นิทานอีสปเรื่องส่วนแบ่งของสิงโต

ในโลกของธรรมชาติที่เต็มไปด้วยการแข่งขันและการเอาตัวรอด สิงโตผู้เป็นเจ้าป่าอันทรงพลังมักได้รับการยอมรับจากสัตว์ทั้งหลายในฐานะผู้นำที่ไม่มีใครกล้าท้าทาย วันหนึ่งมันร่วมมือกับหมาป่าและสุนัขจิ้งจอกเพื่อออกล่า ความสำเร็จของการล่าในครั้งนั้นนำไปสู่การแบ่งปันที่ไม่ธรรมดา

เรื่องราวของส่วนแบ่งนี้จะเผยให้เห็นถึงบทเรียนอันลึกซึ้งเกี่ยวกับอำนาจ ไหวพริบ และความฉลาดในการอยู่รอด กับนิทานอีสปเรื่องส่วนแบ่งของสิงโต

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องส่วนแบ่งของสิงโต

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องส่วนแบ่งของสิงโต

ในป่าใหญ่ที่เต็มไปด้วยชีวิต สิงโต หมาป่า และสุนัขจิ้งจอกตกลงที่จะล่าสัตว์ร่วมกันเพื่อแบ่งปันอาหาร พวกมันใช้เวลาทั้งวันในการล่าในป่าลึก จนในที่สุดก็จับเหยื่อได้สำเร็จ สุนัขจิ้งจอกจับห่านอ้วน หมาป่าจับแกะตัวใหญ่สมบูรณ์ และสิงโตจับวัวผอมแห้ง เมื่อพระอาทิตย์เริ่มตก พวกมันกลับมารวมตัวกันเพื่อแบ่งเหยื่อ

เมื่อถึงเวลาต้องแบ่งปัน สิงโตในฐานะเจ้าป่าหัวหน้ากลุ่มเอ่ยขึ้นว่า “เอาล่ะ หมาป่า เจ้าเริ่มแบ่งเหยื่อให้พวกเราดูสิ”

หมาป่าเดินเข้ามา มองดูเหยื่อทั้งสามด้วยความมั่นใจ “ข้าคิดว่าเป็นธรรมที่สุดถ้าแต่ละตัวได้รับส่วนของตัวเองที่ล่าได้” มันพูดขึ้น “ดังนั้น สิงโตจะได้วัว ข้าจะเอาแกะ และสุนัขจิ้งจอกก็จะเอาห่าน”

ทันใดนั้น สิงโตคำรามเสียงดังจนพื้นป่าสั่นสะเทือน มันจ้องหมาป่าด้วยสายตาเกรี้ยวกราด “เจ้ากล้าคิดแบบนี้จริงหรือ?” มันคำราม “เจ้ากำลังลืมสถานะของข้า ผู้เป็นเจ้าป่า!”

หมาป่าถอยหลังอย่างหวาดกลัว “แต่ฝ่าบาท ข้าเพียงแต่คิดว่ามันยุติธรรม…” มันยังพูดไม่ทันจบ สิงโตก็กระโจนเข้าใส่ ใช้กรงเล็บกดหมาป่าลงกับพื้น หมาป่าหลบออกไปด้วยความเจ็บปวดและอับอาย ทิ้งความเงียบงันไว้ในอากาศ

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องส่วนแบ่งของสิงโต 2

สิงโตหันไปหาสุนัขจิ้งจอก “ทีนี้เจ้าลองแบ่งให้ดูบ้าง ข้าหวังว่าเจ้าจะฉลาดกว่าเจ้าหมาป่า!”

สุนัขจิ้งจอกก้มตัวต่ำจนเกือบติดพื้นและพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อม “ฝ่าบาท ข้าน้อยเห็นว่าท่านควรจะได้รับส่วนที่ดีที่สุดทั้งหมด ดังนั้น ขอให้ท่านเริ่มจากเนื้อแกะอ้วนที่นุ่มและอร่อยที่สุด ตามด้วยเนื้อห่านที่พอพระทัย ส่วนเนื้อวัว แม้จะเหนียวและไม่อร่อยนัก แต่ก็ยังเหมาะสำหรับข้ากับหมาป่าที่เหลือเพียงเศษเล็ก ๆ”

สิงโตฟังอย่างพึงพอใจ มันยิ้มและถามด้วยน้ำเสียงอ่อนลง “ใครสอนเจ้าแบ่งปันอย่างชาญฉลาดเช่นนี้?”

สุนัขจิ้งจอกตอบทันที “ฝ่าบาท ข้าเรียนรู้จากบทเรียนของหมาป่าที่เพิ่งผ่านมา บทเรียนที่ข้ารู้ว่าการไม่อ่านสถานการณ์ให้ดีนั้นอาจมีผลลัพธ์ที่ไม่พึงปรารถนานัก นั่นเป็นบทเรียนที่ชัดเจนทีเดียว”

สิงโตหัวเราะลั่นด้วยความพึงพอใจ “เจ้าฉลาดนัก ข้าชอบคำตอบของเจ้า!”

จากนั้น สิงโตกินเนื้อแกะและห่านจนพอใจ ทิ้งเศษเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับหมาป่าและสุนัขจิ้งจอกที่ต้องแบ่งปันกันตามสัดส่วน สุนัขจิ้งจอกกินด้วยความพอใจ ส่วนหมาป่ากินด้วยความเงียบงันและรู้สึกเสียใจที่ตัดสินใจผิดพลาดตั้งแต่แรก

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องส่วนแบ่งของสิงโต 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การอ่านสถานการณ์และปรับตัวอย่างชาญฉลาดเป็นสิ่งสำคัญในการเอาตัวรอด การยึดติดกับความยุติธรรมในสถานการณ์ที่ไม่เหมาะสม อาจนำมาซึ่งอันตรายและความเสียหาย และการรู้จักเรียนรู้จากความผิดพลาดของผู้อื่นช่วยให้เราหลีกเลี่ยงผลลัพธ์ที่เลวร้ายได้

นอกจากนี้ นิทานยังสอนถึงคุณค่าของการสังเกตและเรียนรู้จากข้อผิดพลาดของผู้อื่น เมื่อเราเห็นตัวอย่างที่แสดงถึงผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์ เราควรนำมาปรับใช้เพื่อหลีกเลี่ยงการทำผิดซ้ำในแบบเดียวกัน การมีปัญญาไตร่ตรองในทุกการกระทำ ช่วยให้เรารอดพ้นจากปัญหาและได้รับผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในสถานการณ์ที่อาจดูเสียเปรียบ

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องส่วนแบ่งของสิงโต (อังกฤษ: The lion’s share) เป็นสำนวนที่หมายถึง “ส่วนที่มากที่สุดหรือเกือบทั้งหมด” ของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง สำนวนนี้มีที่มาจากพล็อตเรื่องในนิทานอีสปหลายเรื่อง และใช้เป็นชื่อรวมสำหรับนิทานเหล่านั้น มีรูปแบบหลักของเรื่องอยู่สองแบบ ซึ่งมีหลายเวอร์ชันในนิทาน นอกจากนี้ ยังมีนิทานในตะวันออกที่เกี่ยวกับการแบ่งเหยื่อในลักษณะที่ผู้แบ่งได้รับส่วนแบ่งที่มากที่สุด หรือแม้กระทั่งทั้งหมด

ในภาษาอังกฤษ สำนวนนี้เริ่มใช้ในความหมาย “ส่วนที่มากที่สุดหรือเกือบทั้งหมด” ช่วงปลายศตวรรษที่ 18 ส่วนในภาษาฝรั่งเศสคำว่า “le partage du lion” ถูกบันทึกไว้ตั้งแต่ต้นศตวรรษเดียวกัน โดยได้รับอิทธิพลจากเวอร์ชันของ ฌอง เดอ ลา ฟงแตน (Jean de La Fontaine) ในนิทานของเขา

ในเวอร์ชันภาษากรีกที่ขยายความโดย บาบริอุส (Babrius) นิทานเล่าเกี่ยวกับสิงโตและลาป่าที่ไปล่าเหยื่อด้วยกัน สิงโตโดดเด่นในเรื่องพละกำลัง ส่วนลาป่าเป็นเลิศในความรวดเร็ว เมื่อถึงเวลาแบ่งเหยื่อ สิงโตแบ่งออกเป็นสามส่วน โดยอ้างสิทธิ์ในส่วนแรกเพราะมันเป็นราชาแห่งสัตว์ป่า ส่วนที่สองเพราะพวกมันเป็น “หุ้นส่วนที่เท่าเทียมกัน” และในส่วนที่สาม สิงโตแนะนำให้ลาป่าวิ่งหนีอย่างรวดเร็วแทนที่จะกล้าหยิบส่วนนี้ เวอร์ชั่นนี้ถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 149 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ)

จงรู้จักตัวเอง! อย่าทำธุรกิจหรือเป็นหุ้นส่วนกับผู้ที่มีอำนาจมากกว่า! การเป็นหุ้นส่วนกับผู้ยิ่งใหญ่ไม่เคยไว้ใจได้

ในเวอร์ชันของ รูมี (Rumi) สิงโตมีหมาป่าและสุนัขจิ้งจอกเป็นเพื่อนร่วมล่า เมื่อถึงเวลาแบ่งเหยื่อ สิงโตสั่งให้หมาป่าแบ่ง และเมื่อหมาป่าแบ่งเป็นสามส่วน สิงโตก็ฉีกหัวของหมาป่าออก เช่นเดียวกับที่สิงโตในนิทานของอีสปฆ่าลา

ความพิเศษของเวอร์ชันรูมีคือการให้คำอธิบายถึงแรงจูงใจของตัวละคร ในกรณีนี้ สิงโตอธิบายว่าการลงโทษหมาป่าเป็นการกระทำด้วยความกรุณา เพราะหมาป่าไม่สามารถมองเห็นหรือยอมรับความเหนือกว่าของสิงโตได้

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องสิงโตมีความรัก

ในโลกที่เต็มไปด้วยอำนาจและความปรารถนา สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เรามีอาจไม่ได้มาจากพละกำลังหรือความยิ่งใหญ่ แต่คือการรักษาคุณค่าของตัวเอง สิงโตผู้ทรงพลังที่เคยเป็นเจ้าป่า ต้องเผชิญกับความท้าทายที่ไม่เคยคาดคิด

เมื่อความรักและความปรารถนาทำให้มันยอมละทิ้งสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต เรื่องราวนี้จะพาเราไปสำรวจบทเรียนเกี่ยวกับศักดิ์ศรี ความหลงใหล และการตัดสินใจที่อาจเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง กับนิทานอีสปเรื่องสิงโตมีความรัก

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องสิงโตมีความรัก

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องสิงโตมีความรัก

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว สิงโตผู้ยิ่งใหญ่และทรงพลังเป็นที่เกรงกลัวของสัตว์ทุกตัวในป่า ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้หรือท้าทายอำนาจของมัน แต่นอกเหนือจากความยิ่งใหญ่ สิงโตตัวนี้กลับมีหัวใจที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน และวันหนึ่ง มันตกหลุมรักลูกสาวของชาวไร่ผู้เลอโฉม

หญิงสาวผู้นี้เป็นที่กล่าวขานถึงความงดงามและจิตใจที่อ่อนโยนของเธอ สิงโตมองเธอจากระยะไกลในขณะที่เธอทำงานในทุ่งนา และความรู้สึกหลงใหลก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนมันตัดสินใจที่จะขอเธอแต่งงาน

วันหนึ่ง สิงโตเดินทางจากป่ามายังหมู่บ้าน มันมุ่งตรงไปหาชาวไร่ผู้เป็นบิดาของหญิงสาว เมื่อชาวไร่เห็นสิงโตปรากฏตัวตรงหน้า เขาตกใจจนแทบล้มลงด้วยความกลัว “อย่าทำร้ายข้าเลย เจ้าแห่งป่า!” ชาวไร่ร้องออกมา

สิงโตพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อย่ากลัวข้าเลย ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อทำร้ายใคร ข้ามาที่นี่เพื่อขออนุญาตแต่งงานกับลูกสาวของเจ้า ข้าหลงรักเธอ และข้าอยากครองชีวิตร่วมกับเธอ”

ชาวไร่พยายามเก็บความตกใจและหวาดกลัวไว้ “ข้าไม่รู้ว่าจะตอบเจ้าอย่างไร เจ้าผู้ยิ่งใหญ่ การแต่งงานระหว่างเจ้าและลูกสาวข้าเป็นสิ่งที่ข้าไม่เคยคาดคิดมาก่อน”

“โปรดเถิด ข้ารักเธอด้วยหัวใจของข้า และข้ายินดีทำทุกอย่างเพื่อให้เธอยอมรับข้า” สิงโตพูดด้วยน้ำเสียงจริงใจ

ชาวไร่เริ่มคิดแผนการบางอย่างในใจ เพราะเขาไม่ต้องการให้ลูกสาวแต่งงานกับสัตว์ร้าย แต่ก็ไม่กล้าปฏิเสธตรง ๆ เนื่องจากกลัวความโกรธของสิงโต

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องสิงโตมีความรัก 2

“ถ้าเจ้ายืนยันที่จะพิสูจน์ความรัก ข้ามีคำขอเล็ก ๆ” ชาวไร่ตอบ “ลูกสาวของข้ากลัวเขี้ยวและกรงเล็บของเจ้า หากเจ้าถอนเขี้ยวและกรงเล็บออกเสีย มันจะทำให้เธอรู้สึกปลอดภัย และข้าจะยอมให้เจ้าแต่งงานกับเธอ”

สิงโตแม้จะลังเล แต่ด้วยความรักที่มีต่อหญิงสาว มันยอมตกลง “ข้าจะทำตามที่เจ้าขอ เพียงเพื่อแสดงให้เห็นว่าความรักของข้าจริงใจเพียงใด”

วันรุ่งขึ้น สิงโตไปให้ช่างในหมู่บ้านช่วยถอนเขี้ยวและกรงเล็บของมันออก กระบวนการนั้นเจ็บปวด แต่มันยอมทน เพราะเชื่อว่าสิ่งนี้จะทำให้มันได้ครองรักกับหญิงสาวที่มันหลงใหล

เมื่อมันกลับมาหาชาวไร่อีกครั้ง สิงโตพูดด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยความหวัง “ตอนนี้ข้าทำตามคำขอของเจ้าแล้ว ข้าถอนเขี้ยวและกรงเล็บทั้งหมดออก เจ้ายอมให้ข้าแต่งงานกับลูกสาวของเจ้าได้หรือไม่?”

ชาวไร่เมื่อเห็นสิงโตในสภาพที่ไร้เขี้ยวเล็บ ก็เปลี่ยนท่าทีเป็นเยาะเย้ย “เจ้าโง่เขลา! เจ้าเคยเป็นสัตว์ที่ข้ากลัวที่สุด แต่ตอนนี้เจ้าก็เหมือนสัตว์ไร้พลังตัวหนึ่ง ข้าไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวเจ้าอีกต่อไป และข้าจะไม่มีวันให้ลูกสาวของข้าแต่งงานกับเจ้าหรอก!”

ชาวไร่หยิบไม้ขึ้นมาและเริ่มตีสิงโตที่ไร้ทางสู้ สิงโตต้องวิ่งหนีกลับป่าด้วยความอับอายและเสียใจอย่างลึกซึ้ง เมื่อมันกลับมาถึงถ้ำ มันนอนลงอย่างหมดแรง ทั้งจากความเจ็บปวดทางร่างกายและจิตใจ

“ข้าทำอะไรลงไป?” สิงโตพูดกับตัวเอง “ข้ายอมสูญเสียสิ่งที่ทำให้ข้าเป็นข้าเพื่อความรัก แต่สิ่งนั้นกลับทำให้ข้าสูญเสียทุกอย่าง ทั้งพลัง ศักดิ์ศรี และหัวใจของข้าเอง”

สิงโตใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างเงียบเหงาในป่า มันได้เรียนรู้ว่าการยอมลดคุณค่าของตัวเองเพื่อเอาใจผู้อื่น อาจนำมาซึ่งความสูญเสียที่ไม่มีวันหวนกลับคืน

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องสิงโตมีความรัก 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การลดทอนคุณค่าและศักดิ์ศรีของตัวเองเพื่อเอาใจผู้อื่น อาจนำมาซึ่งความสูญเสียครั้งใหญ่ การละทิ้งสิ่งที่ทำให้เราเป็นตัวของเราเองเพื่อให้ได้สิ่งที่ปรารถนา อาจทำให้เราสูญเสียทั้งสิ่งที่ต้องการและตัวตนของเราไปพร้อมกัน นอกจากนี้ยังสอนว่า อย่าปล่อยให้ความปรารถนาอันแรงกล้าครอบงำจิตใจจนมองไม่เห็นความจริง เพราะหากทำตามคำแนะนำของศัตรูหรือผู้ไม่หวังดี คุณอาจตกอยู่ในอันตรายและสูญเสียสิ่งสำคัญในชีวิต

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องสิงโตมีความรัก (อังกฤษ: The Lion in Love) เป็นนิทานสอนใจที่มีต้นกำเนิดจากกรีก ถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 140 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) นิทานเรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งของนิทานอีสป โดยชื่อนี้เป็นการแปลจากชื่อเรื่องที่ ฌอง เดอ ลา ฟงแตน (Jean de la Fontaine) ตั้งไว้หลังจากเขานำเรื่องนี้มาเล่าใหม่ในนิทานของเขา

ตั้งแต่นั้นมา นิทานเรื่องนี้ได้รับความสนใจจากศิลปินและถูกนำเสนอในผลงานศิลปะบ่อยครั้ง นอกจากนี้ นิทานยังกลายเป็นสำนวนที่แฝงนัยสำคัญ และถูกนำไปใช้เป็นชื่อของวรรณกรรมหลายเรื่องในภายหลัง

เราว่าไม่ควรปล่อยให้ความปรารถนาครอบงำจิตใจ และหากคุณทำตามคำแนะนำของศัตรู คุณจะตกอยู่ในอันตราย

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องสิงโตเฒ่า

เมื่อครั้งหนึ่ง สิงโตผู้ทรงพลังเป็นที่เกรงกลัวในหมู่สัตว์ ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้หรือท้าทายอำนาจของมัน มันเคยเป็นเจ้าป่าที่ไม่มีใครล้มได้ แต่เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไป ความยิ่งใหญ่ของมันก็เริ่มเลือนหาย พละกำลังที่เคยมีลดน้อยลง สัตว์ที่เคยหลบหนีและหวาดกลัวมันเริ่มกลับมาด้วยความตั้งใจที่แตกต่างจากอดีต

เรื่องราวนี้จะพาเราไปพบกับบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับอำนาจ ความอ่อนแอ และศักดิ์ศรี กับนิทานอีสปเรื่องสิงโตเฒ่า

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องสิงโตเฒ่า

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องสิงโตเฒ่า

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว สิงโตผู้เคยเป็นเจ้าป่า ครองความยิ่งใหญ่และน่าเกรงขามในหมู่สัตว์ทั้งป่า ทุกเสียงคำรามของมันทำให้สัตว์ต่างหวาดกลัว มันเคยล่าสัตว์นานาชนิด ทั้งหมูป่า วัวกระทิง และแม้แต่นกเล็ก ๆ สัตว์ทุกตัวต่างหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับมัน แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป สิงโตเริ่มชราภาพ พละกำลังที่เคยมีลดน้อยลง มันกลายเป็นเพียงเงาของความยิ่งใหญ่ในอดีต

สิงโตเฒ่าต้องอยู่อย่างลำบากในถ้ำของมัน มันไม่สามารถล่าสัตว์ได้อีกต่อไป และต้องพึ่งพาเศษอาหารที่เหลือจากสัตว์อื่น ความอ่อนแอของมันไม่ได้เป็นความลับอีกต่อไป ข่าวแพร่สะพัดไปทั่วป่า สัตว์ที่เคยหวาดกลัวสิงโตเริ่มคิดถึงโอกาสที่จะแก้แค้น

วันหนึ่ง หมูป่าปรากฏตัวที่ปากถ้ำ มันเดินเข้ามาด้วยท่าทีมั่นใจ “เจ้าจำข้าได้ไหม?” หมูป่าพูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย “เจ้าคือผู้ที่เคยขับไล่ข้าจนแทบไม่มีที่ยืนในป่า! ตอนนี้ดูสิ เจ้ากลายเป็นอะไรไปแล้ว?”

สิงโตมองหมูป่าด้วยแววตาเหนื่อยล้าแต่ไม่ได้พูดอะไร หมูป่าหัวเราะเสียงดัง “วันนี้ข้าจะตอบแทนเจ้าบ้าง” มันใช้เขากระทุ้งเข้าที่สีข้างของสิงโต ก่อนจะพูดด้วยความสะใจ “นี่สำหรับทุกครั้งที่เจ้าทำให้ข้าต้องหลบหนี!” แล้วหมูป่าก็เดินจากไป

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องสิงโตเฒ่า 2

ไม่นานหลังจากนั้น วัวกระทิงก็เดินเข้ามา มันยืนจ้องมองสิงโตเฒ่าที่เคยเป็นผู้ล่าอันน่าเกรงขาม “ข้าจำได้ดี ครั้งหนึ่งเจ้าล่าข้าจนแทบเอาชีวิตไม่รอด” วัวกระทิงพูดพร้อมเสียงถอนหายใจเยาะเย้ย “แต่ดูตอนนี้สิ เจ้าคือสิงโตที่ทำอะไรข้าไม่ได้อีกแล้ว”

“เจ้าต้องการอะไร?” สิงโตถามด้วยเสียงอ่อนแรง

“ข้าไม่ได้ต้องการอะไรมาก” วัวกระทิงตอบ “เพียงแค่ข้าต้องการให้เจ้ารู้ว่าข้าไม่ได้กลัวเจ้าอีกต่อไป” จากนั้นมันใช้เขาขวิดเข้าที่สีข้างของสิงโตอย่างเบา ๆ ก่อนจะเดินจากไป

เมื่อข่าวการกลั่นแกล้งสิงโตแพร่สะพัด ลาตัวหนึ่งได้ยินเรื่องนี้ มันตัดสินใจไปเยี่ยมถ้ำของสิงโต ลาเดินเข้ามาใกล้พร้อมหัวเราะเยาะ “เจ้าคือเจ้าป่าผู้ยิ่งใหญ่ในอดีตใช่ไหม? ข้าคิดว่าเจ้าคงไม่ต่างจากสัตว์ธรรมดาในตอนนี้!”

“เจ้าเข้ามาที่นี่ทำไม?” สิงโตถามอย่างอ่อนล้า

ลาแสยะยิ้ม “ข้าแค่อยากลองทำในสิ่งที่ข้าไม่เคยกล้าทำมาก่อน” พูดจบ ลาก็ใช้ขาหลังเตะสิงโตอย่างแรง พร้อมหัวเราะเสียงดัง “เจ้าดูสิ ข้าก็สามารถทำให้เจ้าดูอับอายได้เหมือนกัน!”

สิงโตถอนหายใจลึก มันพูดด้วยเสียงที่แผ่วเบาและเต็มไปด้วยความเจ็บปวด “ข้าเคยรับมือกับผู้ล่าที่แข็งแกร่งกว่า และข้ายอมรับสิ่งที่พวกเขาทำเพื่อระบายความแค้น แต่การที่ข้าถูกสัตว์ต่ำช้าเช่นเจ้าดูหมิ่น นี่มันไม่ต่างจากการตายถึงสองครั้ง”

หลังจากนั้น สิงโตเฒ่าก็อยู่อย่างโดดเดี่ยวในถ้ำ ท่ามกลางเสียงหัวเราะเยาะของสัตว์ในป่า จนในที่สุด มันก็สิ้นลมหายใจอย่างเงียบงัน โดยไม่มีเกียรติหรือความยิ่งใหญ่ที่เคยมีหลงเหลืออยู่เลย

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องสิงโตเฒ่า 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อำนาจและความยิ่งใหญ่ในอดีตเป็นสิ่งไม่จีรัง เมื่อถึงวันที่เราสูญเสียพละกำลังหรืออำนาจ การกระทำในอดีตอาจย้อนกลับมาสร้างความทุกข์ให้กับเรา การปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความยุติธรรมและเมตตาในช่วงเวลาที่เรายังมีอำนาจ อาจช่วยป้องกันไม่ให้เราต้องเผชิญกับความอับอายในยามที่เราอ่อนแอ

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องสิงโตเฒ่า (อังกฤษ: The Lion Grown Old) เป็นหนึ่งในนิทานอีสป ถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 481 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) นิทานนี้ถูกนำมาใช้เป็นตัวอย่างของการถูกดูหมิ่นหรือเหยียดหยามจากผู้อื่นเมื่อสูญเสียอำนาจ นิทานเรื่องนี้มีข้อคิดคล้ายคลึงกับ “สุนัขกับหนังสิงโต” ซึ่งแสดงถึงการเย้ยหยันผู้ที่เคยยิ่งใหญ่แต่ต้องเผชิญความตกต่ำ ต่อมามีการเชื่อมโยงสุภาษิตที่มีความหมายคล้ายกันกับนิทานนี้ในภายหลัง

ในนิทานฉบับที่ ฟีดรัส (Phaedrus) เล่าไว้ เมื่อสิงโตแก่ชราและอ่อนแอลง หมูป่าและวัวกระทิงได้ล้างแค้นให้กับการโจมตีในอดีตโดยทำร้ายสิงโต แต่เมื่อมีลาเข้ามาร่วมด้วยและเตะสิงโต สิงโตจึงคร่ำครวญว่า การต้องทนรับการดูหมิ่นจากสิ่งมีชีวิตต่ำต้อยเช่นนั้น เปรียบเสมือนความตายครั้งที่สองของมัน

เมื่อผู้ใดสูญเสียความเคารพนับถือที่เคยมี สภาพอันน่าสังเวชของเขาจะกลายเป็นเป้าหมายแห่งการเย้ยหยัน แม้แต่จากผู้ที่ต่ำต้อยที่สุด

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องสิงโตกับหนู

ในป่าที่กว้างใหญ่และเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิต สิงโตผู้เป็นเจ้าป่าผู้ยิ่งใหญ่คือสัตว์ที่ทุกตัวต่างเกรงกลัว ด้วยพลังและความสง่างามของมัน ไม่มีสัตว์ใดกล้าท้าทาย แต่บางครั้ง แม้แต่ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดก็ยังต้องการความช่วยเหลือจากสิ่งที่ดูเหมือนไม่สำคัญ

เรื่องราวระหว่างสิงโตผู้ทรงพลังและหนูตัวเล็กผู้กล้าหาญนี้ จะนำเราสู่บทเรียนอันลึกซึ้งที่ซ่อนอยู่ในความเมตตาและความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน กับนิทานอีสปเรื่องสิงโตกับหนู

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องสิงโตกับหนู

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องสิงโตกับหนู

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในป่ากว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยชีวิต สิงโตเจ้าป่าเดินตรวจอาณาเขตอย่างสง่างาม มันเป็นสัตว์ที่ทรงพลังที่สุดในป่า ไม่มีใครกล้าท้าทายอำนาจของมัน เมื่อเดินจนเหนื่อย สิงโตตัดสินใจพักใต้ต้นไม้ใหญ่ในบ่ายวันหนึ่ง มันนอนเอนกาย ปิดตา และเริ่มหลับลึก ท่ามกลางเสียงลมพัดใบไม้และเสียงนกในป่า

ไม่นานนัก หนูตัวเล็กที่กำลังวิ่งเล่นอยู่แถวนั้น บังเอิญวิ่งขึ้นไปบนตัวของสิงโตโดยไม่ทันระวัง น้ำหนักที่เบาของมันอาจไม่สะเทือนสิงโต แต่ความรู้สึกนั้นทำให้เจ้าป่าตื่นขึ้น สิงโตคำรามเสียงดังด้วยความโกรธ “ใครกล้ารบกวนการพักผ่อนของข้า!”

หนูตกใจจนตัวสั่น มันรีบพูดด้วยเสียงอ่อนน้อม “ขออภัยเถิดเจ้าแห่งป่า ข้าไม่ได้ตั้งใจจะรบกวนท่านเลย ข้าแค่เผลอวิ่งมาที่นี่โดยไม่ทันมอง”

สิงโตตวัดกรงเล็บจับหนูไว้แน่น “เจ้าเป็นเพียงหนูตัวเล็กที่กล้ามารบกวนข้า ข้าควรจะกินเจ้าให้หายหงุดหงิดดีไหม?”

หนูพยายามพูดด้วยเสียงที่มั่นคง แม้จะกลัวจนตัวสั่น “ข้าไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ ได้โปรดไว้ชีวิตข้าเถอะ หากท่านยอมปล่อยข้าไป ข้าสัญญาว่าสักวันหนึ่งข้าจะตอบแทนบุญคุณท่านแน่นอน!”

สิงโตหัวเราะเสียงดัง “เจ้าตัวเล็กแค่นี้ คิดจะช่วยอะไรข้าได้? เจ้าพูดอะไรน่าขันจริง ๆ” แต่ด้วยความเอ็นดูในความกล้าของหนู สิงโตจึงปล่อยมันไป “ไปซะ! และอย่ามารบกวนข้าอีก”

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องสิงโตกับหนู 2

หนูยกมือไหว้พร้อมพูดด้วยความซาบซึ้ง “ขอบคุณท่าน ข้าจะไม่มีวันลืมความเมตตานี้” แล้วมันก็รีบวิ่งหนีไป

หลายวันผ่านไป สิงโตผู้ยิ่งใหญ่กำลังเดินตรวจอาณาเขตเช่นเคย แต่มันกลับติดอยู่ในตาข่ายที่นายพรานวางไว้ มันดิ้นรนอย่างสุดกำลัง แต่ยิ่งดิ้น ตาข่ายก็ยิ่งรัดแน่นขึ้น สิงโตคำรามเสียงดังหวังให้ใครสักคนได้ยิน แต่ไม่มีใครกล้าเข้ามาใกล้

เสียงคำรามของสิงโตดังไปไกล หนูตัวเล็กที่อยู่ไม่ไกลนักได้ยินเสียงจึงรีบมาดู เมื่อเห็นสิงโตติดอยู่ในตาข่าย หนูรู้ทันทีว่ามันต้องตอบแทนบุญคุณ

“เจ้าแห่งป่า! ข้าจะช่วยท่านเอง!” หนูพูดพร้อมวิ่งเข้าไปใกล้

“เจ้า?” สิงโตพูดด้วยเสียงอ่อนล้า “เจ้าจะช่วยข้าได้อย่างไร?”

หนูตอบด้วยความมั่นใจ “โปรดอย่าดูถูกข้า ท่านเมตตาข้าในวันนั้น วันนี้ข้าจะตอบแทนท่านเอง”

หนูเริ่มกัดเชือกของตาข่ายด้วยฟันเล็ก ๆ ที่แหลมคม มันกัดทีละเส้น ๆ โดยไม่หยุดพัก “อดทนอีกนิดนะท่าน ข้าใกล้จะทำสำเร็จแล้ว!”

ในที่สุด เชือกเส้นสุดท้ายก็ขาด สิงโตหลุดจากตาข่ายและกลับมายืนสง่างามอีกครั้ง มันมองหนูด้วยความซาบซึ้ง “ข้าคิดผิดมาตลอด ขอบคุณเจ้ามาก เจ้าแม้ตัวเล็ก แต่กลับช่วยข้าจากความตายได้”

หนูยิ้มและพูดอย่างภูมิใจ “ข้าก็แค่ทำในสิ่งที่ควรทำ ความเมตตาของท่านในวันนั้น ทำให้ข้ามีโอกาสตอบแทนในวันนี้ ไม่มีใครเล็กเกินไปที่จะช่วยเหลือผู้อื่น ขอเพียงแต่เราทำด้วยความตั้งใจ”

สิงโตพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “จากนี้ไป ข้าจะไม่ดูถูกใครเพียงเพราะขนาดหรือรูปร่างของพวกเขาอีกแล้ว ทุกคนล้วนมีคุณค่าในแบบของตัวเอง”

ทั้งสองแยกทางกัน สิงโตกลับคืนสู่อิสรภาพด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยบทเรียนสำคัญ ส่วนหนูกลับไปโพรงของมันด้วยความภาคภูมิใจที่ได้ช่วยเหลือสัตว์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในป่า

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องสิงโตกับหนู 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความเมตตาที่เรามอบให้แก่ผู้อื่น แม้ในยามที่พวกเขาดูเหมือนไร้พลังหรือเล็กน้อยเพียงใด อาจกลายเป็นความช่วยเหลือที่ยิ่งใหญ่เมื่อเราต้องการ และไม่มีใครเล็กเกินกว่าจะทำความดี ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่ขนาดหรือรูปลักษณ์ แต่อยู่ที่จิตใจและความตั้งใจในการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องสิงโตกับหนู (อังกฤษ: The Lion and the Mouse) เป็นหนึ่งในนิทานอีสป ถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 150 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) นิทานนี้ยังมีเวอร์ชันจากตะวันออกซึ่งล้วนแสดงให้เห็นถึงความพึ่งพาอาศัยกันโดยไม่คำนึงถึงขนาดหรือสถานะ คติสอนใจของนิทานเรื่องนี้คือ ความเมตตาจะนำมาซึ่งผลตอบแทน และไม่มีสิ่งมีชีวิตใดที่เล็กเกินไปที่จะช่วยเหลือสิ่งมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่กว่าได้

อย่าให้ใครกล้าทำร้ายพวกเราแม้แต่ผู้ที่เล็กที่สุดในหมู่พวกเรา

ในยุคเรเนซองส์ (ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา) นิทานเรื่องนี้ได้รับการเสริมเนื้อเรื่องต่อท้ายที่สอดแทรกข้อคิดเกี่ยวกับการตำหนิความทะเยอทะยานในสังคม

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องเหยี่ยวกับนกพิราบ

ในป่ากว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา ฝูงนกพิราบอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข พวกมันบินหาอาหารในทุ่งกว้างและพักพิงบนต้นไม้ใหญ่ แต่แล้วความสงบสุขนั้นก็ถูกทำลายลง เมื่อผู้ล่าผู้ดุร้ายอย่างเหยี่ยวปรากฏตัว พิราบต้องเผชิญกับความหวาดกลัวและการสูญเสียในทุกวัน

ท่ามกลางความสิ้นหวัง พวกมันเลือกที่จะหาวิธีหลีกเลี่ยงอันตราย แต่การตัดสินใจครั้งนี้กลับนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่พวกมันไม่คาดคิด กับนิทานอีสปเรื่องเหยี่ยวกับนกพิราบ

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องเหยี่ยวกับนกพิราบ

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องเหยี่ยวกับนกพิราบ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในป่ากว้างใหญ่ ฝูงนกพิราบอาศัยอยู่ร่วมกันบนต้นไม้สูงในลานกว้าง ชีวิตของพวกมันสงบสุข จนกระทั่งเหยี่ยวตัวหนึ่งปรากฏขึ้น มันบินมาล่านกพิราบอย่างรวดเร็วและดุร้าย ทำให้ฝูงพิราบหวาดกลัว ทุกครั้งที่เหยี่ยวปรากฏตัว ฝูงพิราบต้องกระพือปีกหนีด้วยความตื่นตระหนก หลายครั้งพวกมันเสียสมาชิกไปทีละตัว

ในวันที่ฝูงนกพิราบรวมตัวกัน นกพิราบตัวหนึ่งกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “พวกเราจะทำอย่างไรดี? หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ พวกเราจะไม่มีใครรอด”

“ใช่!” อีกตัวพูดเสริม “เราต้องหาวิธีป้องกันตัวเองจากเหยี่ยว หากปล่อยให้มันล่าเช่นนี้ต่อไป พวกเราจะหมดฝูง!”

หลังจากการถกเถียง ฝูงพิราบตัดสินใจไปขอคำปรึกษาจากนกเค้าแมวผู้ฉลาดที่สุดในป่า เมื่อได้ยินเรื่องราวทั้งหมด นกเค้าแมวกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สุขุม “เจ้าควรระมัดระวังในการเลือกผู้ที่จะช่วยเหลือเจ้า อย่าได้ไว้ใจผู้ที่เคยทำร้ายเจ้า เพราะผลลัพธ์อาจเลวร้ายยิ่งกว่าที่เจ้าเผชิญอยู่ในตอนนี้”

“แต่เราไม่มีทางเลือก” นกพิราบอีกตัวพูดแย้ง “ถ้าเราไม่ทำอะไรเลย เราก็จะถูกล่าจนหมดอยู่ดี”

“การทำข้อตกลงกับผู้ล่าก็เหมือนเชิญอันตรายเข้ามาใกล้ตัวเอง” นกเค้าแมวเตือนด้วยน้ำเสียงจริงจัง

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องเหยี่ยวกับนกพิราบ 2

แต่นกพิราบส่วนใหญ่ไม่ฟังคำเตือนนั้น พวกมันกลับคิดแผนที่จะเจรจากับเหยี่ยวโดยตรง วันรุ่งขึ้น ฝูงนกพิราบจึงบินไปหาเหยี่ยวที่เกาะอยู่บนกิ่งไม้

“เจ้าผู้ยิ่งใหญ่” นกพิราบตัวหนึ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อม “เราขอร้องให้เจ้ามาเป็นผู้นำของเรา เราพร้อมจะติดตามเจ้า หากเจ้ายอมเป็นผู้นำของเรา เราขอเพียงอย่างเดียว อย่าล่าเราอีก”

เหยี่ยวมองฝูงนกพิราบด้วยแววตาวาวโรจน์ มันหัวเราะในใจแต่เก็บอาการไว้ “ข้ายินดีรับข้อเสนอของเจ้า จากนี้ไป ข้าจะปกป้องพวกเจ้า และไม่มีเหยี่ยวตัวใดกล้าล่าเจ้าตราบใดที่ข้ายังเป็นผู้นำของเจ้า”

ฝูงนกพิราบถอนหายใจด้วยความโล่งอก พวกมันคิดว่าในที่สุดความสงบสุขก็กลับมาอีกครั้ง แต่พวกมันไม่รู้เลยว่าเหยี่ยววางแผนบางอย่างไว้แล้ว

ในช่วงแรก ฝูงนกพิราบรู้สึกปลอดภัยจากการโจมตี ไม่มีเหยี่ยวตัวใดกล้าเข้ามาใกล้ แต่ไม่นาน เหยี่ยวที่เป็นผู้นำเริ่มล่านกพิราบในฝูงของมันเอง มันใช้ความไว้ใจและตำแหน่งผู้นำในการเข้าถึงพวกนกพิราบได้ง่ายขึ้น มันล่านกพิราบทีละตัว โดยไม่ให้ฝูงนกพิราบรู้ตัว

เมื่อเวลาผ่านไป ฝูงนกพิราบเริ่มสังเกตว่าจำนวนพวกมันลดลง “นี่มันไม่ถูกต้อง” นกพิราบตัวหนึ่งกล่าว “เราทำตามทุกอย่างที่เหยี่ยวขอ แต่พวกเรากลับสูญเสียสมาชิกในฝูงไปเรื่อย ๆ”

“เราไว้ใจผิดคน” นกพิราบอีกตัวพูดด้วยน้ำเสียงสลด “นกเค้าแมวเตือนเราแล้ว แต่เราไม่ฟัง”

ในที่สุด ฝูงนกพิราบต้องเผชิญความจริงอันโหดร้าย พวกมันสูญเสียทั้งความสงบสุขและชีวิตของพวกมันเอง เพราะการพึ่งพาผู้ล่าที่ไม่มีวันปรานีพวกมัน

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องเหยี่ยวกับนกพิราบ 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การพึ่งพาศัตรูหรือผู้ที่เคยทำร้ายเรา อาจนำมาซึ่งอันตรายและผลลัพธ์ที่เลวร้ายยิ่งกว่าเดิม ความไว้วางใจที่ไม่ถูกที่ และการตัดสินใจที่ขาดปัญญาเพราะความหวาดกลัว อาจทำให้เราต้องเผชิญกับหายนะที่ไม่อาจแก้ไขได้ เราจึงต้องระวังในการเลือกพึ่งพาผู้อื่น และไม่ให้ความกลัวบดบังการใช้เหตุผล

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องเหยี่ยวกับนกพิราบ (อังกฤษ: The Kite and the Doves) เป็นนิทานอุปลักษณ์เชิงการเมืองที่เชื่อว่าแต่งโดยอีสป ถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 486 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) ในยุคกลาง โดยมีเนื้อเรื่องคือ

ฝูงนกพิราบต้องคอยหลบหนีเหยี่ยวอยู่เสมอ โดยพึ่งพาความว่องไวของปีกเพื่อเอาชีวิตรอด เหยี่ยวผู้หิวโหยจึงคิดใช้เล่ห์กลหลอกฝูงนกพิราบที่ไร้ทางสู้ “ทำไมพวกเจ้าถึงเลือกใช้ชีวิตอย่างหวาดกลัวเช่นนี้” เหยี่ยวถาม “ในเมื่อพวกเจ้าเพียงแค่ตกลงตั้งข้าเป็นกษัตริย์ ข้าก็จะปกป้องพวกเจ้าจากอันตรายทั้งปวงได้”

ฝูงนกพิราบหลงเชื่อคำแนะนำของเหยี่ยว และมอบตัวเองให้อยู่ในความดูแลของมัน แต่ทันทีที่เหยี่ยวกลายเป็นกษัตริย์ มันก็เริ่มล่ากินประชากรของตนทีละตัว ใช้อำนาจเบ็ดเสร็จพร้อมความดุร้ายของกรงเล็บ

หนึ่งในนกพิราบที่รอดชีวิตกล่าวขึ้นว่า “นี่คือโทษทัณฑ์ที่พวกเราสมควรได้รับ เพราะเราได้มอบชีวิตของเราไว้ในมือของศัตรูตัวฉกาจนี้!”

ผู้ที่หันไปพึ่งพาคนไม่ซื่อสัตย์ในยามลำบาก จะพบกับความพินาศแทนที่จะได้รับการช่วยเหลือ

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องโถแห่งพร

ในยุคสมัยที่โลกยังเต็มไปด้วยความสงบสุข พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะมอบพรอันล้ำค่าให้แก่มนุษย์ เพื่อให้พวกเขามีชีวิตที่สมบูรณ์และเปี่ยมด้วยความสุข แต่ของขวัญล้ำค่านี้กลับมาพร้อมกับคำเตือนสำคัญ และหน้าที่ที่จะต้องรักษาไว้ด้วยความระมัดระวัง

เรื่องราวของมนุษย์ผู้ได้รับโถแห่งพร แต่กลับถูกทดสอบด้วยความอยากรู้อยากเห็น จะนำเราไปพบกับบทเรียนที่ลึกซึ้งและเปี่ยมความหมาย กับนิทานอีสปเรื่องโถแห่งพร

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องโถแห่งพร

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องโถแห่งพร

ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว โลกยังเต็มไปด้วยความสมบูรณ์พูนสุข ธรรมชาติงดงาม และชีวิตของมนุษย์ดำเนินไปอย่างเรียบง่ายและสงบ พระเจ้าเฝ้ามองโลกอย่างพึงพอใจ และตัดสินใจที่จะมอบของขวัญล้ำค่าให้กับมนุษย์ เพื่อให้พวกเขามีชีวิตที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

พระเจ้าจึงรวบรวมพรและสิ่งดีงามทั้งหลายไว้ในโถศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นความสุข ความรัก ความมั่งคั่ง ความแข็งแรง และปัญญา ฯลฯ พระเจ้าปิดฝาโถอย่างแน่นหนา และเลือกมนุษย์ผู้หนึ่งที่ดูเหมาะสมที่สุดในการเก็บรักษา “จงเก็บโถนี้ไว้ให้ดี และอย่าเปิดมันเป็นอันขาด” พระเจ้าตรัสเตือนด้วยน้ำเสียงจริงจัง “หากเจ้าทำ พรทั้งหมดจะหลุดลอยไป และไม่มีทางได้มันกลับคืนมา”

มนุษย์ผู้ถูกเลือกน้อมรับโถด้วยความเคารพ “ข้าสาบานว่าจะปกป้องโถนี้ไว้ด้วยชีวิต ข้าจะไม่เปิดมัน” เขากล่าวด้วยความตั้งใจจริง

วันเวลาผ่านไป มนุษย์เก็บโถไว้อย่างดีในบ้านของเขา ทุกครั้งที่มองเห็นโถ เขาจะคิดถึงคำสั่งของพระเจ้าและความสำคัญของสิ่งที่อยู่ข้างใน แต่แล้ววันหนึ่ง ความอยากรู้อยากเห็นเริ่มกัดกินจิตใจของเขา “ในโถนี้จะมีอะไรอยู่กันแน่?” เขาพึมพำกับตัวเอง “มันจะงดงามเพียงใด? หรือมันอาจเป็นสิ่งที่ข้าไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน?”

เสียงในหัวของเขาเริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ จนเขาไม่อาจต้านทานได้อีกต่อไป “ข้าแค่เปิดดูเพียงนิดเดียว ไม่เป็นไรหรอก” เขาพูดพลางยกฝาโถขึ้นอย่างระมัดระวัง

ทันใดนั้น พรทั้งหมดในโถพุ่งออกมาเป็นแสงสว่างเจิดจ้า ความสุข ความรัก ความมั่งคั่ง และความแข็งแรง ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าและหายลับไป มนุษย์ตกใจและพยายามปิดฝาโถ แต่สายเกินไปแล้ว ทุกอย่างหายไปหมด

“ไม่! ข้าทำอะไรลงไป!” มนุษย์ร้องไห้ เขาทรุดตัวลงกับพื้นและมองโถที่ว่างเปล่าด้วยความเสียใจ “พรเหล่านี้ควรอยู่บนโลก แต่ข้ากลับทำให้มันหลุดลอยไป”

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องโถแห่งพร 2

ขณะที่เขานั่งร้องไห้อยู่ พระเจ้าเสด็จลงมา มองมนุษย์ด้วยความสงบ “เจ้าทำให้พรทั้งหมดสูญเสียไปเพราะความอยากรู้อยากเห็น” พระเจ้าตรัส “แต่จงเงยหน้าขึ้นดูในโถนั้น เจ้าคิดว่ามันว่างเปล่าจริงหรือ?”

พระเจ้าตรัสต่อว่า “เจ้าสูญเสียสิ่งดีงามทั้งหมดที่ข้าให้ไว้เพราะความอยากรู้อยากเห็นของเจ้า แต่เจ้าจงจำไว้ว่า ความหวังยังคงอยู่กับเจ้า มันจะเป็นแสงสว่างในยามที่เจ้าเผชิญกับความมืดมิด ความหวังจะช่วยเจ้าต่อสู้และเรียกคืนสิ่งดีงามกลับมา หากเจ้ารู้จักใช้มันอย่างชาญฉลาด”

มนุษย์เงยหน้าขึ้นมองโถที่อยู่ในมือ เขาสังเกตเห็นบางสิ่งยังคงอยู่ภายใน สิ่งนั้นคือ “ความหวัง” ที่ยังคงหลงเหลืออยู่

“ความหวังยังคงอยู่กับเจ้า” พระเจ้ากล่าว “แม้เจ้าจะสูญเสียสิ่งดีงามไปทั้งหมด แต่ตราบใดที่ความหวังยังอยู่ เจ้าก็มีพลังที่จะต่อสู้และเรียกคืนสิ่งเหล่านั้นได้”

มนุษย์ถือโถในมือแน่น เขาพยักหน้าด้วยแววตาที่เริ่มเปล่งประกาย “ข้าจะไม่ปล่อยให้ความผิดพลาดของข้าเป็นจุดจบ ข้าจะใช้ความหวังนี้สร้างชีวิตที่ดีขึ้น และเรียนรู้ที่จะรักษาสิ่งที่ข้าได้รับในอนาคต”

พระเจ้ายิ้มเล็กน้อยก่อนเสด็จกลับไปยังสวรรค์ ตั้งแต่นั้นมา แม้มนุษย์จะสูญเสียพรหลายอย่าง แต่ความหวังยังคงอยู่ในหัวใจของพวกเขา มันกลายเป็นแสงสว่างในยามที่โลกดูมืดมิด เป็นแรงผลักดันให้พวกเขาก้าวไปข้างหน้า และสร้างสรรค์สิ่งดีงามด้วยตัวเอง

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องโถแห่งพร 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า แม้เราจะสูญเสียสิ่งล้ำค่าหรือทำผิดพลาดจนสูญเสียโอกาสสำคัญในชีวิต แต่ตราบใดที่เรายังมีความหวัง เรายังคงมีพลังที่จะลุกขึ้นใหม่และสร้างสิ่งดีงามกลับคืนมาได้อีกครั้ง ความหวังคือแสงสว่างที่ช่วยนำทางในยามที่ทุกอย่างดูมืดมนที่สุด

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องโถแห่งพร (อังกฤษ: The Jar of Blessings) นิทานเรื่องนี้ถูกบันทึกโดย บาบริอุส (Babrius) โดยเล่าว่าเหล่าเทพเจ้าส่งโถที่บรรจุพรต่าง ๆ ทั้งความสุข ความรัก ความมั่งคั่ง ฯลฯ มาให้มนุษย์ นิทานนี้กล่าวถึง “ชายโง่เขลา” คนหนึ่งซึ่งอยากรู้อยากเห็นจึงได้เปิดไหเพราะความอยากรู้อยากเห็น และปล่อยพรเหล่านั้นให้หลุดลอยไป เมื่อฝาถูกปิดลงอีกครั้ง “ความหวัง” เป็นสิ่งเดียวที่ยังคงอยู่ในไห โดยให้คำมั่นสัญญาว่าจะนำสิ่งดีงามที่หายไปกลับคืนมาให้กับมนุษย์

นิทานเรื่องนี้ ถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 312 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ)

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องยุงกับอูฐ

ในทะเลทรายอันกว้างใหญ่ที่ร้อนระอุ อูฐคือสัตว์ที่แข็งแกร่งและทรหดที่สุด มันสามารถแบกสัมภาระหนักอึ้งและเดินทางไกลโดยไม่ย่อท้อ แต่แม้แต่สัตว์ผู้ยิ่งใหญ่เช่นนี้ บางครั้งก็ต้องเผชิญกับสิ่งที่เล็กจ้อยและไร้ความสำคัญอย่างไม่น่าเชื่อ

เรื่องราวของอูฐและยุงตัวจ้อยที่พยายามจะพิสูจน์ตัวเอง จะสอนเราเกี่ยวกับการรู้จักคุณค่าที่แท้จริงของตนเอง กับนิทานอีสปเรื่องยุงกับอูฐ

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องยุงกับอูฐ

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องยุงกับอูฐ

กาลครั้งหนึ่งในทะเลทรายอันกว้างใหญ่ อูฐตัวหนึ่งกำลังเดินอย่างช้า ๆ ท่ามกลางแสงแดดแผดเผา มันบรรทุกสัมภาระหนักอึ้งบนหลัง ทั้งกระสอบข้าว ผ้าฝ้าย และสิ่งของจำเป็นสำหรับการเดินทางไกล แม้จะเหนื่อย แต่ด้วยพละกำลังและความอดทน อูฐยังคงก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง

ขณะนั้น ยุงตัวหนึ่งบินผ่านมา มันสังเกตเห็นอูฐที่เดินอยู่ใต้แสงแดด “อูฐตัวนี้ดูยิ่งใหญ่จริง ๆ” ยุงคิดในใจ “ข้าควรจะได้มีส่วนร่วมในความยิ่งใหญ่เช่นนี้!”

ด้วยความคิดดังกล่าว ยุงจึงบินลงไปเกาะที่หลังของอูฐ และพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงภูมิใจ “เจ้าคงรู้สึกดีนะที่มีข้าอยู่บนหลังของเจ้า ข้าจะช่วยเป็นเพื่อนร่วมเดินทางของเจ้า”

อูฐไม่ได้ตอบอะไร มันยังคงเดินต่อไปโดยไม่แม้แต่จะรู้สึกถึงการมีอยู่ของยุง ยุงเห็นอูฐไม่ตอบโต้จึงพูดต่อ “ข้าไม่อยากจะรบกวนเจ้ามากเกินไปหรอกนะ หากเจ้ารู้สึกว่าข้าน้ำหนักมากเกินไป เจ้าก็บอกมา ข้าจะบินไปทันที”

อูฐยังคงเงียบและก้าวเดินต่อ ยุงที่เกาะอยู่เริ่มรู้สึกว่าอูฐไม่ได้สนใจคำพูดของมันเลย แต่เพื่อรักษาหน้าตัวเอง ยุงตัดสินใจบินลงหลังจากพักอยู่บนหลังอูฐสักพัก

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องยุงกับอูฐ 2

ก่อนบินจากไป ยุงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนสำคัญมาก “ข้าจะบินลงไปแล้วนะ เพื่อให้เจ้ารู้สึกเบาลง ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องเหนื่อยเพราะข้า”

อูฐหยุดเดินและหันกลับมามองมันช้า ๆ “เจ้ากำลังพูดถึงอะไร?” อูฐถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ข้าไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าเจ้ามาเกาะอยู่ที่หลังของข้า และการจากไปของเจ้าก็ไม่ได้ทำให้ข้ารู้สึกเบาลงเลยแม้แต่น้อย”

ยุงได้ยินดังนั้นถึงกับอึ้ง มันเริ่มรู้ตัวว่า ไม่เพียงแต่มันไม่มีความสำคัญต่ออูฐเท่านั้น คำพูดของมันยังทำให้ตัวเองดูน่าขันและไร้ค่า มันบินจากไปด้วยความรู้สึกอับอาย

อูฐหันกลับมาเดินต่อ มันไม่ได้สนใจยุงอีกเลย “ความยิ่งใหญ่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับใครตัวเล็ก ๆ ที่พยายามจะดึงดูดความสนใจ” อูฐพูดกับตัวเองขณะก้าวเดินอย่างสง่างาม

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องยุงกับอูฐ 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนว่า การพยายามเรียกร้องความสำคัญหรือโอ้อวดในสถานการณ์ที่ไม่สมควร อาจทำให้เราได้รับความดูแคลนมากกว่าการยอมรับ เราควรเข้าใจฐานะและคุณค่าที่แท้จริงของตนเอง แทนที่จะพยายามเปรียบเทียบหรือทำให้ตัวเองดูสำคัญเกินความเป็นจริง

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องยุงกับอูฐ (อังกฤษ: The Gnat and the Camel) นิทานเรื่องนี้จัดอยู่ในนิทานอีสป ซึ่งบางแหล่งเปลี่ยนสัตว์จากอูฐเป็นกระทิงแทนกับจากยุงเป็นหมัด แต่เนื้อเรื่องคล้ายกัน และได้รับการบันทึกในภาษาละตินโดย ฟีดรัส (Phaedrus) ถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 137 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ)

ยุงตัวหนึ่งบังเอิญบินไปเกาะบนหลังอูฐที่บรรทุกสัมภาระอยู่ และพักอยู่บนนั้นสักพัก เมื่อมันตัดสินใจจะบินลง มันกล่าวว่า “ข้าจะรีบบินลงไปเดี๋ยวนี้ เพื่อจะไม่เพิ่มภาระให้เจ้าอีกต่อไป ข้ารู้ว่าเจ้าคงหนักมากแล้ว” อูฐตอบว่า “ขอบใจนะ แต่ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้ามาเกาะอยู่ และการจากไปของเจ้าก็ไม่ได้ช่วยให้ข้าบรรทุกเบาลงเลย” ฟีดรัส (Phaedrus) ให้ความเห็นว่า “ผู้ที่ไม่มีสถานะใดๆ แต่โอ้อวดว่าตนยิ่งใหญ่ ย่อมถูกดูแคลนเมื่อความจริงปรากฏ”

หากไม่คำนึงถึงฐานะและพยายามท้าทายผู้ที่เหนือกว่า ก็จะได้รับเพียงความดูถูกดูแคลนจากผู้ยิ่งใหญ่กว่าเท่านั้น

นิทานเรื่องนี้สื่อถึง หากผู้ใดไม่สนใจฐานะของตนเองและพยายามเทียบเคียงกับผู้ที่เหนือกว่า จะได้รับเพียงความดูแคลนเท่านั้น

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องคำท้าทายของยุง

ในทุ่งหญ้ากว้างใหญ่เส้นทางไปลานประลองโคลอสเซียม กระทิงตัวหนึ่งเป็นที่ยำเกรงของสัตว์ทั้งหลาย ด้วยพละกำลังและความยิ่งใหญ่ของมันและผู้ชนะของลานประลองโคลอสเซียม

แต่บางครั้ง ความมั่นใจในพลังของตนเองก็อาจนำมาซึ่งความผิดพลาด เรื่องราวของกระทิงที่ต้องเผชิญหน้ากับแมลงวันตัวเล็ก ๆ จะเผยให้เราเห็นถึงผลของการตัดสินใจที่อาจทำลายศักดิ์ศรีของตนเองโดยไม่รู้ตัว กับนิทานอีสปเรื่องคำท้าทายของยุง

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องคำท้าทายของยุง

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องคำท้าทายของยุง

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ กระทิงตัวใหญ่กำลังเดินอย่างสง่างามไปลานประลองโคลอสเซียม มันมีเขาอันแหลมคม ร่างกายกำยำ และเป็นที่ยำเกรงของสัตว์ทุกตัวในละแวกนั้น แต่แล้ว ยุงตัวเล็ก ๆ ที่บินผ่านมา กลับรู้สึกอยากอวดดีและท้าทายพลังอันยิ่งใหญ่ของกระทิง

“เจ้ากระทิงใหญ่!” ยุงกล่าวด้วยน้ำเสียงอวดเก่ง “มาสู้กับข้าสิ มาดูกันว่าใครแข็งแกร่งกว่ากัน!”

กระทิงหยุดเดิน มันจ้องมองยุงที่ตัวเล็กจนแทบไม่เห็น “เจ้าจะท้าข้ารึ?” กระทิงถามด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความสงสัย “ข้าใหญ่กว่าเจ้าเป็นร้อยเท่า จะมีประโยชน์อะไรในการตอบรับคำท้าของเจ้า?”

“เจ้ายอมรับคำท้าของข้าแล้วใช่หรือไม่?” ยุงพูดพลางหัวเราะเสียงดัง “เพียงแค่นี้ ข้าก็ถือว่าเจ้าให้เกียรติข้าแล้ว! เจ้ายอมรับว่าข้าคู่ควรกับเจ้า!”

ฝูงชนที่อยู่รอบ ๆ เริ่มจับตามองการท้าทาย กระทิง แม้จะรู้สึกว่าเรื่องนี้ไร้สาระ แต่ด้วยความหยิ่งในศักดิ์ศรี มันยอมรับคำท้าด้วยความไม่เต็มใจ “ถ้าเจ้าคิดว่าข้าจะลดตัวมาต่อกรกับเจ้า งั้นก็เอาเลย ข้าจะสู้กับเจ้าเพื่อจบเรื่องนี้” กระทิงกล่าวอย่างไม่พอใจ

ยุงหัวเราะและเริ่มแสดงการบินโฉบเฉี่ยวไปรอบ ๆ กระทิง มันบินสูงต่ำ พุ่งซ้ายขวา และพูดเยาะเย้ย “ดูสิ ข้าบินเร็วกว่าด้วย! เจ้าทำอะไรข้าไม่ได้เลย!”

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องคำท้าทายของยุง 2

กระทิงพยายามใช้เขาของมันไล่ฟาดยุง แต่ไม่ว่าอย่างไร มันก็ไม่สามารถทำอะไรแมลงวันตัวเล็กที่เคลื่อนไหวรวดเร็วได้ ท่ามกลางเสียงหัวเราะของฝูงชน กระทิงเริ่มรู้สึกโกรธและอับอายที่ต้องมาเสียเวลาเล่นเกมของคู่ต่อสู้ที่ไร้ความสำคัญ

ในที่สุด ยุงก็หยุดบินและพูดขึ้นว่า “เจ้ากระทิง เจ้าอาจแข็งแกร่ง แต่ข้าเป็นผู้ชนะ เพราะเจ้ายอมลดตัวมาเล่นเกมของข้า!”

เมื่อได้ยินดังนั้น กระทิงคำรามอย่างเกรี้ยวกราด “ข้าไม่น่าเสียเวลามาเล่นเกมของเจ้าเลย! เจ้าตัวเล็กและไม่มีค่าอะไรแม้แต่จะเป็นคู่ต่อสู้ของข้าด้วยซ้ำ! ข้าจะไม่ลดตัวลงไปแข่งกับสิ่งที่ไม่คู่ควรแบบนี้อีกต่อไป”

กระทิงเดินจากไปด้วยความโกรธและสำนึกผิด แม้ฝูงชนจะยังหัวเราะเยาะเย้ย แต่กระทิงกลับเรียนรู้บทเรียนสำคัญ มันตั้งใจว่าจะไม่ให้สิ่งเล็กน้อยที่ไร้ความสำคัญมาทำให้ตัวเองเสียศักดิ์ศรีอีก

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องคำท้าทายของยุง 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การลดตัวลงไปตอบรับคำท้าหรือแข่งขันกับผู้ที่ไม่คู่ควร ไม่เพียงแต่ทำให้เราเสียเวลา แต่ยังทำให้ศักดิ์ศรีและคุณค่าของเราลดลง ความยิ่งใหญ่ที่แท้จริงไม่ได้มาจากการเอาชนะทุกคน แต่คือการรู้จักเลือกสิ่งที่คู่ควรกับตัวเรา และไม่ให้สิ่งเล็กน้อยมามีอิทธิพลต่อจุดยืนของเรา

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องคำท้าทายของยุง (อังกฤษ: The Gnat’s Challenge) อาเดมาร์แห่งชาบานส์ (Ademar of Chabannes) ได้แต่งนิทานเรื่องหนึ่งขึ้นมาและอ้างว่าเป็นนิทานอีสปโบราณ ถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 564 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ)

เนื้อเรื่องเล่าถึงยุงตัวหนึ่งที่ท้าทายวัวให้มาทดสอบความแข็งแกร่ง แต่เมื่อวัวตอบรับ ยุงก็อ้างว่านั่นเท่ากับว่าวัวยอมรับว่ามันมีความเท่าเทียมกัน อาเดมาร์แสดงความคิดเห็นว่า วัว “ควรเพิกเฉยต่อคู่แข่งที่ต่ำต้อยเช่นนี้ และเจ้าตัวน่ารำคาญก็จะไม่มีอะไรให้โอ้อวดเลย”

ผู้ที่เข้าแข่งขันกับคู่ต่อสู้ที่ไม่คู่ควร ย่อมลดคุณค่าของตนเองเสมอ

นิทานเรื่องนี้สื่อถึงการไม่ควรลดตัวลงไปตอบโต้กับสิ่งที่ไม่มีค่า เพราะจะทำให้เสียศักดิ์ศรีโดยไม่จำเป็น

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องแมลงวันกับวัวไถนา

ในทุ่งนากว้างที่เงียบสงบ วัวผู้ขยันขันแข็งกำลังลากคันไถไปตามแปลงดิน มันทำงานอย่างหนักภายใต้แสงแดดที่แผดเผา แม้จะเหน็ดเหนื่อย แต่ด้วยความอดทน มันยังคงก้าวเดินต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ แต่แล้ว สิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ที่บินผ่านกลับคิดว่าตนเองมีบทบาทสำคัญในงานอันยิ่งใหญ่ครั้งนี้

เรื่องราวของแมลงวันผู้โอ้อวดและวัวผู้มุ่งมั่นจะเผยถึงบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับคุณค่าแท้จริงของการทำงาน กับนิทานอีสปเรื่องแมลงวันกับวัวไถนา

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องแมลงวันกับวัวไถนา

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องแมลงวันกับวัวไถนา

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในวันที่ท้องฟ้าโปร่ง ทุ่งนากว้างใหญ่ถูกเตรียมไว้สำหรับการเพาะปลูก วัวตัวหนึ่งถูกผูกไว้กับคันไถ มันกำลังลากไถอย่างเหน็ดเหนื่อย แต่มั่นคง มันเดินไปข้างหน้าด้วยแรงทั้งหมดที่มี ล้อคันไถขุดดินเป็นร่องลึก ทิ้งคราบเหงื่อไว้บนหลังที่เปียกชุ่ม

ขณะที่วัวกำลังทำงานอย่างหนัก แมลงวันตัวหนึ่งบินผ่านมา มันมองวัวที่กำลังลากไถและคิดว่า “ข้าไม่ควรพลาดโอกาสที่จะได้มีส่วนร่วมในงานนี้” จากนั้นมันก็บินลงไปเกาะบนเขาของวัว

เมื่อเวลาผ่านไป แมลงวันรู้สึกเบื่อที่ไม่มีใครสนใจมัน มันเริ่มพูดขึ้นด้วยเสียงดังเพื่อดึงความสนใจ “ดูสิ ข้ากับวัวตัวนี้ช่วยกันไถทุ่งกว้างนี้มาตลอดทั้งวัน! เจ้าจะเห็นได้ว่าพวกเราทำงานหนักแค่ไหน!”

วัวที่กำลังเหนื่อยจากการลากไถไม่ได้สนใจแมลงวัน มันเพียงหายใจแรงและก้มหน้าทำงานต่อ

เวลาผ่านไป ผึ้งตัวหนึ่งบินผ่านมา มันมองเห็นแมลงวันที่เกาะอยู่บนเขาของวัว และอดสงสัยไม่ได้ จึงถามขึ้นว่า “เจ้ามาทำอะไรอยู่ตรงนั้น?”

แมลงวันยืดตัวขึ้นและพูดด้วยความภาคภูมิใจ “ข้ากำลังช่วยวัวตัวนี้ไถนาน่ะสิ! ข้ากับมันทำงานหนักมาตลอดทั้งวัน เจ้าไม่เห็นหรือ?”

ผึ้งขมวดคิ้วเล็กน้อย และถามกลับด้วยน้ำเสียงไม่เชื่อ “เจ้ากำลังช่วยมันจริงหรือ? เพราะดูเหมือนเจ้าจะไม่ได้ทำอะไรนอกจากนั่งอยู่เฉย ๆ บนเขาของมัน”

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องแมลงวันกับวัวไถนา 2

แมลงวันโบกปีกอย่างไม่สนใจ “เจ้าไม่เข้าใจงานหนักแบบนี้หรอก เจ้าผึ้ง! ข้ากับวัวต้องทำงานร่วมกันเพื่อไถทุ่งกว้างนี้ให้เสร็จ และเจ้าควรเรียนรู้ที่จะขยันเหมือนเราสองคนนี้”

ผึ้งมองวัวที่กำลังลากคันไถอย่างเงียบ ๆ มันเห็นเหงื่อที่ไหลลงมาตามตัวของวัว เห็นความเหนื่อยล้าของวัวที่ยังคงเดินต่อไปโดยไม่หยุด ผึ้งจึงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เจ้ารู้ไหมว่าใครกันแน่ที่ทำงานหนัก? ข้าคิดว่าเป็นวัวตัวนี้ที่กำลังออกแรงทั้งหมดเพื่อไถนา ข้าไม่เห็นว่าเจ้าจะมีส่วนช่วยอะไรเลย”

แมลงวันหันไปตอบอย่างไม่พอใจ “เจ้าผึ้ง ข้าไม่จำเป็นต้องทำอะไรมากมายเพื่อแสดงให้เห็นว่าข้าสำคัญ! การที่ข้าอยู่ที่นี่ ก็แปลว่าข้าคือส่วนหนึ่งของความสำเร็จนี้แล้ว!”

ผึ้งถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะกล่าวว่า “เจ้าคงหลงตัวเองเกินไป ข้าจะไม่เสียเวลาคุยกับเจ้าอีก” จากนั้นมันก็บินจากไป

วัวยังคงลากไถไปข้างหน้าอย่างเงียบ ๆ ไม่สนใจบทสนทนาระหว่างแมลงวันกับผึ้ง ทุ่งนาค่อย ๆ ถูกไถจนเสร็จสิ้น ขณะที่แมลงวันยังคงเกาะอยู่บนเขาของวัวอย่างภาคภูมิใจในสิ่งที่มันไม่ได้ทำเลย

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องแมลงวันกับวัวไถนา 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนว่า ผู้ที่อวดว่าตนเองมีส่วนร่วมในความสำเร็จของผู้อื่น ทั้งที่ไม่ได้ลงแรงหรือมีบทบาทอะไรเลย ย่อมดูน่าขันในสายตาของผู้ที่แท้จริงแล้วเป็นผู้ลงมือทำงาน ความสำคัญไม่ได้มาจากการโอ้อวด แต่คือการลงแรงและตั้งใจทำสิ่งที่มีคุณค่า

การโอ้อวดว่าตนเองมีส่วนร่วมในความสำเร็จของผู้อื่น ทั้งที่ไม่ได้ลงแรงหรือมีบทบาทจริง ๆ นั้นไร้ค่าและน่าขัน ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่คำพูดหรือการแสดงออก แต่อยู่ที่การกระทำและความพยายามที่แท้จริง หากเราต้องการเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จ เราต้องลงมือทำอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงแค่แสวงหาความสำคัญจากสิ่งที่ไม่ได้เป็นของเรา

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องแมลงวันกับวัวไถนา (อังกฤษ: The Fly and the Ox Ploughing) เรื่องราวเล่าถึงแมลงที่โอ้อวดว่าตนเองมีส่วนร่วมในความพยายามของผู้อื่น แมลงวันตัวหนึ่งเกาะอยู่ระหว่างเขาของวัวและถูกผึ้งถามว่าทำไมถึงเสียเวลาอยู่ตรงนั้น แมลงวันตอบว่า “ข้าและวัวช่วยกันไถทุ่งกว้างนี้มาตลอดทั้งวัน” และแนะนำให้ผึ้งขยันทำงานให้เหมือนกัน

“ผู้ที่ต่ำต้อยแต่พยายามอวดตนในหมู่ผู้ยิ่งใหญ่ หรือผู้ที่ไร้คุณธรรมแต่พยายามเข้าร่วมในกลุ่มคนที่เที่ยงธรรม ไม่อาจยืนหยัดด้วยความคิดหรือพลังของตนเอง แต่ใช้เพียงคำพูดเพื่ออ้างความยิ่งใหญ่และสติปัญญาให้เท่าเทียมกับผู้อื่น”

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องแมลงวันกับล่อ

ในวันที่แสงแดดแผดเผาและถนนลูกรังเต็มไปด้วยฝุ่น ล่อตัวหนึ่งลากเกวียนหนักไปตามทางอย่างอดทน มันมุ่งมั่นทำหน้าที่ของตัวเอง แม้จะเหนื่อยล้าจากสัมภาระที่บรรทุกอยู่บนหลัง แต่ท่ามกลางความสงบและความพยายามของมัน

กลับมีสิ่งเล็กจ้อยที่พยายามทำให้ตัวเองดูสำคัญ เรื่องราวของแมลงวันผู้โอ้อวดและล่อผู้มั่นคง จะเผยให้เราเห็นถึงคุณค่าของความมั่นใจในสิ่งที่แท้จริง กับนิทานอีสปเรื่องแมลงวันกับล่อ

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องแมลงวันกับล่อ

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องแมลงวันกับล่อ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในหมู่บ้านชนบท ล่อตัวหนึ่งถูกใช้แรงงานอย่างหนัก มันต้องลากเกวียนที่เต็มไปด้วยสัมภาระหนักแน่นไปตามถนนลูกรังที่ทั้งขรุขระและเป็นหลุมเป็นบ่อ ล่อเดินอย่างช้า ๆ และมั่นคง แม้ว่าจะรู้สึกเหน็ดเหนื่อย แต่มันก็มุ่งมั่นจะทำหน้าที่ให้เสร็จสิ้น

ระหว่างทาง แมลงวันตัวหนึ่งบินมาเกาะบนเกวียน มันเห็นล่อที่เดินช้า ๆ ก็นึกอยากสนุก “เจ้าล่อตัวใหญ่ ดูเหมือนเจ้าจะชักช้าเกินไปแล้วนะ” แมลงวันพูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย

ล่อหันมามองเล็กน้อย แต่ไม่ได้ตอบอะไร มันยังคงลากเกวียนต่อไป

แมลงวันรู้สึกเสียหน้าเพราะล่อไม่สนใจมัน มันจึงบินไปเกาะที่หัวของล่อและพูดว่า “ข้ากำลังจับตาดูเจ้าอยู่ หากเจ้าไม่เร่งให้เร็วขึ้น ข้าจะต่อยเจ้าแน่!”

ล่อถอนหายใจและตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เจ้าตัวเล็ก ข้าแบกน้ำหนักมากมายไว้บนหลัง และข้ากำลังทำหน้าที่ของข้าให้ดีที่สุด แต่คำขู่ของเจ้าไม่มีความหมายอะไรเลย”

แมลงวันโกรธที่ล่อไม่กลัว มันบินวนไปมารอบหัวของล่อพร้อมพูดว่า “เจ้าไม่รู้หรือว่าข้าคือแมลงวันผู้ยิ่งใหญ่? ข้าจะทำให้เจ้ารู้สึกถึงพลังของข้าเอง!”

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องแมลงวันกับล่อ 2

ล่อหัวเราะเบา ๆ และตอบกลับ “เจ้าอาจคิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่ แต่ข้ากลัวเพียงเจ้าของของข้า และแค่แส้ของคนขับที่อยู่ข้างหลัง ข้ารู้ว่าแส้นั้นมีพลังพอที่จะทำให้ข้าต้องเจ็บ แต่สำหรับเจ้า คำขู่ของเจ้าก็เหมือนเสียงลมที่พัดผ่าน ข้าจะไม่เสียเวลาไปสนใจเจ้า”

แมลงวันเริ่มรำคาญที่ล่อไม่ตอบสนองตามที่มันคาดหวัง “ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปง่าย ๆ เจ้าล่อขี้เกียจ!” มันตะโกนพลางบินโฉบลงมาหัวของล่อ

ล่อยังคงสงบนิ่ง มันพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “เจ้าจะทำอะไรก็ทำไปเถอะ ข้าเดินหน้าต่อเพราะข้ารู้ว่าข้าต้องทำอะไร ข้าไม่ปล่อยให้เสียงรบกวนจากเจ้า หรือการขู่ที่ว่างเปล่ามาเปลี่ยนเส้นทางของข้าได้”

แมลงวันได้ยินดังนั้นก็รู้ว่ามันไม่มีอำนาจที่จะทำอะไรล่อได้จริง ๆ มันบินออกไปด้วยความอับอายและโมโหตัวเอง ล่อหันกลับไปมองแวบหนึ่งก่อนจะพึมพำกับตัวเองว่า “บางสิ่งที่ไร้ความสำคัญก็แค่เสียงรบกวน เราไม่จำเป็นต้องเสียเวลาตอบโต้”

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องแมลงวันกับล่อ 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การโอ้อวดหรือขู่เข็ญจากผู้ที่ไม่มีอำนาจแท้จริงนั้นไม่มีความหมายอะไรต่อผู้ที่ตั้งมั่นในหน้าที่ของตนเอง สิ่งสำคัญคือการมุ่งมั่นทำหน้าที่และเป้าหมายของตัวเอง โดยไม่ปล่อยให้คำพูดที่ไร้สาระหรือสิ่งเล็กน้อยมาทำให้ไขว้เขวหรือเสียเวลา

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องแมลงวันกับล่อ (อังกฤษ: The Fly and the Mule) ถูกบันทึกโดยฟีดรัส (Phaedrus) และถูกจัดลำดับอยู่ใน Perry Index ลำดับที่ 498 (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) ในนิทานเรื่องนี้ แมลงวันตัวหนึ่งนั่งอยู่บนรถม้าและขู่ที่จะต่อยม้าลากจูงหากมันไม่ดึงเร็วขึ้น แต่ม้าลากตอบกลับว่า มันกลัวเพียงแค่คนขับและแส้ของเขาเท่านั้น ส่วนคำขู่เปล่าจากคนรอบข้างไม่มีความหมายเลย

นิทานเรื่องนี้สามารถนำมาใช้ล้อเลียนบุคคลที่ชอบข่มขู่ด้วยคำพูดเปล่า ๆ โดยไม่มีอำนาจหรือความสามารถใด ๆ ที่จะสนับสนุนคำขู่นั้นได้อย่างแท้จริง

นิทานนี้เข้าสู่ผลงานวรรณกรรมยุโรปผ่านการรวบรวมนิทานอีสปของ ไฮน์ริช สไตน์โฮเวล (Heinrich Steinhöwel) ในปี 1476 และถูกถ่ายทอดต่อไปในหนังสือที่ดัดแปลงจากฉบับนี้ รวมถึงคอลเลกชันนิทานของ วิลเลียม แคกซ์ตัน (William Caxton)

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com