นิทานอีสปเรื่องหนูกับหอยนางรม

ในโลกที่เต็มไปด้วยสิ่งล่อตาล่อใจ ความอยากรู้อยากเห็นและความโลภมักเป็นสิ่งที่ผลักดันให้เราลองทำสิ่งใหม่ ๆ แต่หากปราศจากความระมัดระวังและการไตร่ตรองให้รอบคอบ

ความอยากนั้นอาจนำไปสู่หายนะที่เราไม่ทันคาดคิด เช่นเดียวกับเรื่องราวของหนูผู้หนึ่งที่ความอยากรู้อยากลองพาให้พบกับบทเรียนอันขมขื่นใน กับนิทานอีสปเรื่องหอยนางรม

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องหนูกับหอยนางรม

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องหนูกับหอยนางรม

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในวันหนึ่งที่ท้องฟ้าสดใสและสายลมทะเลพัดเอื่อย ๆ หนูตัวหนึ่งเดินทางมาถึงชายฝั่งทะเลโดยบังเอิญ มันไม่เคยเห็นทะเลมาก่อนในชีวิต เสียงคลื่นที่กระทบฝั่งและกลิ่นเค็มของน้ำทะเลทำให้มันรู้สึกตื่นเต้นและอยากรู้อยากเห็น

“โอ้โห นี่มันคือที่ไหนกันนะ?” หนูพูดกับตัวเองขณะวิ่งสำรวจชายหาด มันมองไปยังทรายละเอียดและเปลือกหอยที่กระจัดกระจายอยู่ตามชายฝั่ง

ในระหว่างที่หนูกำลังเดินไปเรื่อย ๆ สายตาของมันก็สะดุดเข้ากับสิ่งหนึ่งที่ดูแปลกตา มันคือหอยนางรมตัวหนึ่งที่นอนนิ่งอยู่บนทราย เปลือกของมันเปิดแง้มเล็กน้อย เผยให้เห็นเนื้อในที่ดูนุ่มนวลและมันวาว

“นี่อะไรน่ะ? ดูน่าสนใจจริง ๆ” หนูพูดพร้อมเดินเข้าไปใกล้ มันจ้องมองหอยนางรมด้วยความสงสัย “นี่คงเป็นอาหารอะไรสักอย่างแน่ ๆ”

หอยนางรมนิ่งเฉย ไม่แสดงอาการตอบสนองใด ๆ หนูจึงยิ่งเข้าไปใกล้ขึ้นอีก มันเริ่มได้กลิ่นหอมบาง ๆ ที่ออกมาจากเนื้อในของหอยนางรม

“กลิ่นแบบนี้… น่ากินชะมัด!” หนูพูดกับตัวเองพลางเลียปากด้วยความตื่นเต้น “ข้าจะลองชิมดูสักหน่อยดีไหมนะ?”

หนูเริ่มยื่นหัวเข้าไปใกล้ ๆ กับเนื้อในของหอยนางรม มันลองกัดเบา ๆ เพื่อดูว่ารสชาติจะเป็นอย่างไร แต่ในจังหวะเดียวกันนั้นเอง เปลือกของหอยนางรมก็ปิดลงอย่างรวดเร็ว

“โอ๊ย! เจ็บ! เกิดอะไรขึ้นนี่!” หนูร้องลั่น หอยนางรมหนีบหัวของมันแน่นด้วยเปลือกแข็ง หนูพยายามดึงตัวออกมาด้วยแรงทั้งหมดที่มันมี แต่มันกลับพบว่าตัวเองไม่มีทางหลุดออกมาได้

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องหนูกับหอยนางรม 2

“ปล่อยข้าไป! ข้าแค่อยากลองชิมนิดเดียวเอง!” หนูร้องพลางดิ้นสุดชีวิต แต่หอยนางรมยังคงปิดเปลือกไว้แน่น

หอยนางรมพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “เจ้าคิดว่าข้าจะปล่อยให้เจ้ากัดกินข้าโดยง่ายอย่างนั้นหรือ? ความอยากรู้อยากเห็นและความโลภของเจ้านำพาเจ้ามาที่นี่เอง ข้าคงต้องสอนบทเรียนให้เจ้าเสียหน่อย”

“ข้าสัญญาว่าจะไม่ทำแบบนี้อีก! ได้โปรดปล่อยข้าไปเถอะ!” หนูอ้อนวอน น้ำเสียงเต็มไปด้วยความกลัว

แต่หอยนางรมไม่ฟัง มันปิดเปลือกแน่นกว่าเดิม หนูตัวนั้นดิ้นรนจนหมดแรง สุดท้ายมันก็ถูกขังอยู่ในเปลือกของหอยนางรม ทำให้มันติดอยู่ในคุกโดยไม่มีความหวังที่จะหนีออกไปได้และไม่มีใครมาช่วยได้

ทะเลยังคงสงบเหมือนเดิม คลื่นยังคงซัดเข้าฝั่ง แต่สำหรับหนูตัวนั้น ความอยากรู้อยากเห็นและความโลภได้กลายเป็นบทเรียนอันขมขื่น

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องหนูกับหอยนางรม 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความอยากรู้อยากเห็นหรือความโลภที่เกินพอดี อาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เป็นอันตรายและสร้างปัญหาให้กับตัวเราเอง การทำสิ่งใดโดยไม่ไตร่ตรองให้รอบคอบหรือเพียงเพราะความต้องการชั่ววูบ อาจทำให้เราต้องเผชิญกับผลเสียที่ไม่สามารถแก้ไขได้ การมีสติและรู้จักยับยั้งชั่งใจจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เราเลี่ยงความผิดพลาดในชีวิต

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องหนูกับหอยนางรม (อังกฤษ: The Mouse and the Oyster) เป็นนิทานสอนใจที่ไม่ค่อยถูกกล่าวถึงในวรรณกรรมยุคคลาสสิก แต่ถูกจัดให้เป็นหนึ่งในนิทานอีสป นิทานเรื่องนี้ได้รับการจัดอยู่ในลำดับที่ 454 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) นิทานนี้มีการตีความหลากหลาย บางเวอร์ชันถือเป็นคำเตือนเกี่ยวกับความตะกละ ขณะที่บางเวอร์ชันมองว่าเป็นการเตือนให้ระวังการกระทำโดยไม่ไตร่ตรองหรือระวังตัว

การกล่าวถึงนิทานเรื่องนี้ครั้งแรกปรากฏในบทกวีใน Greek Anthology ช่วงศตวรรษที่ 1 ซีอี โดย แอนทิฟิลัสแห่งไบแซนเทียม (Antiphilus of Byzantium) เล่าเรื่องถึงหนูบ้านตัวหนึ่งที่พบหอยนางรมและพยายามกินมัน แต่เปลือกหอยกลับปิดลงทันที ทำให้มันต้องพบกับความตายและหลุมศพในคราวเดียวกัน

ความโลภและความประมาทอาจนำไปสู่ความพินาศได้

ในศตวรรษถัดมาอีเลียส อริสไตเดส (Aelius Aristides) นักวาทศิลป์ได้ให้การตีความนิทานในเชิงการเมือง โดยใช้เป็นคำเตือนเกี่ยวกับการหลีกเลี่ยงการตกหลุมพรางในสถานการณ์ที่อันตราย

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องภูเขาคลอดลูก

ในโลกที่คำพูดและการกระทำมีพลังในการสร้างความเชื่อและความคาดหวัง การทำให้สิ่งใดดูยิ่งใหญ่เกินจริงอาจดึงดูดความสนใจได้ในช่วงแรก แต่ผลลัพธ์ที่ตามมาอาจไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง เช่นเดียวกับเรื่องราวของภูเขาลูกใหญ่ที่สั่นสะเทือนและคำรามกึกก้อง

จนทำให้ผู้คนเชื่อว่าบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่กำลังจะเกิดขึ้น แต่มันกลับนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ไม่เป็นดังที่ใคร ๆ คิด กับนิทานอีสปเรื่องภูเขาคลอดลูก

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องภูเขาคลอดลูก

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องภูเขาคลอดลูก

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีภูเขาลูกใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ใกล้หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ภูเขานั้นเงียบสงบมาเป็นเวลานานจนกระทั่งวันหนึ่ง เสียงคำรามดังกึกก้องดังขึ้นจากภูเขา มันเป็นเสียงที่น่ากลัวจนทำให้พื้นดินสั่นสะเทือน ต้นไม้ไหวเอน และผู้คนต่างหยุดชะงักในสิ่งที่พวกเขากำลังทำ

“เกิดอะไรขึ้น?” หญิงชราคนหนึ่งร้องถามด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก

ชายคนหนึ่งตอบด้วยสีหน้าวิตก “ข้าคิดว่าภูเขากำลังจะระเบิด! มันส่งเสียงดังราวกับสัตว์ประหลาดกำลังขยับตัวอยู่ข้างใน!”

เสียงคำรามนั้นดังต่อเนื่อง ผู้คนในหมู่บ้านพากันรวมตัวอยู่ที่ลานกว้าง ทุกคนจ้องมองไปที่ภูเขาลูกใหญ่อย่างหวาดกลัวและเต็มไปด้วยความคาดหวัง

“ภูเขานี่คงกำลังจะคลอดบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่ออกมา” ชายชราผู้หนึ่งพูดขึ้นขณะมองไปที่ยอดเขา

หญิงสาวคนหนึ่งเสริมขึ้นด้วยน้ำเสียงกังวล “บางทีอาจเป็นสัตว์ประหลาดขนาดมหึมาที่เราต้องต่อสู้ หรืออาจเป็นทรัพย์สมบัติมหาศาลที่เราจะค้นพบ”

เด็ก ๆ วิ่งหลบไปอยู่ข้างหลังพ่อแม่ของพวกเขา ขณะที่ชายหนุ่มหลายคนเริ่มเตรียมอาวุธเพื่อป้องกันตัวเองจากสิ่งที่อาจเกิดขึ้น

เสียงคำรามของภูเขายังคงดังขึ้นเรื่อย ๆ มันดูเหมือนกำลังส่งสัญญาณอะไรบางอย่าง ท้องฟ้าเหนือภูเขาเริ่มปกคลุมด้วยเมฆดำ ผู้คนพากันกระซิบกระซาบถึงเหตุการณ์ที่น่ากลัวที่อาจเกิดขึ้น

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องภูเขาคลอดลูก 2

“ข้าว่าเราควรเตรียมตัวหนี!” หญิงชราคนหนึ่งร้องเตือน “สิ่งที่ออกมาจากภูเขานั่นอาจเป็นหายนะสำหรับพวกเราทุกคน!”

“ไม่ เราต้องดู!” ชายหนุ่มอีกคนแย้ง “นี่อาจเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เคยเกิดขึ้น เราไม่ควรพลาด!”

ในที่สุด หลังจากเสียงคำรามดังอยู่เนิ่นนาน ภูเขาก็หยุดสั่น ทุกคนเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อ ความเงียบปกคลุมไปทั่วบริเวณ ทุกสายตาจ้องไปที่ภูเขา บางคนกลั้นหายใจด้วยความตื่นเต้น

จากช่องเล็ก ๆ บนภูเขา มีสิ่งหนึ่งเคลื่อนไหวออกมา ผู้คนต่างตื่นเต้นและกระซิบกระซาบกันว่า “มันมาแล้ว!” แต่สิ่งที่ออกมาจากภูเขากลับเป็นเพียง…หนูตัวเล็ก ๆ ตัวหนึ่ง

หนูตัวนั้นส่งเสียงจี๊ด ๆ เบา ๆ ก่อนจะวิ่งผ่านผู้คนไปหายลับในพุ่มไม้ ทุกคนต่างยืนนิ่งด้วยความงุนงง ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา

ชายคนหนึ่งหัวเราะจนตัวงอ “ทั้งหมดนี่ก็เพื่อหนูตัวเดียวหรือ? ข้าคิดว่ามันจะเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่เสียอีก!”

หญิงคนหนึ่งพูดพลางหัวเราะน้ำตาไหล “นี่หรือคือสิ่งที่ภูเขาคลอดออกมา? ข้าอุตส่าห์เตรียมตัวหนี!”

เสียงหัวเราะดังไปทั่วหมู่บ้าน ขณะที่ผู้คนเริ่มแยกย้ายกลับบ้าน พวกเขาหยุดพูดถึงสัตว์ประหลาดหรือหายนะที่เคยจินตนาการ และเปลี่ยนมาพูดถึงความตลกขบขันของเหตุการณ์นี้แทน

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องภูเขาคลอดลูก 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การทำเรื่องเล็กให้ดูยิ่งใหญ่เกินจริง อาจทำให้ผลลัพธ์ที่ออกมาน่าผิดหวัง และสูญเสียความน่าเชื่อถือที่เคยมีอยู่ก็จะลดลงหรือหายไปโดยสิ้นเชิง

และการข่มขู่หรือสร้างความหวาดกลัวโดยไร้ผลลัพธ์ที่แท้จริง นอกจากจะทำให้เสียความน่าเชื่อถือแล้ว ยังอาจทำให้ผู้อื่นมองเป็นเรื่องน่าขัน คำพูดหรือการกระทำที่เกินจริงโดยไม่มีเนื้อหาสาระ ย่อมไม่ก่อให้เกิดความเคารพ แต่กลับลดทอนคุณค่าของผู้พูดเอง

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องภูเขาคลอดลูก (อังกฤษ: The Mountain in Labour) เป็นหนึ่งในนิทานอีสป นิทานเรื่องนี้ได้รับการจัดอยู่ในลำดับที่ 520 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) นิทานนี้กลายเป็นสำนวนในยุคคลาสสิก และถูกนำไปใช้ในบริบทหลากหลาย โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับ คำพูดหรือการกระทำที่สัญญาสิ่งยิ่งใหญ่แต่กลับให้ผลลัพธ์เพียงเล็กน้อย เช่น ในวงการวรรณกรรมและการเมือง

ในยุคสมัยใหม่ ความตั้งใจเสียดสีในนิทานเรื่องนี้ได้รับการเน้นย้ำมากขึ้นจากการตีความของ ฌอง เดอ ลา ฟงแตน (Jean de la Fontaine) ซึ่งภาพประกอบในข้อความนิทานช่วยขับเน้นการใช้งานในเชิงประชดประชัน และต่อมาได้ส่งอิทธิพลต่อการ์ตูนเชิงเสียดสีในยุโรปและอเมริกาอีกด้วย

เวอร์ชันที่เก่าแก่ที่สุดของนิทานเรื่องนี้ปรากฏในบทกวีภาษาละตินแต่งโดย ฟีดรัส (Phaedrus)

“ภูเขากำลังเจ็บท้องคลอด ส่งเสียงครวญครางดังลั่น
ทำให้ผู้คนบนพื้นโลกต่างเฝ้ารออย่างยิ่งใหญ่
แต่สุดท้ายกลับให้กำเนิดเพียงหนูตัวหนึ่ง
เรื่องนี้เขียนขึ้นเพื่อเตือนผู้ที่ข่มขู่ถึงสิ่งยิ่งใหญ่
แต่สุดท้ายกลับไม่สามารถทำอะไรได้เลย”

นิทานเรื่องนี้แต่งขึ้นสำหรับผู้ที่ชอบข่มขู่ด้วยคำพูดที่ดูจริงจัง แต่กลับไม่สามารถทำอะไรให้สำเร็จได้เลย

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องดวงจันทร์กับแม่ของเธอ

ในค่ำคืนที่มืดมิด ดวงจันทร์บนฟากฟ้าคือสิ่งที่ผู้คนเฝ้ามอง เธอเปลี่ยนรูปร่างทุกคืน ตั้งแต่บางเบาเหมือนเสี้ยวเล็ก ๆ ไปจนถึงกลมโตสมบูรณ์แบบ แต่ภายใต้แสงสว่างที่เธอเปล่งออกมา มีความปรารถนาอันลึกซึ้งที่เธอเก็บไว้ในใจ เธอเฝ้าฝันถึงบางสิ่งที่จะทำให้เธอโดดเด่นและงดงามกว่าที่เคย เพื่อเติมเต็มความฝันนี้

เธอจึงหันไปหาแม่ของเธอ ผู้ซึ่งมีฝีมืออันยอดเยี่ยมในการสร้างสรรค์สิ่งงดงาม ทว่า คำขอของดวงจันทร์อาจกลายเป็นเรื่องที่ยากเกินจะทำสำเร็จ ติดตามเรื่องราวความหวังและความท้าทายนี้ใน กับนิทานอีสปเรื่องดวงจันทร์กับแม่ของเธอ

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องดวงจันทร์กับแม่ของเธอ

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องดวงจันทร์กับแม่ของเธอ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในท้องฟ้ายามค่ำคืน ดวงจันทร์ผู้สว่างไสวมักเปลี่ยนรูปร่างของเธอไปเรื่อย ๆ บางวันเธอผอมบางเหมือนเสี้ยวเล็ก ๆ ที่แหว่งเว้า บางวันเธอกลมโตจนดูสมบูรณ์แบบ แต่บางคืนเธอก็แทบจะหายไปจนไม่มีใครมองเห็น แม้เธอจะเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แต่ดวงจันทร์ก็ชื่นชมตัวเองที่เป็นส่วนสำคัญของท้องฟ้า ทุกคนต่างเฝ้ามองเธอด้วยความหลงใหล

วันหนึ่ง ดวงจันทร์รู้สึกว่าตัวเองควรมีอะไรที่พิเศษมากกว่านี้ เธออยากดูงดงามและโดดเด่นมากกว่าที่เคย เธอจึงลงมายังพื้นโลกเพื่อขอร้องแม่ของเธอ ผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นช่างเย็บผ้าที่ดีที่สุด

“แม่จ๋า ข้ามีเรื่องจะขอร้อง” ดวงจันทร์พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “แม่ช่วยตัดชุดที่พอดีกับตัวข้าได้ไหม? ข้าอยากดูสวยงามในทุกคืนที่ข้าปรากฏตัวบนท้องฟ้า”

แม่ของเธอที่นั่งเย็บผ้าอยู่เงยหน้าขึ้นจากงานในมือ เธอยิ้มพลางมองลูกสาวด้วยสายตาอ่อนโยน “ชุดหรือ? ลูกจ๋า แม่ยินดีจะช่วยเจ้าหากทำได้ แต่เจ้าแน่ใจหรือว่าข้าจะสามารถทำชุดที่พอดีกับตัวเจ้าจริง ๆ?”

ดวงจันทร์หัวเราะเสียงใส “แน่นอนสิแม่! ท่านเป็นช่างเย็บผ้าผู้เก่งกาจที่สุด ไม่มีอะไรที่ท่านทำไม่ได้ ข้าต้องการชุดที่สวยงามพอดีตัว ไม่ว่าจะเป็นคืนที่ข้าเป็นเพียงเสี้ยวเล็ก ๆ หรือคืนที่ข้ากลมโตเต็มดวง ชุดของข้าจะต้องพอดีกับรูปร่างของข้าเสมอ”

แม่ของเธอวางเข็มกับด้ายลงอย่างช้า ๆ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ลูกเอ๋ย ข้าเข้าใจความต้องการของเจ้า แต่เจ้าคิดหรือว่ารูปร่างของเจ้านั้นมั่นคง? วันนี้เจ้าผอมบางเหมือนเสี้ยวเล็ก ๆ หากข้าตัดชุดให้พอดีกับรูปร่างของเจ้าวันนี้ พรุ่งนี้เจ้าที่กลมโตเต็มดวงคงไม่สามารถสวมมันได้ หรือในคืนที่เจ้าหายไปจนไม่มีใครมองเห็น ข้าจะต้องทำชุดให้เจ้าอย่างไร?”

ดวงจันทร์นิ่งเงียบ เธอพยายามคิดตามคำพูดของแม่ “แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับท่านนี่นา แม่เป็นช่างฝีมือชั้นเลิศ ท่านสามารถปรับเปลี่ยนชุดของข้าตามรูปร่างได้ตลอดเวลามิใช่หรือ?”

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องดวงจันทร์กับแม่ของเธอ 2

แม่ของเธอส่ายหน้า “การเปลี่ยนแปลงไม่หยุดนิ่งของเจ้าทำให้ไม่มีชุดใดที่ข้าสามารถตัดให้พอดีได้ตลอดเวลา ลูกต้องเข้าใจว่าความไม่แน่นอนของเจ้านั่นเองที่ทำให้สิ่งที่เจ้าอยากได้กลายเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ข้าอยากช่วยเจ้า แต่เจ้าเองต่างหากที่ต้องหาความคงที่ในตัวเอง หากเจ้าเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ข้าคงไม่อาจสร้างสิ่งใดที่เหมาะสมกับเจ้าได้เลย”

ดวงจันทร์ฟังคำพูดของแม่อย่างตั้งใจ เธอเริ่มตระหนักได้ว่าการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของเธอเองทำให้สิ่งที่เธอขอนั้นเป็นไปไม่ได้ เธอถอนหายใจเบา ๆ และพูดขึ้น “ข้าเข้าใจแล้วแม่ ข้าอาจต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับในสิ่งที่ข้าเป็น แทนที่จะพยายามเปลี่ยนให้ทุกสิ่งรอบตัวเหมาะกับข้า”

แม่ของเธอยิ้มอย่างภูมิใจ “นั่นแหละคือคำตอบที่แท้จริง บางครั้งสิ่งที่สวยงามที่สุดไม่ได้มาจากการเปลี่ยนแปลงสิ่งรอบตัว แต่เป็นการยอมรับความเป็นตัวเองของเจ้า”

ตั้งแต่นั้นมา ดวงจันทร์จึงไม่ขอให้แม่ตัดชุดให้เธออีก และเธอก็เรียนรู้ที่จะชื่นชมตัวเองในทุกคืน ไม่ว่าจะเป็นวันที่เธอเป็นเพียงเสี้ยวเล็ก ๆ หรือคืนที่เธอกลมโตเต็มดวง

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องดวงจันทร์กับแม่ของเธอ 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความไม่แน่นอนและการเปลี่ยนแปลงที่ไม่หยุดนิ่ง อาจทำให้สิ่งที่เราปรารถนาหรือพยายามสร้างสรรค์กลายเป็นเรื่องยาก การเรียนรู้ที่จะยอมรับในความเป็นตัวของตัวเอง และปรับตัวให้เหมาะสมกับสถานการณ์ เป็นสิ่งสำคัญที่จะนำพาความสุขและความสมดุลมาสู่ชีวิต

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องดวงจันทร์กับแม่ของเธอ (อังกฤษ: The Moon and her Mother) เป็นนิทานกรีกโบราณที่มีการเชื่อมโยงกับอีสปอย่างไม่แน่ชัด นิทานเรื่องนี้ได้รับการจัดอยู่ในลำดับที่ 468 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) แม้ปัจจุบันนิทานนี้จะถูกรวมอยู่ในคอลเลกชันนิทานอีสปหลายฉบับ แต่ข้อคิดที่ได้จากนิทานแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับผู้เล่า การตีความในเรื่องจึงมีความหลากหลาย

ดวงจันทร์ขอให้มารดาทอเสื้อให้พอดีกับขนาดของเธอ แต่มารดาตอบว่า “ข้าจะทอให้พอดีได้อย่างไร? เพราะบางครั้งข้าเห็นเจ้ากลมเต็มดวง บางครั้งเป็นเพียงเสี้ยว และบางครั้งก็มีขนาดแค่เพียงครึ่งหนึ่งของเจ้าตอนเต็มดวง”

ข้อสรุปที่ คลีโอบูลัส (Cleobulus) ให้ไว้คือ “ไม่มีขอบเขตของทรัพย์สมบัติใดที่เหมาะสมกับคนโง่เขลาและไร้คุณค่า”

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องโมมัสเทพเจ้าแห่งการวิจารณ์

ในโลกที่เต็มไปด้วยความหลากหลายของความคิดและการสร้างสรรค์ การมองหาความสมบูรณ์แบบในทุกสิ่งอาจเป็นทั้งพรและคำสาป เช่นเดียวกับเรื่องราวของโมมัส เทพแห่งการวิพากษ์วิจารณ์ ผู้ซึ่งถูกเรียกตัวให้ตัดสินผลงานของเหล่าเทพเจ้าผู้ทรงพลัง

ความสามารถในการมองเห็นข้อบกพร่องของเขาจะช่วยสร้างสรรค์ หรือกลับกลายเป็นปัญหาใหญ่สำหรับตัวเขาเอง มาร่วมติดตามบทสรุปของการแข่งขันครั้งสำคัญนี้… กับนิทานอีสปเรื่อง

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องโมมัสเทพเจ้าแห่งการวิจารณ์

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องโมมัสเทพเจ้าแห่งการวิจารณ์

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ สรวงสวรรค์ เหล่าเทพเจ้าผู้ทรงพลังได้ร่วมกันจัดการแข่งขัน เพื่อพิสูจน์ว่าใครสามารถสร้างสิ่งที่สมบูรณ์แบบที่สุดในโลก ซุส ราชาแห่งเทพเจ้า โพไซดอน เทพแห่งท้องทะเล และอะธีนา เทพีแห่งปัญญา ต่างมุ่งมั่นที่จะสร้างสิ่งที่แสดงถึงพลังและความสามารถของตน

ซุสสร้างมนุษย์ขึ้นมา สิ่งมีชีวิตที่ดูชาญฉลาดและแข็งแรง มนุษย์มีรูปร่างสง่างาม มีสองมือสองเท้า และมีสมองสำหรับคิดวิเคราะห์

โพไซดอนสร้างวัวที่ทรงพลัง ด้วยร่างกายที่กำยำและเขาแหลมคม วัวตัวนี้เป็นสัตว์ที่ทั้งแข็งแรงและเชื่อว่ามีความสามารถที่จะช่วยมนุษย์ในด้านแรงงานและการต่อสู้

อะธีนาเลือกสร้างบ้าน ซึ่งเป็นสิ่งที่แสดงถึงความมั่นคงและความปลอดภัย บ้านที่เธอสร้างมีความแข็งแรง สวยงาม และพร้อมจะเป็นที่พักพิงสำหรับผู้คน

เมื่อทุกสิ่งเสร็จสมบูรณ์ เหล่าเทพเจ้าเรียกหาโมมัสเทพแห่งการวิพากษ์วิจารณ์ เพื่อให้เขามาเป็นผู้ตัดสิน โมมัสขึ้นชื่อเรื่องการมองหาข้อบกพร่องในทุกสิ่ง และด้วยนิสัยนี้เองที่ทำให้เหล่าเทพรู้สึกสนใจว่าเขาจะพูดอะไร

โมมัสเริ่มต้นด้วยการพิจารณามนุษย์ของซุส เขาเดินวนรอบมนุษย์ ก่อนจะยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า
“ซุส มนุษย์ของเจ้าดูเหมือนจะฉลาดก็จริง แต่ข้าคิดว่ามีข้อบกพร่องสำคัญ”

ซุสเลิกคิ้ว “ข้อบกพร่องอะไรหรือ โมมัส?”

โมมัสยิ้มอย่างมั่นใจ “พวกเขาควรมีช่องที่หน้าอก เพื่อให้มองเห็นความคิดในใจได้ เจ้าคิดดูสิ ถ้ามนุษย์สามารถมองเห็นความคิดของกันและกันได้ พวกเขาจะซื่อสัตย์ต่อกัน ไม่มีความลับหรือการโกหก มันคงจะทำให้พวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง”

ซุสขมวดคิ้วเล็กน้อย “มนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อความโปร่งใสเช่นนั้น แต่เพื่อเรียนรู้และเติบโตจากการกระทำของตนเอง ช่องที่เจ้าพูดถึงอาจทำลายความเป็นส่วนตัวของพวกเขา”

โมมัสยักไหล่แล้วเดินไปที่วัวของโพไซดอน เขาเพ่งมองมันอย่างใกล้ชิด ก่อนจะพูดขึ้น
“วัวตัวนี้ดูแข็งแกร่งก็จริง แต่โพไซดอน เจ้ารู้ไหมว่ามันมีข้อบกพร่องที่ชัดเจน?”

โพไซดอนหัวเราะเบา ๆ “ข้อบกพร่อง? ข้าสร้างมันให้แข็งแรงที่สุดแล้ว เจ้าคิดว่าวัวของข้าบกพร่องตรงไหน?”

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องโมมัสเทพเจ้าแห่งการวิจารณ์ 2

โมมัสชี้ไปที่เขาของวัวแล้วกล่าวว่า “ดวงตาของมันควรอยู่ใต้เขา จะทำให้มันเล็งเป้าหมายได้แม่นยำยิ่งขึ้นเวลาใช้เขาพุ่งชน ข้าคิดว่าวิธีนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของมันได้อีกมาก”

โพไซดอนหัวเราะเยาะ “ดวงตาของวัวอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมแล้ว โมมัส การเปลี่ยนดวงตาไปไว้ใต้เขา จะทำให้มันมองเห็นรอบข้างไม่ได้ เจ้าอย่าเพ้อเจ้อไปเลย”

โมมัสขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปดูบ้านของอะธีนา เขาใช้เวลาสำรวจอยู่นานก่อนจะเอ่ยขึ้น “อะธีนา บ้านของเจ้าดูแข็งแรงและงดงามมาก แต่ข้ากลับพบว่ามันขาดความยืดหยุ่น”

อะธีนาถามกลับ “เจ้าหมายถึงอะไร โมมัส? บ้านหลังนี้ถูกสร้างมาเพื่อปกป้องผู้อยู่อาศัยอย่างดีที่สุดแล้ว”

โมมัสกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นใจ “บ้านควรมีล้อ เพื่อให้เจ้าของสามารถเคลื่อนย้ายมันไปยังที่ที่พวกเขาต้องการได้ เจ้าคิดดูสิ หากบ้านสามารถขยับไปมาได้ พวกเขาจะสามารถหนีภัยพิบัติหรือย้ายไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัยกว่าได้อย่างง่ายดาย”

อะธีนาส่ายหัว “บ้านไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อเคลื่อนย้าย มันคือสัญลักษณ์ของความมั่นคงและปลอดภัย หากมันเคลื่อนที่ได้ง่าย มันก็จะไม่ใช่บ้านที่แท้จริง”

เหล่าเทพทั้งสามต่างรู้สึกไม่พอใจกับคำวิจารณ์ของโมมัส ซุสกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“โมมัส เจ้าหาแต่ข้อบกพร่องในทุกสิ่งที่เราได้สร้างขึ้น ทั้งที่สิ่งเหล่านี้ถูกสร้างมาเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะอย่าง เจ้าลืมไปหรือว่าความสมบูรณ์แบบไม่ได้หมายความว่ามันจะต้องเป็นไปตามความคิดของเจ้าเสมอไป?”

โพไซดอนเสริม “เจ้ามองแต่ความผิดพลาดโดยไม่ชื่นชมสิ่งที่ดีงาม โมมัส เจ้าลองหัดมองโลกด้วยสายตาใหม่เถิด ไม่เช่นนั้นเจ้าจะไม่มีวันได้เห็นคุณค่าของสิ่งใดเลย”

อะธีนากล่าวด้วยน้ำเสียงสุขุม “การวิจารณ์ที่ดีคือการสร้างสรรค์และช่วยพัฒนา แต่เจ้าเพียงวิจารณ์เพื่อจับผิด นั่นไม่ได้ช่วยอะไรเลย”

ท้ายที่สุด โมมัสถูกเหล่าเทพเจ้าเนรเทศออกจากสวรรค์ และเรื่องราวของเขากลายเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าการวิจารณ์ที่ขาดความสร้างสรรค์ ไม่เพียงแต่ทำร้ายผู้อื่น แต่ยังทำให้ตัวเองสูญเสียความน่าเชื่อถือไปด้วย

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องโมมัสเทพเจ้าแห่งการวิจารณ์ 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การวิจารณ์ที่ดีควรเป็นไปเพื่อสร้างสรรค์และช่วยพัฒนาสิ่งต่าง ๆ ไม่ใช่เพียงเพื่อจับผิดหรือแสดงความเหนือกว่า เพราะการมองหาข้อบกพร่องในทุกสิ่งโดยปราศจากความเข้าใจและการเห็นคุณค่า อาจทำให้เราไม่เพียงพลาดโอกาสในการชื่นชมสิ่งที่ดีงาม แต่ยังสูญเสียความเชื่อถือและความสัมพันธ์กับผู้อื่นอีกด้วย

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องโมมัสเทพเจ้าแห่งการวิจารณ์ (อังกฤษ:) โดยโมมัส (Momus) ในตำนานเทพเจ้ากรีกเป็นตัวแทนของการเสียดสีและการเย้ยหยัน ซึ่งเรื่องราวของเขาปรากฏในนิทานอีสปสองเรื่อง ในยุคเรเนซองส์ โมมัสถูกนำมาใช้ในงานวรรณกรรมหลายชิ้น เพื่อเป็นกระบอกเสียงในการวิพากษ์วิจารณ์การปกครองแบบทรราช ขณะที่ในภายหลังเขากลายเป็นผู้วิจารณ์สังคมร่วมสมัย ในบทละคร โมมัสได้เปลี่ยนบทบาทมาเป็นตัวละครที่สร้างความสนุกสนานโดยไม่ก่อให้เกิดอันตราย เป็นตัวแทนของการวิจารณ์เชิงขบขันที่ไม่ได้มุ่งร้าย

นิทานเรื่องนี้ได้รับการจัดอยู่ในลำดับที่ 100 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ)

ในนิทานนี้ โมมัสถูกขอให้ตัดสินผลงานของเทพเจ้าสามองค์ (ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามเวอร์ชัน) ได้แก่ มนุษย์ บ้าน และวัว โมมัสตำหนิผลงานทั้งหมด: มนุษย์ถูกตำหนิที่ไม่มีหัวใจที่มองเห็นได้ เพื่อให้ผู้อื่นสามารถตัดสินความคิดของเขาได้, บ้านถูกตำหนิที่ไม่มีล้อสำหรับเลี่ยงเพื่อนบ้านที่น่ารำคาญ, วัวถูกตำหนิที่ไม่มีตาอยู่บนเขาเพื่อใช้มองเห็นขณะพุ่งชน

นิทานเรื่องนี้จึงสะท้อนให้เห็นถึงความไร้เหตุผลของการวิจารณ์ที่ไม่มีที่สิ้นสุด

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องคนขี้เหนียวกับทองคำของเขา

ในหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง มีชายผู้หนึ่งที่หวงแหนทรัพย์สมบัติของตนเองยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ด้วยความพยายามเก็บหอมรอมริบอย่างสุดชีวิต เขาได้ครอบครองสิ่งที่คิดว่าล้ำค่าที่สุด แต่สิ่งที่เขาเลือกจะทำกับมัน กลับนำพาเรื่องราวที่ไม่มีใครคาดคิด

เรื่องราวของชายขี้เหนียวผู้ทุ่มเททั้งชีวิตให้กับสมบัติก้อนหนึ่ง และดูว่าความหวงแหนจะนำเขาไปพบกับอะไรในท้ายที่สุด… กับนิทานอีสปเรื่องคนขี้เหนียวกับทองคำของเขา

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องคนขี้เหนียวกับทองคำของเขา

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องคนขี้เหนียวกับทองคำของเขา

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ หมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง มีชายคนหนึ่งที่ขึ้นชื่อเรื่องความขี้เหนียวเป็นที่สุด เขามีชีวิตอยู่อย่างประหยัดสุดขีด กินน้อย ใช้น้อย และแทบไม่เคยใช้เงินไปกับสิ่งใดที่ไม่จำเป็น ชายคนนี้หลงใหลในความมั่งคั่ง และใฝ่ฝันที่จะเก็บเงินทองให้ได้มากที่สุดในชีวิตของตนเอง

วันหนึ่ง หลังจากสะสมเงินทองมาหลายปี เขาตัดสินใจขายทรัพย์สินทุกอย่างที่มี ทั้งบ้าน เฟอร์นิเจอร์ และของใช้ทั้งหมด เพื่อแลกกับทองคำก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง

ทองก้อนนั้นเป็นสิ่งที่เขาภูมิใจที่สุดในชีวิต ชายขี้เหนียวถือมันไว้ในมือพลางพูดกับตัวเองว่า “ในที่สุด ข้าก็มีสมบัติที่ล้ำค่า ทองคำก้อนนี้จะอยู่กับข้าไปตลอดชีวิต ข้าจะไม่มีวันยอมให้ใครแตะต้องมันเด็ดขาด!”

แต่เขารู้ดีว่าการเก็บทองคำก้อนใหญ่ไว้กับตัวอาจเป็นอันตราย เขาจึงหาที่ซ่อนอย่างมิดชิด หลังจากคิดอยู่หลายวัน ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจขุดหลุมลึก ๆ ใกล้กำแพงเมืองที่ห่างไกลผู้คน แล้วฝังทองคำก้อนนั้นเอาไว้

นับจากวันนั้นเป็นต้นมา ชายขี้เหนียวจะไปที่หลุมนั้นทุกเช้าตรู่ เขาค่อย ๆ ขุดเอาทองคำขึ้นมาดู แล้วจ้องมองมันด้วยสายตาเปี่ยมสุข จากนั้นจึงฝังมันกลับไปที่เดิม ทำเช่นนี้ทุกวันไม่มีขาด “ทองคำของข้า ข้าไม่ต้องใช้มันหรอก แค่ได้เห็นเจ้าก็ทำให้ข้ามีความสุขเหลือเกิน” เขาพูดกับตัวเองอย่างภาคภูมิใจ

แต่ชายขี้เหนียวหารู้ไม่ว่า การกระทำแปลก ๆ ของเขาได้สะดุดตาของคนงานคนหนึ่งที่ทำงานแถวนั้น คนงานผู้นั้นสังเกตเห็นว่าเขาไปที่จุดเดิมทุกวัน ทำท่าขุดดินแล้วกลับไปพร้อมรอยยิ้มแปลก ๆ จึงเริ่มสงสัยว่าใต้พื้นดินนั้นจะมีสิ่งใดซ่อนอยู่

คืนหนึ่ง หลังจากชายขี้เหนียวกลับไปแล้ว คนงานผู้นั้นแอบย่องมาที่กำแพงเมืองและขุดหลุมที่ชายขี้เหนียวไปนั่งอยู่ทุกวัน เมื่อขุดลงไปได้ไม่นาน เขาก็พบกับทองคำก้อนใหญ่ตามที่คาดไว้ “ฮ่าฮ่า! ทองคำก้อนโตเช่นนี้ ข้าคงรวยไปตลอดชีวิต!” เขาหัวเราะออกมาด้วยความดีใจ ก่อนจะรีบนำทองก้อนนั้นหนีไปทันที

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องคนขี้เหนียวกับทองคำของเขา 2

รุ่งเช้า ชายขี้เหนียวกลับมาที่หลุมทองของเขาเช่นทุกวัน เขาค่อย ๆ ขุดดินออกด้วยความตื่นเต้น แต่แล้วใบหน้าของเขาก็ซีดเผือด ทองคำก้อนนั้นหายไปแล้ว! เขายืนตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง

ก่อนจะล้มลงนั่งกอดหัวเข่าร้องไห้เสียงดังลั่น เขาทุบพื้นดินและดึงผมของตัวเองพลางร้องว่า “โอ้ ทองคำของข้า! ใครกันที่ขโมยสมบัติอันล้ำค่าของข้าไป? ชีวิตข้าสิ้นแล้ว ทองคำของข้า!”

เสียงร้องไห้ของชายขี้เหนียวดังไปไกล จนผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาเริ่มหยุดดูด้วยความสงสัย ชายคนหนึ่งเดินเข้าไปหาเขาและเอ่ยถาม “เกิดอะไรขึ้นหรือท่าน? ทำไมท่านถึงร้องไห้โศกเศร้าเช่นนี้?”

ชายขี้เหนียวหันมาทั้งน้ำตาแล้วเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง เขาเล่าว่าเขาขายทุกสิ่งที่มีเพื่อซื้อทองคำ และนำมันมาฝังไว้ตรงนี้ แต่ตอนนี้มันกลับหายไปเสียแล้ว

ชายผู้นั้นฟังจบก็ส่ายหัวพลางหัวเราะเบา ๆ “เจ้าหยุดร้องไห้ได้แล้ว! ทำไมเจ้าถึงเศร้าโศกนักล่ะ? เอาหินก้อนหนึ่งมาวางไว้ที่เดิมสิ แล้วทำเหมือนว่าทองยังอยู่ตรงนั้นก็พอ เพราะอย่างไรเจ้าก็ไม่เคยใช้มันอยู่ดี!”

ชายขี้เหนียวเงยหน้าขึ้นมองผู้พูดด้วยความตกตะลึง เขาอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออก เพราะสิ่งที่ชายผู้นั้นพูดเป็นความจริงมาตลอด ทองคำที่เขาฝังไว้เป็นเพียงสิ่งที่เขาเอาไว้ชื่นชมเท่านั้น เขาไม่เคยใช้มันทำอะไรเลยแม้แต่น้อย

ตั้งแต่นั้นมา ชาวบ้านต่างเล่าขานเรื่องราวของชายขี้เหนียวผู้เสียทองคำที่เขาหวงแหน แต่ไม่เคยใช้ประโยชน์มันเลยแม้แต่นิดเดียว

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องคนขี้เหนียวกับทองคำของเขา 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ทรัพย์สมบัติใด ๆ จะไร้ค่า หากผู้ครอบครองไม่รู้จักนำมันไปใช้ให้เกิดประโยชน์ เพราะการเก็บสะสมไว้เฉย ๆ ก็ไม่ต่างอะไรกับการไม่มีสิ่งนั้นเลย ความมั่งคั่งที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่การครอบครอง แต่คือการใช้มันอย่างเหมาะสมเพื่อสร้างคุณค่าให้กับตนเองและผู้อื่น การเป็นเจ้าของสิ่งใดก็ตามย่อมไร้ความหมาย หากไม่รู้จักนำมันไปใช้ให้เกิดประโยชน์

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องคนขี้เหนียวกับทองคำของเขา (อังกฤษ: The Miser and his Gold) เป็นหนึ่งในนิทานอีสปที่สะท้อนให้เห็นถึงความอ่อนแอของมนุษย์อย่างชัดเจน โดยเฉพาะการใช้ทรัพย์สินอย่างผิดวิธี เนื่องจากเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับมนุษย์ล้วน ๆ ข้อคิดจึงสามารถถ่ายทอดออกมาได้โดยตรงผ่านบทสนทนา ไม่ต้องตีความจากสถานการณ์เหมือนนิทานที่มีสัตว์เป็นตัวละคร นิทานเรื่องนี้ได้รับการจัดอยู่ในลำดับที่ 225 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ)

เรื่องราวหลักของนิทานนี้เล่าถึงชายขี้เหนียวคนหนึ่งที่นำทรัพย์สมบัติทั้งหมดมาเปลี่ยนเป็นก้อนทองคำแล้วนำไปฝังไว้ใต้ดิน เขาแวะเวียนกลับมาดูสมบัติของเขาทุกวันจนกระทั่งมีคนแอบสังเกตเห็นและขโมยทองก้อนไป เมื่อชายขี้เหนียวพบว่าทองของเขาหายไป เขาก็ร้องไห้คร่ำครวญอย่างน่าสงสาร

เพื่อนบ้านคนหนึ่งปลอบเขาว่า “เจ้าจะเสียใจไปทำไม? เอาหินก้อนหนึ่งไปฝังไว้แทน หรือกลับมาดูหลุมเปล่านี้ก็ได้ เพราะมันก็ไม่ต่างอะไรจากการมีทองอยู่ตรงนั้นเลย ในเมื่อทองของเจ้าก็ไม่ได้ถูกนำไปใช้ประโยชน์อะไรเลย”

ทรัพย์สมบัติย่อมไร้ค่า หากไม่ถูกนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองหรือผู้อื่น

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องสุนัขจอมซุกซนกับปลอกคอกระดิ่ง

ในโลกนี้ หลายครั้งที่เรามักเข้าใจผิดว่าการเป็นที่สนใจของผู้อื่นคือความภาคภูมิใจและเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ แต่แท้จริงแล้ว สิ่งที่ทำให้เราโดดเด่นนั้นอาจไม่ได้มาจากสิ่งดีงามเสมอไป เช่นเดียวกับเรื่องราวของเจ้าสุนัขจอมซุกซนตัวนี้ ที่คิดว่าเสียงกระดิ่งของมันคือสัญลักษณ์แห่งความพิเศษ

แต่กลับกลายเป็นสิ่งที่ประกาศความผิดพลาดของตัวเองให้คนทั้งโลกรู้ กับนิทานอีสปเรื่องสุนัขจอมซุกซนกับปลอกคอกระดิ่ง

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องสุนัขจอมซุกซนกับปลอกคอกระดิ่ง

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องสุนัขจอมซุกซนกับปลอกคอกระดิ่ง

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง มีสุนัขตัวหนึ่งที่ขึ้นชื่อเรื่องความซุกซน มันชอบก่อกวนชาวบ้าน ไล่เห่าสัตว์เลี้ยง และสร้างความเดือดร้อนไปทั่ว จนผู้คนต่างเอือมระอากับพฤติกรรมของมัน เมื่อใดก็ตามที่มันวิ่งผ่านไป มักจะมีเสียงบ่นตามหลังเสมอ แต่เจ้าสุนัขก็ไม่เคยรู้สึกผิด กลับสนุกสนานกับสิ่งที่มันทำ

วันหนึ่ง เจ้าของของมันซึ่งเป็นชายชรา คิดหาวิธีที่จะให้คนอื่นระวังตัวจากเจ้าสุนัขจอมซน เขานำกระดิ่งทองเหลืองขนาดพอดีมาผูกติดไว้ที่ปลอกคอของมัน เวลาที่มันวิ่งไปที่ไหน เสียงกระดิ่งก็จะดังกรุ๊งกริ๊งเป็นสัญญาณเตือนให้ผู้คนได้ยินและหลบหลีกมันได้ทันเวลา เมื่อเจ้าสุนัขได้ยินเสียงกระดิ่งครั้งแรก มันก็แปลกใจอยู่บ้าง แต่ไม่นานมันก็รู้สึกชิน และกลับคิดว่าเสียงกระดิ่งนั้นเป็นสัญลักษณ์ของความโดดเด่น

“ดูสิ ทุกคนหันมามองข้า พวกเขาต้องได้ยินเสียงข้าก่อนใคร!” มันพูดกับตัวเองอย่างภาคภูมิใจ ตั้งแต่นั้นมา มันยิ่งเดินไปทั่วหมู่บ้านด้วยท่าทางโอ้อวด พร้อมกับทำให้กระดิ่งส่งเสียงดังขึ้นอีก “กรุ๊งกริ๊ง! กรุ๊งกริ๊ง! ข้าเป็นสุนัขที่มีชื่อเสียงที่สุดในหมู่บ้าน ไม่มีใครไม่รู้จักข้า!” เจ้าสุนัขคิดอย่างลำพองใจ

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องสุนัขจอมซุกซนกับปลอกคอกระดิ่ง 2

วันหนึ่ง ในขณะที่มันกำลังเดินอวดเสียงกระดิ่งไปตามทาง มันได้พบกับสุนัขแก่ตัวหนึ่งที่นอนพักอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ สุนัขแก่มองเจ้าสุนัขซุกซนที่เดินเข้ามาใกล้พร้อมกับเสียงกระดิ่งดังอยู่ตลอดเวลา สุนัขแก่มองดูมันนิ่ง ๆ แล้วจึงเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าหมาน้อย เจ้าช่างดูภาคภูมิใจเหลือเกินกับเสียงกระดิ่งนั่น แต่เจ้าเคยถามตัวเองบ้างไหมว่าทำไมเจ้าถึงต้องถูกผูกกระดิ่งไว้?”

เจ้าสุนัขซุกซนหยุดชะงัก มองสุนัขแก่ด้วยความประหลาดใจ “ทำไมข้าถึงต้องถามล่ะ? กระดิ่งนี้ทำให้ทุกคนรู้จักข้า ทุกคนต้องได้ยินเสียงของข้า ไม่มีใครไม่สังเกตเห็นข้า มันแสดงว่าข้าไม่เหมือนสุนัขตัวอื่นไงล่ะ!” มันพูดพลางสั่นหัวให้กระดิ่งดังขึ้นอีก

สุนัขแก่หัวเราะเบา ๆ ก่อนจะพูดอย่างสุขุม “เจ้าน่าสมเพชนัก เจ้าภูมิใจในสิ่งที่เป็นความอับอายโดยไม่รู้ตัว นี่ไม่ใช่เครื่องหมายแห่งเกียรติยศหรือความพิเศษอะไรหรอก กระดิ่งที่ผูกอยู่ที่คอเจ้าก็เพื่อประกาศให้ทุกคนรู้ว่าพวกเขาต้องหลบหนีจากเจ้า เพราะเจ้าเป็นสุนัขจอมก่อกวนต่างหาก!”

เจ้าสุนัขซุกซนนิ่งอึ้งไปทันที มันมองสุนัขแก่ด้วยความตกตะลึง คำพูดนั้นดังสะท้อนในหัวของมัน เสียงกระดิ่งที่มันเคยภาคภูมิใจ แท้จริงแล้วเป็นสัญลักษณ์ของความน่ารำคาญที่ทุกคนอยากหลบหนี มันเดินคอตกกลับไปโดยไม่สั่นกระดิ่งให้ดังอีก

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เจ้าสุนัขก็เปลี่ยนไป มันเลิกทำตัวซุกซนและพยายามทำตัวให้เป็นที่รักของทุกคน มันเรียนรู้ว่า สิ่งที่ควรภาคภูมิใจไม่ใช่สิ่งที่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน แต่คือการทำสิ่งที่ดีและเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นต่างหาก

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องสุนัขจอมซุกซนกับปลอกคอกระดิ่ง 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การกระทำที่ก่อความเดือดร้อนให้ผู้อื่นไม่ใช่สิ่งที่ควรภาคภูมิใจ เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่ได้ทำให้เราดูยิ่งใหญ่หรือพิเศษในสายตาใคร แต่กลับทำให้ข้อบกพร่องและความน่ารำคาญของเราถูกเปิดเผยชัดเจนยิ่งขึ้น การเป็นคนดีและไม่สร้างปัญหาให้กับผู้อื่นต่างหาก ที่ทำให้เราได้รับความเคารพและเป็นที่รักอย่างแท้จริง

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

สุนัขจอมซุกซนกับปลอกคอกระดิ่ง (อังกฤษ: The Mischievous Dog and his Bell) เป็นหนึ่งในนิทานอีสปที่มีเวอร์ชันภาษากรีกโดย บาบริอุส (Babrius) และเวอร์ชันภาษาละตินโดย อาวิอานุส (Avianus) นิทานเรื่องนี้ได้รับการจัดอยู่ในลำดับที่ 332 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ)

เนื้อเรื่องเล่าถึงสุนัขที่ชอบกัดขาผู้คนอยู่เสมอ เจ้าของจึงผูกระฆังไว้ที่คอสุนัขเพื่อเตือนให้ผู้คนรู้ล่วงหน้าถึงการมาของมัน แต่สุนัขกลับเข้าใจผิด คิดว่าระฆังเป็นรางวัลสำหรับตนเอง จึงเดินโอ้อวดไปทั่วถนน จนกระทั่งสุนัขแก่ตัวหนึ่งเตือนมันว่า “ระฆังนี้ไม่ใช่เครื่องหมายของเกียรติยศ แต่คือสัญลักษณ์แห่งความอัปยศของเจ้า”

ในยุควิกตอเรีย ผู้เรียบเรียงนิทานได้สรุปข้อคิดไว้ว่า “ชื่อเสียงอื้อฉาวมักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นความโด่งดัง”

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องชายหนุ่มกับภรรยาทั้งสอง

ในโลกที่เต็มไปด้วยความต้องการและมุมมองที่หลากหลาย การพยายามทำให้ทุกคนพึงพอใจอาจกลายเป็นภาระที่หนักอึ้งสำหรับใครบางคน เช่นเดียวกับชายในเรื่องราวนี้ที่ต้องเผชิญกับความขัดแย้งที่มองไม่เห็น จนท้ายที่สุด

ความพยายามของเขากลับกลายเป็นสิ่งที่นำมาซึ่งการสูญเสีย มาร่วมติดตามเรื่องราวของนิทานเรื่องนี้ที่จะเผยให้เห็นบทเรียนอันล้ำค่าเกี่ยวกับตัวตนและความสมดุลในชีวิต กับนิทานอีสปเรื่องชายหนุ่มกับภรรยาทั้งสอง

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องชายหนุ่มกับภรรยาทั้งสอง

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องชายหนุ่มกับภรรยาทั้งสอง

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ หมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ชายหนุ่มผู้มีรูปลักษณ์อันหล่อเหล่าและเสน่ห์เป็นที่จับตามองของหญิงสาว ได้แต่งงานกับภรรยาสองคนที่มีนิสัยและอายุแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ภรรยาคนโตเป็นหญิงวัยกลางคน สุขุมและมากประสบการณ์ เธอหวังให้ชีวิตคู่มั่นคงและเรียบง่าย ส่วนภรรยาคนเล็กเป็นหญิงสาวอ่อนวัย สดใสร่าเริง เธอเต็มไปด้วยพลังและความต้องการที่จะใช้ชีวิตอย่างสนุกสนาน

ชายหนุ่มพยายามแบ่งเวลาระหว่างทั้งสองคนอย่างยุติธรรม เขาตื่นแต่เช้าเพื่ออยู่กับภรรยาคนโต พูดคุยเรื่องราวในชีวิตด้วยกัน ส่วนในตอนเย็น เขากลับไปอยู่กับภรรยาคนเล็ก สนุกสนานหัวเราะและทำกิจกรรมที่เหมาะกับวัยของเธอ

แต่สิ่งที่ชายหนุ่มไม่รู้คือ ทั้งสองภรรยามีเป้าหมายซ่อนเร้นเกี่ยวกับเขา คนละแบบ

คืนหนึ่ง ในขณะที่ชายหนุ่มนั่งอยู่บนเก้าอี้ใกล้เตาผิง ภรรยาคนโตจึงเริ่มพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ท่านพี่… ข้ารู้สึกว่าเจ้าดูเด็กเกินไปสำหรับข้า ข้ากลัวผู้คนจะล้อเลียนว่าข้าแก่เกินกว่าเหมาะสมกับเจ้า”

“เจ้าพูดอะไรอย่างนั้น?” ชายหนุ่มตอบพลางหัวเราะเบา ๆ “ข้าไม่ได้มองว่าเจ้าดูแก่เลย เจ้ายังงดงามสำหรับข้าเสมอ”

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องชายหนุ่มกับภรรยาทั้งสอง 2

แต่หญิงคนโตยังยิ้มพร้อมกับลูบหัวของชายหนุ่ม เธอใช้ช่วงเวลานั้นค่อย ๆ ดึงผมดำของเขาออกทีละเส้นสองเส้น โดยอ้างว่าเธอกำลังช่วยจัดทรงผมให้ดูเรียบร้อย

อีกวันหนึ่ง ชายหนุ่มกลับไปหาภรรยาคนเล็กในช่วงเย็น หญิงสาวที่ร่าเริงนั่งข้าง ๆ เขาพลางพูดด้วยน้ำเสียงสดใส”ท่านพี่ ข้ารู้สึกว่าผมหงอกของท่านทำให้ท่านดูแก่เกินไปสำหรับข้า! ถ้าคนอื่นเห็น พวกเขาคงคิดว่าท่านแก่จนเหมาะจะเป็นพ่อของข้าเสียมากกว่า”

“ฮ่าฮ่า ข้าจะดูแก่ได้อย่างไร ข้าเพิ่งผ่านวัยหนุ่มมาไม่นานนี่เอง” ชายหนุ่มตอบกลับพร้อมหัวเราะ “อย่างนั้นหรือ? งั้นให้ข้าช่วยดูแลท่าน” เธอกล่าว พลางลูบผมเขาอย่างแผ่วเบา ระหว่างนั้น เธอค่อย ๆ ดึงผมหงอกออกทีละเส้นสองเส้น

วันเวลาผ่านไป ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกว่าผมของเขาดูบางลง แต่เขาไม่ทันได้ใส่ใจ จนกระทั่งเช้าวันหนึ่ง เขาตื่นขึ้นและพบว่าหัวของเขาเกลี้ยงเกลา ไม่มีผมเหลืออยู่เลยแม้แต่เส้นเดียว! เขาตกใจจนรีบหยิบกระจกขึ้นมาส่องดู “โอ้โห! เกิดอะไรขึ้นกับข้ากันนี่? ข้าหัวล้านเสียแล้ว!”

เขารีบเรียกทั้งสองภรรยามาถามหาความจริง เมื่อพวกเธอสารภาพเรื่องที่ต่างฝ่ายต่างดึงผมของเขาไปเพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเอง ชายหนุ่มจึงได้แต่ส่ายหัวและกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ
“พวกเจ้าไม่ได้คิดถึงข้าเลย… พวกเจ้าเพียงแค่พยายามเปลี่ยนข้าให้เป็นสิ่งที่พวกเจ้าต้องการ แต่ในที่สุด ข้ากลับสูญเสียทุกอย่างไปทั้งผม และความสมดุลในชีวิต”

ทั้งสองภรรยาต่างรู้สึกผิดและกล่าวคำขอโทษ แต่สิ่งที่เสียไปแล้วไม่สามารถเรียกคืนกลับมาได้

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องชายหนุ่มกับภรรยาทั้งสอง 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การพยายามทำให้ทุกคนพอใจโดยไม่คำนึงถึงตัวตนของเราเอง อาจทำให้เราสูญเสียสิ่งสำคัญในชีวิต เราควรยืนหยัดในความเป็นตัวเอง และไม่ปล่อยให้ผู้อื่นเปลี่ยนแปลงเราตามความต้องการของพวกเขา เพราะในที่สุด ผู้ที่ไม่ยึดมั่นในคุณค่าและตัวตนของตนเอง ย่อมเสียทั้งสิ่งสำคัญและความสุขในชีวิต

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องชายหนุ่มกับภรรยาทั้งสอง (อังกฤษ: The Man with Two Mistresses) เป็นนิทานอีสปเรื่องหนึ่งที่พูดถึงจุดอ่อนของมนุษย์โดยตรง ได้รับการจัดอยู่ในลำดับที่ 31 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ)

มีหญิงคนหนึ่งซึ่งมีชายวัยกลางคนเป็นคนรัก แม้ตัวเธอเองจะไม่ได้สาวสะพรั่งอีกต่อไป แต่เธอก็ปกปิดอายุของตนได้อย่างแยบยล ขณะเดียวกันก็มีหญิงสาวงดงามอีกคนที่ชายผู้นั้นหลงใหล ทั้งสองต่างต้องการทำตัวให้ดูเหมาะสมสำหรับเขา จึงผลัดกันถอนผมของเขา

หญิงสาวถอนผมหงอกสีเทาออกทั้งหมดเพื่อทำให้เขาดูอ่อนเยาว์ ส่วนหญิงวัยกลางคนถอนผมสีดำทั้งหมดเพื่อให้เขาดูมีอายุมากขึ้น ชายผู้นั้นคิดว่าการดูแลของทั้งสองช่วยเสริมรูปลักษณ์ของเขาให้ดีขึ้น แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นหัวล้านเพราะไม่มีผมเหลืออยู่เลย

การพยายามเอาใจทุกคนอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องชายหนุ่มกับสิงโต

ในโลกที่เต็มไปด้วยการแสดงความเหนือกว่าและการโอ้อวด หลายครั้งสิ่งที่เราเห็นหรือได้ยินอาจไม่ได้สะท้อนความจริงทั้งหมด การพิจารณาแหล่งที่มาของหลักฐานและความน่าเชื่อถือจึงเป็นสิ่งสำคัญ

นิทานเรื่องนี้จะพาเราไปสำรวจบทเรียนที่แฝงอยู่ในความขัดแย้งระหว่างชายและสิงโต ที่ต่างฝ่ายต่างพยายามพิสูจน์ความเหนือกว่าของตน… กับนิทานอีสปเรื่องชายหนุ่มกับสิงโต

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องชายหนุ่มกับสิงโต

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องชายหนุ่มกับสิงโต

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ป่ากว้างใหญ่ไพศาลแห่งหนึ่ง มีชายหนุ่มผู้หนึ่งเดินทางออกสำรวจธรรมชาติ ด้วยความมั่นใจในตนเอง เขารู้สึกว่าไม่มีสิ่งใดในโลกที่มนุษย์อย่างเขาไม่สามารถเอาชนะได้ ระหว่างที่เขาเดินไปในป่า เขาได้พบกับสิงโตตัวหนึ่งซึ่งกำลังดื่มน้ำอยู่ที่ลำธาร

ชายหนุ่มหยุดยืนด้วยความตกใจ แต่เมื่อเห็นว่าสิงโตไม่ได้ทำท่าทางคุกคาม เขาจึงเอ่ยทักทายขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แฝงความท้าทายเล็กน้อย
“สิงโตเอ๋ย เจ้าคงรู้ดีว่าเจ้าคือสัตว์ที่แข็งแกร่งที่สุดในป่า แต่เจ้าคงต้องยอมรับว่า มนุษย์คือเผ่าพันธุ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกนี้”

สิงโตเงยหน้าขึ้นจากลำธาร เลียริมฝีปากช้า ๆ ก่อนจะตอบกลับอย่างสุขุม “ข้าคือราชาแห่งสัตว์ป่า และข้าคงไม่คิดเถียงหรอกว่ามนุษย์มีสติปัญญา แต่ในเรื่องพละกำลัง เจ้าอย่าได้คิดว่ามนุษย์จะเหนือกว่าสิงโต”

ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ และพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ “ข้าไม่ได้พูดถึงแค่พละกำลังเพียงอย่างเดียว แต่เรามนุษย์ยังใช้สติปัญญาในการสร้างเครื่องมือเพื่อควบคุมและเอาชนะสัตว์ทุกชนิดในโลก ไม่ว่าจะเป็นช้าง เสือ หรือแม้กระทั่งสิงโตอย่างเจ้า”

“เจ้ามั่นใจนักหรือ?” สิงโตตอบกลับ “ที่เจ้าพูดมา อาจเป็นเพียงคำโอ้อวดของมนุษย์ก็เป็นได้ ข้าสงสัยนักว่าความจริงแล้ว พวกเจ้าจะเอาชนะเราได้อย่างแท้จริงหรือเปล่า”

ชายหนุ่มยิ้มกว้าง “เอาล่ะ ข้าจะพิสูจน์ให้เจ้าเห็น”

ระหว่างที่ทั้งสองเดินไปตามทาง ชายหนุ่มพยายามเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ถึงชัยชนะของมนุษย์เหนือสัตว์ สิงโตฟังอย่างเงียบ ๆ โดยไม่ได้แสดงท่าทีใดจนกระทั่งพวกเขามาถึงจุดหนึ่งที่มีรูปปั้นหินขนาดใหญ่ตั้งตระหง่าน รูปปั้นนั้นแสดงภาพชายคนหนึ่งกำลังใช้มือเปล่าปราบสิงโตลงกับพื้น

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องชายหนุ่มกับสิงโต 2

ชายหนุ่มรีบชี้ไปที่รูปปั้นและกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ “ดูนี่สิ สิงโตเอ๋ย! รูปปั้นนี้คือหลักฐานว่า มนุษย์เรายิ่งใหญ่และแข็งแกร่งกว่าสิงโตอย่างเจ้า”

สิงโตจ้องมองรูปปั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ และกล่าวขึ้น “เจ้าไม่เห็นหรือว่ารูปปั้นนี้สร้างโดยมนุษย์? หากพวกเราสิงโตมีช่างแกะสลักเช่นเดียวกับมนุษย์ รูปปั้นที่เจ้าจะเห็นคงเป็นภาพที่สิงโตกำลังปราบมนุษย์แทน!”

ชายหนุ่มนิ่งเงียบไป ความมั่นใจในคำพูดของตนเริ่มสั่นคลอน คำพูดของสิงโตทำให้เขาตระหนักว่าหลักฐานที่เขาภูมิใจนำมาอ้างนั้น เป็นเพียงมุมมองของมนุษย์ฝ่ายเดียว

หลังจากนั้น ชายหนุ่มและสิงโตเดินทางต่อโดยไม่ได้พูดอะไรอีก เสียงก้าวเดินเบา ๆ สลับกับเสียงลมพัดผ่านใบไม้ ทำให้การเดินทางดูยาวนานยิ่งขึ้น ภายในใจของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความคิดที่ประดังประเดเกี่ยวกับคำพูดของสิงโต เขารู้สึกละอายที่ตนเองโอ้อวดและมองผู้อื่นจากมุมมองเพียงด้านเดียว

เมื่อถึงจุดที่พวกเขาต้องแยกทางกัน สิงโตหันมาพูดกับชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลขึ้น “มนุษย์เอ๋ย จงจำไว้ว่า ไม่ว่าผู้ใดในโลกนี้ต่างก็มีมุมมองของตนเอง หากเจ้าอยากเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่จริง เจ้าต้องปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความซื่อสัตย์และยุติธรรม”

ชายหนุ่มยิ้มบาง ๆ และพยักหน้า “ข้าจะจำคำพูดของเจ้าไว้ สิงโต”

พวกเขาต่างแยกย้ายไปในทิศทางของตนเอง แต่ชายหนุ่มกลับไปพร้อมกับบทเรียนสำคัญที่เขาจะไม่มีวันลืม

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องชายหนุ่มกับสิงโต 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความจริงมักมีหลายมุมมอง และสิ่งที่เราเห็นหรือเชื่ออาจเป็นเพียงมุมมองของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเท่านั้น การตัดสินสิ่งใดโดยไม่พิจารณาอย่างรอบด้านอาจทำให้เรามองข้ามความจริงที่แท้จริงไป นอกจากนี้ การโอ้อวดถึงความเหนือกว่าของตนเองไม่ได้ทำให้เรายิ่งใหญ่ แต่กลับแสดงถึงความไม่เข้าใจในความเป็นจริง ความซื่อสัตย์และความยุติธรรมต่อผู้อื่นต่างหากที่ทำให้เราเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในสายตาของผู้อื่น และเป็นผู้ชนะอย่างแท้จริง

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เรื่องราวหรือหลักฐานมักสะท้อนมุมมองของผู้สร้าง และไม่ใช่ความจริงที่แท้จริงเสมอไป เราไม่ควรด่วนสรุปความจริงจากสิ่งที่เห็นเพียงด้านเดียว แต่ควรเปิดใจพิจารณาและมองสิ่งต่าง ๆ อย่างรอบด้าน ความซื่อสัตย์และการมองด้วยใจที่เป็นธรรมจะทำให้เราเข้าใจความจริงได้ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องชายหนุ่มกับสิงโต (อังกฤษ: The Man and the Lion) เป็นหนึ่งในนิทานอีสปและได้รับการจัดอยู่ในลำดับที่ 284 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) ในดัชนีเพอร์รี อีกชื่อหนึ่งของนิทานนี้คือ “สิงโตกับรูปปั้น” นิทานนี้มีข้อคิดว่า ควรพิจารณาแหล่งที่มาของหลักฐานก่อนที่จะยอมรับมัน และสอนให้เราซื่อสัตย์และหลีกเลี่ยงการโอ้อวด

ในเรื่องเล่า ชายคนหนึ่งและสิงโตกำลังเดินทางไปด้วยกันและโต้เถียงกันว่าใครเหนือกว่ากัน ชายจึงชี้ไปที่รูปปั้นที่แสดงภาพชายคนหนึ่งกำลังปราบสิงโตและใช้เป็นหลักฐานสนับสนุนความคิดเห็นของเขา ในเวอร์ชันภาษากรีก สิงโตตอบโต้ว่า “หากสิงโตสามารถแกะสลักได้บ้าง เจ้าคงได้เห็นภาพที่พวกข้าเป็นผู้ชนะแล้ว”

ความซื่อสัตย์มีน้ำหนักมากกว่าการโอ้อวด

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องสิงโตกับหมูป่า

ในวันที่อากาศร้อนอบอ้าว การหาแหล่งน้ำกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสัตว์ป่าทุกตัว สิงโตผู้ยิ่งใหญ่และหมูป่าผู้ดุดันต่างมุ่งหน้าไปยังแหล่งน้ำเดียวกัน แต่เมื่อทั้งสองมาถึงพร้อมกัน ความกระหายและศักดิ์ศรีของพวกมันกลับกลายเป็นชนวนของความขัดแย้ง

เรื่องราวที่ตามมานี้จะเผยให้เห็นบทเรียนอันล้ำค่าเกี่ยวกับการประนีประนอมและผลลัพธ์ของความไม่ยั้งคิดกับนิทานอีสปเรื่องสิงโตกับหมูป่า

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องสิงโตกับหมูป่า

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องสิงโตกับหมูป่า

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในวันที่อากาศร้อนอบอ้าว แหล่งน้ำกลางป่ากลายเป็นที่หมายของสัตว์หลายชนิด สิงโตผู้ยิ่งใหญ่เดินมุ่งหน้าไปยังแหล่งน้ำด้วยก้าวอันมั่นคง มันกระหายน้ำอย่างมากจากการเดินตรวจอาณาเขตตั้งแต่เช้า ขณะเดียวกัน หมูป่าตัวใหญ่ที่หิวน้ำเช่นกันก็เดินมาจากอีกฝั่ง ด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินทางไกล ทั้งสองมาถึงแหล่งน้ำในเวลาเดียวกัน

สิงโตหยุดยืนตรงริมแหล่งน้ำ มันมองหมูป่าที่เพิ่งมาถึงและคำรามเบา ๆ เพื่อแสดงความเหนือกว่า “เจ้าหมูป่า ข้าคือเจ้าป่าแห่งที่นี่ ข้าควรได้ดื่มน้ำก่อน”

หมูป่าไม่ถอย มันจ้องกลับไปด้วยดวงตาแข็งกร้าว “อย่าคิดว่าคำรามของเจ้าจะทำให้ข้าหวาดกลัว ข้าต้องเดินไกลกว่าจะมาถึงที่นี่ และข้าก็เหนื่อยไม่แพ้เจ้า ข้าจะไม่ยอมหลีกให้เจ้าดื่มก่อนแน่!”

สิงโตคำรามเสียงดังจนสะเทือนป่า “เจ้าอยากลองท้าทายข้าอย่างนั้นหรือ? ถ้าเจ้าไม่ถอย ข้าจะทำให้เจ้ารู้ว่ากรงเล็บของข้าคมแค่ไหน!”

“งั้นมาลองกันเลย!” หมูป่าคำรามตอบอย่างไม่เกรงกลัว

ทั้งสองพุ่งเข้าหากันอย่างรวดเร็ว สิงโตใช้กรงเล็บตะปบหมูป่าอย่างแรง ขณะที่หมูป่าใช้เขาอันแหลมคมจู่โจมกลับ การต่อสู้อันดุเดือดเกิดขึ้น เสียงคำรามและเสียงข่วนดังก้องไปทั่วบริเวณ น้ำที่เคยสงบนิ่งกระเซ็นจากแรงกระแทกของพวกมัน

เวลาผ่านไป การต่อสู้เริ่มยืดเยื้อ ทั้งสองต่างเหนื่อยล้าจากการปะทะ สิงโตหอบหนัก หายใจถี่ ส่วนหมูป่าก็ล้มตัวลงนอนพัก มันถอนหายใจยาวด้วยความเหนื่อย

“พอเถอะ” หมูป่าพูดเสียงแผ่ว “ข้าคิดว่าเราควรหยุดก่อน ข้าเหนื่อยเกินกว่าจะสู้ต่อ”

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องสิงโตกับหมูป่า 2

“ข้าก็คิดเช่นเดียวกัน” สิงโตตอบพลางหอบ “แต่เจ้าต้องให้ข้าดื่มน้ำก่อน”

ก่อนที่ทั้งสองจะเริ่มโต้เถียงอีกครั้ง หมูป่าเหลือบเห็นบางสิ่งบนท้องฟ้า มันกระซิบเบา ๆ “ดูสิ สิงโต!”

สิงโตเงยหน้ามองและเห็นฝูงอีแร้งหลายตัวกำลังบินวนอยู่เหนือศีรษะ พวกมันจ้องมองลงมาด้วยสายตาโลภเหมือนรอคอยบางสิ่ง สิงโตหันกลับไปพูดกับหมูป่า “พวกมันคงรอให้เราล้มลงตายเพื่อจะได้มากินเราเป็นอาหาร”

หมูป่าพยักหน้า “เราโง่เขลานัก ที่มัวแต่ทะเลาะกันจนเกือบกลายเป็นเหยื่อของอีแร้ง ถ้าข้าล้ม เจ้าอาจเหลือรอด แต่ถ้าเจ้าล้ม ข้าก็คงไม่ต่างกัน”

สิงโตถอนหายใจ “จริงของเจ้า เราไม่ควรเสียพลังกับเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้”

ทั้งสองตกลงกันอย่างเงียบ ๆ สิงโตเดินไปดื่มน้ำก่อนอย่างสงบ หมูป่ารอจนกระทั่งสิงโตดื่มเสร็จ จึงเดินไปดื่มต่อ

หลังจากดื่มน้ำจนพอใจ พวกมันแยกย้ายกันกลับสู่ป่าของตนเอง ฝูงอีแร้งที่บินวนอยู่เมื่อเห็นว่าทั้งสองยังแข็งแรง ก็พากันบินจากไปด้วยความผิดหวัง

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องสิงโตกับหมูป่า 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

การทะเลาะกันในเรื่องเล็กน้อย อาจทำให้ทั้งสองฝ่ายเสียพลังงานและเวลาโดยเปล่าประโยชน์ บางครั้งความขัดแย้งไม่ได้ทำให้ใครได้ประโยชน์ แต่อาจเปิดโอกาสให้อันตรายหรือความสูญเสียเข้ามาแทน การรู้จักประนีประนอมและหาทางออกร่วมกัน ไม่เพียงช่วยแก้ไขปัญหา แต่ยังช่วยรักษาสิ่งสำคัญในชีวิตได้

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องสิงโตกับหมูป่า (อังกฤษ: The Lion and the Boar) ถูกจัดอยู่ในนิทานอีสป และได้รับการจัดอยู่ในลำดับที่ 338 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) นิทานนี้เตือนถึงการทะเลาะเบาะแว้งที่ผู้อื่นจะฉวยโอกาสได้ นิทานเรื่องนี้ยังคล้ายกับเรื่องสิงโตกับหมี

นิทานในแหล่งข้อมูลภาษากรีกเล่าว่า สิงโตและหมูป่าต่อสู้กันเพื่อแย่งกันเป็นผู้ได้ดื่มน้ำจากแหล่งน้ำก่อน ขณะต่อสู้ พวกมันสังเกตเห็นฝูงอีแร้งที่กำลังรอคอยจะกินผู้แพ้ สิงโตและหมูป่าจึงตัดสินใจว่า การรักษาความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันย่อมดีกว่าการกลายเป็นเหยื่อของสิ่งมีชีวิตที่น่ารังเกียจเช่นนั้น

การละทิ้งความขัดแย้งและข้อพิพาทที่รุนแรงเป็นสิ่งที่ดี เพราะความขัดแย้งเหล่านี้อาจนำพาชีวิตของทุกคนไปสู่ความเสี่ยงและอันตรายได้

นิทานเรื่องนี้ไม่ค่อยปรากฏในคอลเลกชันนิทานหลัก แต่ได้รับความนิยมในยุคเรเนซองส์เมื่อ อันเดรีย อัลซิอาโต (Andrea Alciato) นำไปใส่ไว้ใน Emblems ภายใต้หัวข้อ “ความสูญเสียของคนหนึ่งคือกำไรของอีกคนหนึ่ง” (ex damno alterius, alterius utilitas) บทกลอนภาษาละตินสี่บรรทัดที่มาพร้อมภาพประกอบไม่ได้กล่าวถึงสาเหตุของความขัดแย้ง แต่สรุปว่าความรุ่งโรจน์ของผู้ชนะจะตกเป็นของผู้ที่ได้ของรางวัลไปในที่สุด

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องสิงโตกับหมี

ในโลกของธรรมชาติที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน การล่าและการแย่งชิงเป็นเรื่องปกติ สิงโตและหมี ผู้ซึ่งขึ้นชื่อในความแข็งแกร่ง ต่างก็ออกล่าเพื่อความอยู่รอด แต่เมื่อทั้งสองพบกันโดยบังเอิญ เหยื่อตัวเดียวกันกลับกลายเป็นชนวนของความขัดแย้ง

เรื่องราวที่ตามมานั้น จะเผยให้เห็นถึงผลลัพธ์ของความโลภ และบทเรียนที่คาดไม่ถึงจากผู้ฉวยโอกาส กับนิทานอีสปเรื่องสิงโตกับหมี

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องสิงโตกับหมี

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องสิงโตกับหมี

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในวันที่อากาศร้อนอบอ้าว สิงโตผู้ทรงพลังเดินวนไปมาริมลำธาร มันกำลังมองหาเหยื่อที่เหมาะสมสำหรับมื้ออาหาร ขณะเดียวกัน หมีตัวใหญ่ที่หิวโหยก็เดินเตร่ไปทั่วบริเวณเดียวกัน และแล้ว โชคชะตาก็พาทั้งสองมาพบกันตรงจุดหนึ่งของลำธาร ที่นั่น ลูกกวางตัวเล็กยืนดื่มน้ำอย่างไม่รู้ตัวว่าถูกจับจ้องโดยสองนักล่าผู้ยิ่งใหญ่

“ข้าจะเอาลูกกวางตัวนี้” สิงโตคำรามออกมาเสียงดัง ขณะที่ก้าวเข้าหากวางตัวน้อย

หมีขวางทางเอาไว้ มันจ้องสิงโตด้วยสายตาดุดัน “ข้าพบมันก่อน มันต้องเป็นของข้า!”

“เจ้าเรียกตัวเองว่านักล่าหรือ?” สิงโตเย้ยหยัน “กวางตัวนี้คู่ควรกับเจ้าป่ามากกว่าเจ้าเสียอีก!”

หมีตอบกลับด้วยเสียงคำราม “เจ้าอาจเรียกตัวเองว่าเจ้าป่า แต่ในวันนี้ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าได้สิ่งที่ข้าล่า เจ้าอาจเก่งในเรื่องคำราม แต่ข้าจะให้เจ้าดูว่ากรงเล็บข้านั้นแหลมคมเพียงใด!”

สิงโตและหมีไม่ยอมกัน พวกมันพุ่งเข้าหากันและเริ่มต่อสู้อย่างดุเดือด เสียงคำรามและเสียงกรงเล็บข่วนดังไปทั่วบริเวณ ทั้งสองใช้พละกำลังทั้งหมดที่มีเพื่อพิสูจน์ว่าใครสมควรได้ลูกกวางตัวนั้น การต่อสู้นั้นยืดเยื้อและรุนแรงจนกระทั่งทั้งสองต่างหมดแรง พวกมันล้มตัวลงนอนหอบอยู่ทั้งคู่ ขณะที่ลูกกวางยังคงยืนตัวสั่นอยู่ระหว่างกลาง

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องสิงโตกับหมี 2

“พอเถอะ” สิงโตพูดพลางหอบหนัก “ข้าขอพักก่อน แล้วข้าจะกลับมาจัดการเจ้าอีกครั้ง”

หมีที่หายใจหอบไม่แพ้กันตอบกลับ “ข้าก็คิดเหมือนเจ้า เราทั้งคู่ต้องการเวลาฟื้นกำลังก่อน”

พวกมันทั้งสองนอนนิ่งอยู่กับพื้น แต่ไม่ได้สังเกตว่าสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งที่เฝ้ามองอยู่จากระยะไกลมาตลอด กำลังฉวยโอกาส

สุนัขจิ้งจอกเดินเข้ามาอย่างเงียบเชียบ มันมองไปที่ลูกกวางซึ่งยืนอยู่ระหว่างสิงโตและหมีที่หมดเรี่ยวแรง สุนัขจิ้งจอกหัวเราะในใจ “นี่เป็นวันโชคดีของข้าจริง ๆ สองตัวนี้ล่าแทนข้า แถมยังทำให้ข้าได้ของขวัญชิ้นใหญ่ไปโดยง่าย”

มันพุ่งเข้าไปคว้าลูกกวางและรีบวิ่งออกไปโดยไม่ทิ้งร่องรอย ทั้งสิงโตและหมีที่หมดแรงเกินกว่าจะลุกขึ้นมา ได้แต่มองสุนัขจิ้งจอกลากลูกกวางไปด้วยความสิ้นหวัง

“นี่มันอะไรกัน!” สิงโตพูดด้วยเสียงเหนื่อยอ่อน “ข้าคิดว่าเรากำลังต่อสู้เพื่อกำหนดว่าใครจะได้ลูกกวาง แต่กลับเป็นว่าข้าเหนื่อยเปล่าเพื่อเจ้าสุนัขจิ้งจอกตัวนั้น!”

หมีถอนหายใจยาว “ข้าก็เหมือนกัน พวกเราช่างโง่เขลานัก เราทั้งคู่ต่อสู้จนหมดแรง แต่สุดท้ายแล้ว สุนัขจิ้งจอกก็ได้ทุกอย่างไปโดยที่มันไม่ต้องลงแรงอะไรเลย”

สิงโตพยักหน้าอย่างขมขื่น “นี่เป็นบทเรียนสำหรับเรา ต่อไปข้าจะไม่ยอมปล่อยให้ความโกรธหรือความโลภทำให้ข้ามองข้ามสิ่งที่สำคัญอีก”

ทั้งสองนอนนิ่งอยู่ด้วยความเหนื่อยล้าและความเสียใจ ขณะที่สุนัขจิ้งจอกหายลับไปในป่าพร้อมลูกกวางตัวอ้วน

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องสิงโตกับหมี 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ในขณะที่บางคนลงแรงต่อสู้หรือทำงานหนักเพื่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ผู้ที่ฉลาดและรู้จักฉวยโอกาสอาจเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ไปได้อย่างง่ายดาย การต่อสู้ที่เกิดจากความขัดแย้งและความโลภอาจทำให้เราสูญเสียทั้งพลังและผลลัพธ์ที่เราต้องการ หากเราไม่ระวัง การปล่อยให้อารมณ์ครอบงำ อาจทำให้เรากลายเป็นเหยื่อของผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว ดังนั้น จงใช้สติและมองให้รอบด้านในทุกสถานการณ์

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องสิงโตกับหมี (อังกฤษ: The Lion and the Bear) เป็นหนึ่งในนิทานอีสป ถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 147 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) นิทานนี้มีรูปแบบคล้ายคลึงกันทั้งในตะวันออกและตะวันตก ซึ่งเล่าเรื่องเกี่ยวกับผู้โต้แย้งสองฝ่ายที่ต้องเสียสิ่งที่แย่งชิงกันไปให้กับบุคคลที่สาม นิทานเรื่องนี้ยังคล้ายกับเรื่องสิงโตกับหมูป่า

ในนิทานนี้ สิงโตและหมีโจมตีลูกกวางพร้อมกัน และต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงเหยื่อจนหมดแรงล้มลง ในขณะเดียวกัน สุนัขจิ้งจอกที่เฝ้าดูเหตุการณ์อยู่คว้าเหยื่อของพวกมันไปอย่างง่ายดาย แพนทาเลออน แคนดิดัส (Pantaleon Candidus) ได้ให้ข้อคิดตอนจบว่า

“บ่อยครั้งที่ผู้หนึ่งลงแรงทำงาน แต่ผลประโยชน์กลับตกเป็นของผู้อื่น”

นิทานเรื่องนี้ดูเหมือนจะถูกนำเข้ามาในคอลเลกชันนิทานอีสปที่ตีพิมพ์ผ่านแหล่งข้อมูลนี้

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com