“อาจจะเป็นปลาฝูงใหญ่ก็ได้” อีกคนเสริมด้วยความตื่นเต้น “เราคงได้ปลามากพอที่จะขายและเลี้ยงครอบครัวไปอีกหลายวัน!”

ทุกคนช่วยกันลากอวนขึ้นจากน้ำ พร้อมกับร้องเพลงและหัวเราะอย่างสนุกสนาน บางคนถึงกับเต้นรำไปด้วยขณะที่ดึงอวน พวกเขาจินตนาการถึงปลาตัวใหญ่ที่กำลังดิ้นพล่านอยู่ในอวน ทว่า เมื่ออวนถูกดึงขึ้นมาจากน้ำ พวกเขากลับต้องหยุดชะงัก

ในอวนไม่มีปลามากมายอย่างที่พวกเขาคาดหวัง มีเพียงปลาตัวเล็กไม่กี่ตัว และส่วนใหญ่กลับเป็นก้อนหินขนาดใหญ่ที่เพิ่มน้ำหนักให้อวน ชาวประมงคนหนึ่งร้องออกมาด้วยความผิดหวัง “นี่มันอะไรกัน! ข้าคิดว่าเราจะได้ปลามากมาย แต่กลับได้ก้อนหินพวกนี้แทน!”

“ข้าทุ่มแรงทั้งหมดไปกับการดึงอวนขึ้นมา แล้วนี่คือสิ่งที่เราได้งั้นรึ?” อีกคนบ่นพร้อมกับนั่งลงด้วยสีหน้าท้อแท้

เสียงบ่นดังไปทั่วกลุ่ม ทุกคนดูหมดหวังและผิดหวังกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ชายชราผู้หนึ่งในกลุ่ม ซึ่งเป็นผู้มีประสบการณ์มากที่สุด กลับนิ่งสงบ เขามองดูเพื่อน ๆ ของเขาและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ว่า “เพื่อนเอ๋ย หยุดบ่นกันเถิด! พวกเจ้าจงฟังข้าให้ดี”

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องชาวประมงกับก้อนหิน 2

ชาวประมงคนหนึ่งเงยหน้าขึ้นมองชายชรา “แล้วท่านจะให้เราทำอย่างไร? เราเหนื่อยแทบตาย แต่กลับได้เพียงก้อนหินกับปลาตัวเล็ก ๆ”

ชายชราหัวเราะเบา ๆ และพูดว่า “เจ้าจงอย่าเครียดไปเลย ความเศร้าโศกมักจะเป็นพี่น้องกับความสุข เมื่อเรารู้สึกยินดีและคาดหวังมากในตอนแรก เราก็ต้องเตรียมใจรับความผิดหวังในภายหลังด้วย ชีวิตนั้นมีทั้งขึ้นและลง เป็นธรรมดาของโชคชะตา”

“ท่านหมายความว่าอย่างไร?” ชาวประมงอีกคนถาม

ชายชราอธิบาย “การที่เราคาดหวังมากเกินไป ทำให้เราผิดหวังเมื่อไม่ได้สิ่งที่หวัง จำไว้เถิดว่า ความสุขและความทุกข์เป็นของคู่กัน เราไม่อาจมีความสุขตลอดเวลาได้ เช่นเดียวกับที่ความทุกข์ก็ไม่ได้อยู่ตลอดไป”

คำพูดของชายชราทำให้ทุกคนเริ่มสงบลง พวกเขาหยุดบ่นและเริ่มเก็บอวนกลับไปใหม่ ชาวประมงคนหนึ่งพูดขึ้น “ท่านพูดถูก บางครั้งเราก็ต้องยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น แม้มันจะไม่เป็นไปตามที่เราหวังไว้”

อีกคนเสริม “เรายังมีปลาตัวเล็ก ๆ บ้าง อย่างน้อยวันนี้เราก็ไม่ได้กลับบ้านมือเปล่า”

จากนั้นชาวประมงก็กลับมาทำงานต่อ พวกเขายอมรับผลลัพธ์ที่ได้ และเรียนรู้บทเรียนสำคัญว่า ในชีวิต เราไม่อาจคาดหวังความสมบูรณ์แบบหรือโชคดีตลอดไปได้ แต่ต้องพร้อมรับความเปลี่ยนแปลงด้วยความอดทน

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องชาวประมงกับก้อนหิน 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนว่า ชีวิตเต็มไปด้วยความพลิกผันของโชคชะตา ความสุขและความทุกข์ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เราต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับและอดทนต่อสิ่งที่เกิดขึ้น และการคาดหวังมากเกินไป อาจทำให้เราผิดหวังได้ง่าย แต่หากเราเข้าใจธรรมชาติของชีวิต ความผิดหวังก็จะไม่ทำให้เราท้อแท้จนเกินไป

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องชาวประมงกับก้อนหิน (อังกฤษ: The Fisherman and the Stone) ถูกจัดลำดับอยู่ใน Perry Index ลำดับที่ 13 (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) เป็นเรื่องราว ชาวประมงบางคนซึ่งออกไปลากอวนทั้งวันแต่ไม่ได้ปลาเลย เจอลมกระโชกแรงตอนค่ำ กลับบ้านมาด้วยน้ำหนักมาก ทำให้พวกเขาหวังว่าจะได้ปลาสเตอร์เจียนอย่างน้อยสักตัว แต่เมื่อนำอวนขึ้นบก กลับพบว่ามีเพียงก้อนหินใหญ่ก้อนเดียวและปลาตัวเล็ก ๆ ไม่กี่ตัว หลังจากความผิดหวังครั้งก่อน พวกเขาก็รู้สึกเศร้าหรือหดหู่ใจอีกครั้ง แต่มีคนหนึ่งในกลุ่มที่เจอหนักกว่าคนอื่นเล็กน้อยกล่าวว่า ท่านจงพิจารณาว่า ความสุขและความเศร้าโศกเป็นสองสิ่งที่มาคู่กัน

การซื้อของของเราในโลกนี้ล้วนเป็นแค่การจับปลาตามแบบฉบับของชาวตาตาร์ แต่ก็เป็นการปลอบใจได้บ้างเมื่อพิจารณาว่าเมื่อสถานการณ์เลวร้ายที่สุด ทุกอย่างก็จะดีขึ้น

“ชีวิตเต็มไปด้วยความผันผวน เราต้องยอมรับโชคชะตาทั้งดีและร้าย เพราะทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องของวาสนา”

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องชาวประมงกับปลาตัวเล็ก

ในหมู่บ้านเล็ก ๆ ริมแม่น้ำ มีชาวประมงผู้หนึ่งที่ใช้ชีวิตเรียบง่ายด้วยการออกจับปลาทุกวันเพื่อเลี้ยงชีพ วันหนึ่ง เขาออกหาปลาตามปกติ และในตาข่ายของเขาก็มีบางสิ่งที่ไม่คาดคิดติดขึ้นมาด้วย

สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเล็กน้อยกลับกลายเป็นบทเรียนสำคัญที่ชาวประมงได้เรียนรู้และไม่มีวันลืม… กับนิทานอีสปเรื่องชาวประมงกับปลาตัวเล็ก

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องชาวประมงกับปลาตัวเล็ก

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องชาวประมงกับปลาตัวเล็ก

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในหมู่บ้านริมแม่น้ำ มีชาวประมงผู้หนึ่งที่ออกไปหาปลาในทุกเช้าตรู่ ด้วยตาข่ายคู่ใจ เขาหวังจะจับปลาได้มากพอสำหรับเลี้ยงชีพและขายในตลาด วันหนึ่ง เขาโยนตาข่ายลงในแม่น้ำและนั่งรออย่างอดทน เมื่อเขาดึงตาข่ายขึ้นมา เขาก็พบว่ามีเพียงปลาตัวเล็ก ๆ ตัวหนึ่งติดอยู่

“เจ้าตัวเล็กแค่นี้เองรึ?” ชาวประมงพูดพลางมองปลาตัวเล็กในตาข่าย “ไม่ใช่ปลาตัวใหญ่ที่ข้าหวังไว้ แต่ก็ดีกว่ากลับบ้านมือเปล่า” เขายิ้มเล็กน้อยและเตรียมจะเก็บปลาลงตะกร้า

ทันใดนั้น ปลาน้อยพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน “ได้โปรดเถิดท่านชาวประมง ข้ายังเล็กเกินไปที่จะเป็นประโยชน์ต่อท่าน หากท่านปล่อยข้าไปตอนนี้ ข้าจะเติบโตเป็นปลาตัวใหญ่ในอนาคต ท่านจะได้จับข้าอีกครั้ง และตอนนั้นข้าจะมีค่ากับท่านมากกว่านี้!”

ชาวประมงหยุดฟังด้วยความแปลกใจ “เจ้ากำลังบอกให้ข้าปล่อยเจ้าลงน้ำ แล้วหวังว่าเจ้าจะกลับมาในตาข่ายของข้าอีกอย่างนั้นรึ?” เขาถามพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ

ปลาน้อยรีบพูดต่อ “ใช่แล้วท่าน ข้าสัญญา เมื่อข้าโตขึ้น ท่านจะจับข้าได้อีกครั้ง และข้าจะเป็นปลาที่ใหญ่และมีค่ากว่าเดิมมาก”

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องชาวประมงกับปลาตัวเล็ก 2

ชาวประมงได้ยินดังนั้นก็หัวเราะและพูดว่า “เจ้าช่างฉลาดที่จะพยายามหนี แต่ข้าก็ไม่โง่หรอก เจ้าคิดว่าข้าจะยอมปล่อยสิ่งที่ข้ามีอยู่ในมือไป เพียงเพื่อหวังในสิ่งที่ยังไม่แน่นอนหรือ?” เขาหยุดพูดชั่วครู่ มองปลาตัวเล็กในตาข่าย ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง “การยอมสละสิ่งที่ได้รับมาทั้งหมดถือเป็นเรื่องไม่ดี และยิ่งโง่เขลาที่จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้งโดยหวังว่าจะได้กำไรมากขึ้น”

ปลาน้อยยังไม่ยอมแพ้และพยายามอ้อนวอนต่อ “แต่ท่านอาจได้ปลาตัวใหญ่อีกมากในอนาคตหากปล่อยข้าไป ข้าอาจพาเพื่อน ๆ มาให้ท่านจับในครั้งต่อไปก็ได้!”

ชาวประมงส่ายหน้าและพูดด้วยความเด็ดขาด “ข้าไม่สามารถเสี่ยงปล่อยสิ่งที่แน่นอน เพื่อไล่ตามความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ได้ แม้เจ้าจะเล็ก แต่เจ้าก็เป็นอาหารสำหรับวันนี้ของข้า ข้าจะไม่แลกเปลี่ยนสิ่งนี้กับคำสัญญาในอนาคตที่อาจไม่เกิดขึ้นจริง”

เมื่อได้ยินคำพูดนั้น ปลาน้อยจึงหยุดอ้อนวอน เพราะมันรู้ว่าชาวประมงไม่มีทางเปลี่ยนใจ ชาวประมงเก็บปลาลงในตะกร้าด้วยความพอใจ และพูดกับตัวเองเบา ๆ “ในชีวิต บางครั้งเราต้องพอใจกับสิ่งที่มี และไม่ปล่อยสิ่งที่อยู่ในมือ เพียงเพราะหวังในสิ่งที่อาจไม่มีวันมาถึง”

จากนั้นเขาก็เดินกลับบ้าน ปลาตัวเล็กที่พยายามดิ้นรนได้แต่ยอมรับชะตากรรมของมัน บทเรียนในวันนั้นกลายเป็นสิ่งที่ชาวประมงยึดถือเสมอ

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องชาวประมงกับปลาตัวเล็ก 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า จงพอใจกับสิ่งที่เรามีในปัจจุบัน และอย่าเสียสิ่งที่แน่นอนเพื่อไล่ตามสิ่งที่ยังไม่แน่นอนในอนาคต อีกทั้งยังเตือนว่า การละทิ้งสิ่งที่มีค่าในมือด้วยความหวังลม ๆ แล้ง ๆ อาจทำให้เราสูญเสียทุกอย่างโดยไม่ได้อะไรกลับมาเลย

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องชาวประมงกับปลาตัวเล็ก (อังกฤษ: The Fisherman and the Little Fish) เป็นนิทานของอีสปเรื่องหนึ่ง ถูกจัดลำดับอยู่ใน Perry Index ลำดับที่ 18 (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) โดย Babrius บันทึกไว้เป็นภาษากรีก และ Avianus บันทึกไว้เป็นภาษาละติน

นิทานเรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับปลาตัวเล็กที่ถูกชาวประมงหรือคนตกปลาจับได้ มันขอชีวิตมันเพราะว่ามันตัวเล็ก และมันบอกว่าการรอจนกว่ามันจะตัวใหญ่ขึ้นจะทำให้มันอิ่มท้องมากขึ้น ชาวประมงปฏิเสธโดยให้เหตุผลว่าการให้อาหารเพียงเล็กน้อยก็ช่วยได้ และเป็นเรื่องโง่เขลาที่จะยอมสละข้อได้เปรียบในปัจจุบันเพื่อผลประโยชน์ในอนาคตที่ไม่แน่นอน

“อย่าปล่อยโอกาสที่มีอยู่ไปเพียงเพราะหวังผลกำไรที่มากกว่าในอนาคต”

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com