นิทานอีสปเรื่องลากับหมู

ในทุ่งหญ้ากว้าง มีลาตัวหนึ่งที่ต้องทำงานหนักทุกวันเพื่อหาอาหารเลี้ยงตัวเอง แต่กลับรู้สึกท้อแท้และอิจฉาชีวิตของหมูตัวหนึ่งที่มีเจ้านายดูแลและไม่ต้องทำงานหนักเหมือนตนเอง ลาเริ่มสงสัยว่าเหตุใดชีวิตของมันต้องยากลำบาก ในขณะที่หมูกลับสามารถใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย

นิทานเรื่องนี้จะพาผู้อ่านไปสู่การเรียนรู้จากมุมมองของลา ที่ในที่สุดได้เรียนรู้ว่า การอิจฉาชีวิตของผู้อื่นอาจทำให้มองข้ามสิ่งดีๆ ที่ตนเองมีอยู่ เรื่องราวจะเป็นเช่นไร… กับนิทานอีสปเรื่องลากับหมู

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องลากับหมู

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องลากับหมู

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในฟาร์มอันเงียบสงบที่รายล้อมด้วยทุ่งหญ้าเขียวขจีและต้นไม้ที่พริ้วไหวไปตามสายลมอ่อน ๆ มีสัตว์น้อยใหญ่ใช้ชีวิตตามหน้าที่ของตน หนึ่งในนั้นคือลาตัวหนึ่งที่ต้องทำงานหนักทุกวัน มันลากเกวียนบรรทุกของไปยังตลาดหรือแบกฟางแห้งให้กับโรงนาของฟาร์ม ลาตัวนี้มีร่างกายที่ผอมเพรียวและดวงตาเศร้า มันรู้สึกถึงภาระอันหนักอึ้งที่ต้องแบกทุกวัน

แต่ในฟาร์มนี้ยังมีหมูที่ดูมีชีวิตที่สุขสบาย หมูตัวนั้นมีร่างกายอ้วนท้วนและมักจะถูกเลี้ยงดูอย่างดี มีอาหารอุดมสมบูรณ์ให้กินอยู่เสมอ มันนอนเอกเขนกในคอกสะอาดและไม่ต้องออกแรงทำงานใด ๆ เลย ลามองดูหมูทุกครั้งที่เดินผ่านคอก “ทำไมชีวิตข้าถึงไม่เหมือนหมูนะ ช่างมีความสุขเสียจริง ได้กินอิ่มและนอนสบายโดยไม่ต้องทำอะไรเลย” ลาคิดในใจ ความอิจฉาเริ่มก่อตัวและเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

วันหนึ่ง ลาตัดสินใจแกล้งทำเป็นป่วย มันทำท่าทางอ่อนแอและเดินช้า ๆ ไม่กระฉับกระเฉง เจ้าของฟาร์มเห็นว่าลาไม่สบาย จึงให้มันพักและให้อาหารพิเศษเพื่อฟื้นฟูร่างกาย ลายิ้มในใจเมื่อได้ลิ้มรสอาหารที่ดีกว่าเดิมและได้พักจากการทำงานหนัก มันคิดว่าความสุขแบบหมูนั้นไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องลากับหมู 2

ไม่กี่วันต่อมา ลาก็เริ่มมีร่างกายอ้วนขึ้นและดูมีความสุข แต่ในขณะเดียวกัน มันสังเกตเห็นสิ่งที่ไม่เคยคาดคิด เช้าวันหนึ่ง เจ้าของฟาร์มเข้ามาที่คอกหมูพร้อมกับอุปกรณ์บางอย่าง พวกเขาจับหมูอ้วนตัวนั้นไป ลารู้สึกแปลกใจและมองตามด้วยความสงสัย “เกิดอะไรขึ้นกับหมูตัวนั้นนะ?” มันพยายามตั้งคำถามในใจ

ลาฟังเสียงอึกทึกจากโรงเรือนและได้กลิ่นแปลก ๆ ลาค่อย ๆ เข้าใจถึงชะตากรรมของหมูเมื่อเห็นเนื้อไส้กรอกและอาหารที่เตรียมไว้สำหรับมื้อเย็นปรากฏอยู่บนโต๊ะใกล้ ๆ มันตกใจและสั่นไปทั้งตัว “หมูที่ข้าเคยอิจฉา ตอนนี้กลายเป็นไส้กรอกไปแล้ว…” ลาพูดพึมพำเบา ๆ ดวงตาของมันเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น

เมื่อกลับมาที่คอกของตัวเอง ลาคิดทบทวนถึงการแกล้งป่วยและการได้ลิ้มรสความสุขชั่วคราว มันสำนึกผิดและตัดสินใจเลิกอิจฉาผู้อื่น มันตระหนักว่าการมีชีวิตเรียบง่ายแม้จะลำบากแต่ก็มาพร้อมกับความปลอดภัยและความมั่นคงมากกว่า “บางครั้งชีวิตที่ดูสุขสบายอาจซ่อนความเสี่ยงไว้โดยที่เราไม่รู้” ลาสรุปในใจและตั้งใจกลับไปทำงานหนักตามหน้าที่อย่างเต็มใจอีกครั้ง

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องลากับหมู 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความอิจฉาและการเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่นอาจทำให้เรามองข้ามข้อดีในชีวิตของตนเองและสิ่งที่มีอยู่รอบตัวได้ การที่ลารู้สึกอิจฉาชีวิตที่สบายของหมูโดยไม่เข้าใจภาพรวมทั้งหมด เป็นการสะท้อนให้เห็นว่าการมองสิ่งต่าง ๆ อย่างผิวเผินอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดและการตัดสินใจที่ไม่เหมาะสม เมื่อหมูซึ่งดูมีความสุขถูกนำไปเชือด ลาจึงตระหนักได้ว่าชีวิตที่ดูเหมือนจะง่ายดายและสุขสบายอาจมีผลลัพธ์ที่ซ่อนอยู่ที่ไม่คาดคิด

คติสอนใจจากนิทานนี้คือ การใช้ชีวิตอย่างพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่และรู้จักคุณค่าของชีวิตที่แท้จริงเป็นสิ่งที่สำคัญ การที่ลาต้องกลับมาทำงานหนักแต่ปลอดภัยนั้นแสดงให้เห็นว่าการทำงานด้วยความขยันและความซื่อสัตย์ แม้จะเหนื่อยล้า แต่ก็นำมาซึ่งความมั่นคงและความปลอดภัย การเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่นโดยไม่เห็นภาพรวมอาจทำให้เราตัดสินใจผิดพลาดและต้องเผชิญกับผลลัพธ์ที่เลวร้าย

การสอนใจนี้ยังเตือนว่า ความสุขและความสะดวกสบายที่มองเห็นอาจไม่ใช่ความสุขที่แท้จริงเสมอไป การเข้าใจและพิจารณาสิ่งที่เรามีอยู่ด้วยสายตาที่เปิดกว้างและใจที่ยอมรับ จะทำให้เราดำเนินชีวิตด้วยความสุขและความสงบสุขมากขึ้น

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องลากับหมู (อังกฤษ: The Ass and the Pig) เป็นหนึ่งในนิทานของอีสปที่สะท้อนถึงการมองภาพรวมของชีวิตและความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่ในสิ่งที่ดูเหมือนจะสบายดี ถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 526 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) นิทานนี้มีเนื้อหาที่พูดถึงลาที่อิจฉาชีวิตของหมูที่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีโดยไม่ต้องทำงานหนัก ลาจึงแกล้งทำเป็นป่วยเพื่อหวังจะได้ชีวิตแบบหมู แต่ในที่สุดก็พบว่าหมูถูกนำไปเชือดเพื่อเป็นอาหาร ทำให้ลาตระหนักถึงความจริงที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังชีวิตที่ดูสบาย

นิทานเรื่องนี้ Phaedrus สอนให้ข้าระมัดระวัง และนับแต่นั้นข้าก็หลีกเลี่ยงการลงทุนที่เสี่ยง แต่เจ้ากลับกล่าวว่า “ผู้ที่ฉกฉวยความมั่งคั่งย่อมครอบครองมันได้” จงจำไว้ว่า มีมากมายเพียงใดที่ถูกจับและถูกสังหารในที่สุด! ผู้ที่ถูกลงโทษนั้นมีจำนวนมากกว่าแน่นอน อาจมีเพียงไม่กี่คนที่ได้กำไรจากความหุนหันพลันแล่น แต่มีอีกมากที่ต้องพินาศเพราะมัน

ต้นฉบับของนิทานนี้สามารถย้อนไปได้ถึงเวอร์ชันของ Phaedrus และการดัดแปลงต่าง ๆ ที่ถูกเล่าและบันทึกในยุคต่าง ๆ ซึ่งเน้นการเปรียบเทียบระหว่างชีวิตที่ดูเรียบง่ายแต่ปลอดภัยกับชีวิตที่ดูสุขสบายแต่เสี่ยงอันตราย นิทานนี้มีรากฐานจากการเล่าเรื่องแบบตะวันออกที่แพร่หลายมายังยุโรป และได้มีการบันทึกในคอลเลกชันนิทานอีสปที่หลากหลายรูปแบบ โดยในบางเวอร์ชัน เช่น เรื่องในคัมภีร์ชาวยิวและนิทานชาดกของพุทธ มีการตีความเพื่อสะท้อนถึงคุณค่าของการใช้ชีวิตอย่างพอเพียงและความเสี่ยงของความฟุ่มเฟือย

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องลากับเจ้านายของมัน

ในทุ่งหญ้าแห่งหนึ่ง มีลาตัวหนึ่งที่เคยรับใช้เจ้านายอย่างซื่อสัตย์และขยันขันแข็ง แต่เมื่อเจ้านายเก่ามีความโหดร้ายและใช้มันทำงานหนักเกินไป ลาจึงเริ่มรู้สึกทนไม่ไหวและคิดหาวิธีหนีไปหาชีวิตที่ดีกว่า เมื่อได้พบเจอกับเจ้านายใหม่ ลากลับพบว่า ชีวิตใหม่อาจไม่ดีอย่างที่คิด

นิทานเรื่องนี้สอนให้เราเห็นถึงการรู้จักพอใจในสิ่งที่มี และคิดอย่างรอบคอบก่อนที่จะตัดสินใจเปลี่ยนแปลงชีวิตโดยไม่ไตร่ตรองให้ดี เรื่องราวจะเป็นเช่นไร ติดตามได้ในนิทานอีสปเรื่องลากับเจ้านายของมัน

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องลากับเจ้านายของมัน

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องลากับเจ้านายของมัน

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีคนขายสมุนไพรที่มีลาเป็นสัตว์พาหนะตัวเดียว ลาตัวนี้ต้องทำงานหนักเป็นประจำทุกวัน มันถูกใช้ให้แบกสมุนไพรและสินค้าไปขายตามตลาดและหมู่บ้านใกล้เคียง แต่ลาตัวนี้ไม่ได้รับอาหารเพียงพอเลย แถมยังถูกเจ้านายตีเมื่อทำงานช้าอีกด้วย

วันหนึ่งหลังจากทำงานหนักมาทั้งวัน ลารู้สึกเหนื่อยล้าจนเกินทน มันแหงนหน้ามองท้องฟ้าและอธิษฐานกับเทพจูปิเตอร์ (Jupiter) เทพเจ้าแห่งท้องฟ้าและการเปลี่ยนแปลง “ข้าขอวิงวอนท่านจูปิเตอร์ ได้โปรดเปลี่ยนเจ้านายของข้าด้วยเถิด ข้าไม่อยากมีชีวิตอยู่แบบนี้อีกต่อไป” ลาร้องขอด้วยเสียงอ่อนแรง

จูปิเตอร์ได้ยินคำขอของลา เขารู้สึกสงสารแต่ก็เตือนลาว่า “เจ้าแน่ใจหรือว่าการเปลี่ยนนายจะทำให้ชีวิตของเจ้าดีขึ้น?” แต่ลายังคงยืนยันอย่างหนักแน่น จูปิเตอร์จึงยอมรับคำขอและบอกกับลา “ในเมื่อเจ้ายืนยัน ข้าจะให้เจ้านายใหม่กับเจ้า”

จูปิเตอร์ส่งเทพเฮอร์มีส (Hermes) เทพแห่งการสื่อสารส่งสารไปแจ้งให้คนขายสมุนไพรขายลาให้กับคนทำกระเบื้อง คนทำกระเบื้องรับลามาและมอบหมายให้มันขนดินเหนียวและกระเบื้อง ซึ่งหนักและสกปรกยิ่งกว่าของที่มันเคยแบกกับนายเก่า ความเหนื่อยล้าและการถูกใช้งานหนักกว่าเดิมทำให้ลารู้สึกเสียใจ “ข้าไม่คิดว่าการเปลี่ยนเจ้านายจะทำให้ข้าเหนื่อยหนักเช่นนี้” มันคิดในใจ

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องลากับเจ้านายของมัน 2

หลังจากนั้นไม่นาน ลาทนไม่ไหวอีกครั้ง มันจึงตัดสินใจอธิษฐานต่อจูปิเตอร์อีกครั้ง “ท่านจูปิเตอร์ โปรดให้ข้าเปลี่ยนเจ้านายอีกครั้งเถิด ข้าทำงานหนักเหลือเกิน”

จูปิเตอร์ถอนหายใจและเตือนลาอีกครั้ง “เจ้าไม่คิดหรือว่าทุกครั้งที่เจ้าขอ เจ้ากำลังทำให้ชะตาของเจ้ายิ่งเลวร้ายลง?” แต่ลายืนยันว่ามันต้องการการเปลี่ยนแปลง จูปิเตอร์จึงยอมทำตามคำขอครั้งสุดท้ายและส่งลาตัวนี้ไปให้กับช่างฟอกหนัง

เมื่อมาถึงบ้านของช่างฟอกหนัง ลาพบว่าเจ้านายคนนี้โหดร้ายยิ่งกว่าเจ้านายคนอื่น ๆ มันถูกบังคับให้ทำงานหนักกว่าเดิม และที่สำคัญ ช่างฟอกหนังยังมีอาชีพที่เกี่ยวข้องกับการนำหนังสัตว์มาตากแดดและฟอกหนัง

เมื่อเวลาผ่านไป ลาได้รู้ว่าชะตากรรมของมันจะไม่สิ้นสุดแม้กระทั่งหลังความตาย “ข้าเคยคิดว่าเจ้านายคนแรกทำให้ข้าเหนื่อยล้าและหิวโหย แต่เจ้านายคนนี้ไม่เพียงแต่จะใช้งานข้าขณะที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ แม้แต่ตอนที่ข้าตายไป หนังของข้าก็จะถูกนำไปใช้ประโยชน์ด้วย!” ลาพูดกับตัวเองอย่างท้อแท้

ในที่สุด ลารู้สึกเสียใจที่มันไม่พอใจกับนายคนเก่าและขอเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของตัวเอง “ข้าควรพอใจกับสิ่งที่ข้ามี ข้าคิดว่าการเปลี่ยนแปลงจะทำให้ชีวิตดีขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว ชีวิตกลับเลวร้ายลงกว่าเดิม” ลาบ่นกับตัวเองขณะที่มันถูกใช้งานหนักกว่าเดิม

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องลากับเจ้านายของมัน 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้เราเห็นว่าบางครั้งสิ่งที่เราคิดว่าจะแย่ อาจไม่ใช่สิ่งที่แย่ที่สุดหากเราไม่รู้จักพอใจและขอบคุณในสิ่งที่เรามี การที่เราเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตโดยไม่คิดให้รอบคอบอาจนำไปสู่สถานการณ์ที่ยิ่งเลวร้ายขึ้น ดังนั้น การรู้จักยอมรับและพอใจกับสิ่งที่เรามีในปัจจุบันอาจเป็นหนทางที่ดีที่สุดในการดำเนินชีวิต

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องลากับเจ้านายของมัน (อังกฤษ: The Ass and his Masters) เป็นหนึ่งในนิทานของอีสป ซึ่งได้รับการเล่าขานมาตั้งแต่ยุคกรีกโบราณ นิทานเรื่องนี้ถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 179 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) นิทานนี้สะท้อนถึงแนวคิดเกี่ยวกับความไม่รู้จักพอและการเปลี่ยนแปลงที่นำไปสู่สถานการณ์ที่เลวร้ายลง เนื้อเรื่องของนิทานนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเตือนให้ผู้อ่านเห็นคุณค่าในสิ่งที่ตนมีและพิจารณาให้รอบคอบก่อนจะตัดสินใจเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่าง

ในเรื่องนี้ ลาซึ่งไม่พอใจกับการทำงานหนักและการถูกใช้งานมากเกินไป ได้อ้อนวอนต่อจูปิเตอร์เพื่อขอให้เปลี่ยนนาย แต่การเปลี่ยนแปลงนั้นกลับทำให้มันพบกับเจ้านายที่ใช้งานหนักยิ่งกว่าเดิม จนท้ายที่สุดมันได้เรียนรู้ว่าความไม่พอใจในสถานการณ์ปัจจุบันและความต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงอย่างไร้เหตุผลอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่แย่ลงกว่าเดิม

ทาสจะโหยหานายเก่ามากที่สุด ก็ต่อเมื่อได้สัมผัสประสบการณ์กับนายคนใหม่

นิทานเรื่องนี้ปรากฏในแหล่งข้อมูลที่เก่าแก่ เช่น “Aesop’s Fables” และได้รับการแปลและดัดแปลงในหลากหลายเวอร์ชันโดยนักเขียนเช่น Roger L’Estrange และ William Caxton ในยุโรปช่วงศตวรรษที่ 16 ถึง 18 นอกจากนี้ ยังมีการนำไปตีความและเล่าใหม่ในวรรณกรรมยุโรปอีกหลายเวอร์ชันที่เน้นถึงข้อคิดทางศีลธรรมและการใช้ชีวิตอย่างรอบคอบ

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องวานรกับจิ้งจอก

ในป่าที่เต็มไปด้วยสัตว์ป่า มีการเลือกตั้งกษัตริย์เพื่อปกครองฝูงสัตว์ วานรตัวหนึ่งซึ่งมีความสามารถในการแสดงท่าทางขบขันและทำให้สัตว์อื่น ๆ หัวเราะได้รับเลือกให้เป็นกษัตริย์ แต่เมื่อถึงเวลาจริง ๆ ที่ต้องปกครอง ฝูงสัตว์กลับพบว่าเขาขาดความสามารถในการตัดสินใจและนำทาง ทำให้เกิดความยุ่งเหยิงในอาณาจักร

นิทานเรื่องนี้สอนให้เราเห็นว่า การเลือกผู้นำควรพิจารณาจากความสามารถและปัญญาในการปกครอง มากกว่าการตัดสินจากท่าทางภายนอกหรือความสนุกสนานเพียงอย่างเดียว เรื่องราวจะเป็นเช่นไร ติดตามได้ในนิทานอีสปเรื่องวานรกับจิ้งจอก

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องวานรกับจิ้งจอก

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องวานรกับจิ้งจอก

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในป่าใหญ่แห่งหนึ่ง สัตว์ต่าง ๆ พากันอาศัยอยู่อย่างสงบสุขภายใต้การปกครองของสิงโตผู้ยิ่งใหญ่ แต่เมื่อสิงโตเสียชีวิตลง ความไม่มั่นคงก็เริ่มต้นขึ้น สัตว์ทั้งหลายตัดสินใจจัดการประชุมเพื่อเลือกผู้นำคนใหม่ การประชุมครั้งนี้มีสัตว์หลายตัวเสนอชื่อเข้ามาเพื่อชิงตำแหน่งกษัตริย์ แต่ละตัวต่างก็มีคุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไป บ้างมีความแข็งแกร่ง บ้างมีปัญญา บ้างมีไหวพริบ แต่สุดท้าย วานรจอมขบขันก็ได้รับการเลือกตั้งเป็นกษัตริย์ใหม่

วานรนี้ขึ้นชื่อในเรื่องความสามารถในการแสดงท่าทางตลก ๆ และท่าทีเป็นมิตร มันสามารถทำให้สัตว์ทุกตัวหัวเราะและรู้สึกสบายใจเมื่ออยู่ใกล้ นั่นเป็นเหตุผลที่สัตว์ส่วนใหญ่เลือกวานรเป็นผู้นำ โดยไม่คำนึงถึงความเหมาะสมในด้านความสามารถ วานรรู้สึกภูมิใจในตำแหน่งใหม่ของตน และเริ่มสวมบทบาทเป็นกษัตริย์อย่างเต็มที่

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องวานรกับจิ้งจอก 2

จิ้งจอกที่เข้าร่วมการประชุมและไม่ได้รับการเลือกตั้งรู้สึกไม่พอใจ จึงคิดหาวิธีที่จะเปิดโปงความโง่เขลาของวานร “วานรนี่ดูเหมือนจะชอบความสนใจและง่ายต่อการหลอกลวง ข้าต้องหาทางให้มันเผยความจริงให้ทุกคนเห็น” จิ้งจอกคิดในใจ

วันหนึ่ง จิ้งจอกเดินเข้าไปหาวานรพร้อมกับแสร้งทำตัวสุภาพนอบน้อม “ท่านกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ ข้ามีข่าวสำคัญมาแจ้ง ข้าได้ค้นพบสมบัติลับที่เป็นของกษัตริย์สิงโตผู้ล่วงลับ มันอยู่ในที่ที่ปลอดภัยและมีค่าอย่างยิ่ง ข้าเชื่อว่าสมบัตินี้ควรเป็นของท่านในฐานะกษัตริย์ใหม่” จิ้งจอกกล่าวด้วยน้ำเสียงนอบน้อมแต่มองด้วยสายตาเจ้าเล่ห์

วานรที่ไม่เคยรู้เรื่องสมบัติมาก่อนรู้สึกตื่นเต้นและหลงเชื่อคำพูดของจิ้งจอก มันตอบอย่างกระตือรือร้นว่า “ข้าขอบใจเจ้ามาก เจ้านำทางข้าไปยังที่ซ่อนสมบัตินั้นเดี๋ยวนี้”

จิ้งจอกจึงนำวานรเดินทางไปยังบริเวณที่มันเตรียมไว้ จิ้งจอกพาวานรไปถึงบริเวณพงหญ้าทึบที่เต็มไปด้วยเถาวัลย์และหญ้าสูง มันชี้ไปยังบริเวณหนึ่งที่มีหญ้าคลุมอยู่และกล่าวว่า “ที่นี่คือที่ซ่อนสมบัติ กษัตริย์สิงโตเคยซ่อนมันไว้อย่างดี ข้าไม่มีสิทธิ์ที่จะไปยุ่งกับมัน ท่านเท่านั้นที่ควรได้รับ”

วานรที่มัวแต่ตื่นเต้นกับคำว่า “สมบัติ” ไม่ทันคิดทบทวน มันก้าวเข้าไปยังจุดที่จิ้งจอกชี้ด้วยความเชื่อมั่น พอมันยื่นมือไปคว้าสมบัติที่ซ่อนอยู่ เสียง “แกร๊ก!” ก็ดังขึ้น กับดักที่จิ้งจอกวางไว้ได้หนีบนิ้วของวานรแน่น

“โอ๊ย! นี่มันอะไรกัน!” วานรร้องด้วยความเจ็บปวด มันหันไปมองจิ้งจอกที่ยืนหัวเราะอยู่ใกล้ ๆ

“ท่านคิดจะปกครองผู้อื่น แต่กลับดูแลตนเองไม่ได้เช่นนี้ สมควรแล้วที่จะติดกับดัก!” จิ้งจอกพูดอย่างเย้ยหยัน

สัตว์ตัวอื่น ๆ ที่เห็นเหตุการณ์ก็เริ่มตระหนักถึงความผิดพลาดในการเลือกวานรเป็นกษัตริย์ ความโง่เขลาและความหลงตนเองของวานรได้เปิดเผยออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องวานรกับจิ้งจอก 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้เห็นถึงความสำคัญของการเลือกผู้นำที่มีสติปัญญาและความรอบคอบ อย่าตัดสินคนจากท่าทีหรือความสามารถในการแสดงออกเพียงอย่างเดียว และยังเตือนถึงความไม่เหมาะสมของผู้ที่รับตำแหน่งโดยปราศจากคุณสมบัติและปัญญาที่เพียงพอในการปกครอง

ที่มาของนิทานอีสปเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องวานรกับจิ้งจอก (อังกฤษ: The Ape and the Fox) มีต้นกำเนิดจากนิทานของอีสป ถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 81 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) ซึ่งมีการบันทึกในยุคโบราณและต่อมาได้ถูกดัดแปลงและถ่ายทอดในหลายวัฒนธรรม เรื่องนี้เล่าถึงการที่สัตว์ในป่ารวมตัวกันเพื่อเลือกผู้นำใหม่หลังจากสิงโตผู้ครองป่าล่วงลับไป โดยในท้ายที่สุด สัตว์ทั้งหลายได้เลือก “วานร” เป็นกษัตริย์เพราะความตลกและความสามารถในการแสดงท่าทางขบขัน

อย่างไรก็ตาม จิ้งจอกที่รู้สึกไม่พอใจกับผลการเลือกตั้งนั้น ได้คิดหาทางหลอกวานรโดยอ้างว่ามีสมบัติล้ำค่าที่เป็นของกษัตริย์ซ่อนอยู่ในป่า วานรหลงเชื่อและตามจิ้งจอกไป แต่กลับถูกจับได้ในกับดัก เมื่อวานรถูกหลอก จิ้งจอกก็เย้ยหยันว่า “ท่านคิดจะเป็นกษัตริย์ แต่กลับไม่รู้ทันกับดักเสียเอง” นิทานเรื่องนี้เป็นการวิพากษ์ความโง่เขลาของผู้ปกครองที่ขาดคุณสมบัติและความระมัดระวัง

นิทานนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเตือนใจเกี่ยวกับการเลือกผู้นำที่ควรมีปัญญาและความสามารถ ไม่ใช่เพียงแค่ความบันเทิงใจหรือภาพลักษณ์ภายนอก ในเวอร์ชันที่ตีความโดยนักเขียนต่าง ๆ เช่น Roger L’Estrange และ Jean de La Fontaine นิทานนี้ยังเน้นเรื่องความผิดพลาดของการเลือกผู้นำที่ขาดปัญญาและเตือนถึงความสำคัญของการปกครองอย่างรอบคอบและมีวิจารณญาณ

นิทานเรื่องนี้สอนว่า คนที่เริ่มทำอะไรโดยไม่คิดให้รอบคอบ มักพบกับหายนะและกลายเป็นที่หัวเราะเยาะในที่สุด

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องมดกับตั๊กแตน

ในชีวิตนี้เรามักจะต้องเลือกทำสิ่งต่าง ๆ ที่อาจจะไม่เห็นผลทันที แต่ในภายภาคหน้ามันกลับส่งผลต่อชีวิตของเราอย่างยิ่งใหญ่ เช่นเดียวกับเรื่องราวของมดและตั๊กแตนที่เลือกใช้ชีวิตแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ถึงเวลาที่เราจะได้รู้ว่า การเลือกทำสิ่งใดนั้นมีผลต่ออนาคตอย่างไร

ในวันหนึ่งของฤดูร้อนที่แสนร้อนระอุ มดตัวเล็ก ๆ กับตั๊กแตนตัวใหญ่ ต่างก็มีวิธีใช้ชีวิตแตกต่างกันไป มดทำงานอย่างขยันขันแข็งสะสมอาหารสำหรับฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึง แต่ตั๊กแตนกลับใช้ชีวิตอย่างอิสระ สนุกสนานไปกับเสียงเพลงและการพักผ่อน ไม่รู้เลยว่าวันหนึ่งจะมีความยากลำบากรออยู่ข้างหน้าเรื่องราวจะเป็นเช่นไร ติดตามได้ในนิทานอีสปเรื่องมดกับตั๊กแตน

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องมดกับตั๊กแตน

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องมดกับตั๊กแตน

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในทุ่งหญ้าเขียวขจีที่กว้างใหญ่ มีสายลมอ่อน ๆ พัดผ่านและแสงแดดอันอบอุ่นของฤดูร้อน ที่นี่เป็นบ้านของเหล่าสัตว์น้อยใหญ่มากมาย ตั๊กแตนตัวหนึ่งเป็นสัตว์ที่ชื่นชอบการร้องเพลงและเล่นดนตรี มันดีดเครื่องดนตรีของมันอย่างสนุกสนาน ร้องเพลงพร้อมกับเสียงสายลมที่พัดผ่านต้นไม้ใบหญ้า

“ชีวิตช่างงดงามเหลือเกิน!” ตั๊กแตนร้องเพลงด้วยเสียงที่สดใส มันใช้เวลาทั้งวันเพลิดเพลินไปกับการเล่นดนตรีและพักผ่อนใต้เงาต้นไม้ใหญ่ ชีวิตของตั๊กแตนเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความสนุกสนาน

ในขณะที่อีกมุมหนึ่งของทุ่งหญ้า มีกลุ่มมดทำงานกันอย่างขะมักเขม้น พวกมันขยันขันแข็ง เก็บรวบรวมเมล็ดพืช ผลไม้ และเศษใบไม้เพื่อนำไปเก็บไว้ในรัง มดทุกตัวมีบทบาทและหน้าที่ชัดเจน พวกมันเดินตามแถวที่เรียงกันอย่างเป็นระเบียบ

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องมดกับตั๊กแตน 2

วันหนึ่ง ตั๊กแตนสังเกตเห็นกลุ่มมดที่กำลังทำงานหนัก มันรู้สึกแปลกใจจึงกระโดดเข้าไปถามว่า “พวกเจ้าทำอะไรกันน่ะ ทำไมต้องทำงานหนักในวันที่อากาศดีขนาดนี้?”

มดตัวหนึ่งที่กำลังแบกเมล็ดข้าวขึ้นหลังตอบอย่างสุภาพว่า “ข้ากำลังเตรียมเสบียงสำหรับฤดูหนาวที่จะมาถึง ในฤดูหนาวจะไม่มีอาหารให้เก็บเกี่ยว หากเราไม่เตรียมตัวในวันนี้ เราอาจไม่มีอาหารเพียงพอในช่วงเวลานั้น”

ตั๊กแตนได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะเสียงดัง “ฤดูหนาวยังอีกนาน พวกเจ้าไม่คิดที่จะหยุดพักบ้างเลยเหรอ?”

มดไม่ตอบ แต่กลับหันไปทำงานต่อ ตั๊กแตนจึงยักไหล่และกระโดดออกไป “ข้าจะไปสนุกกับชีวิตดีกว่า ไม่มีเหตุผลที่จะต้องกังวลในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง!”

วันเวลาผ่านไป ตั๊กแตนยังคงสนุกสนานกับการร้องเพลงทุกวัน มันไม่เคยสนใจคำเตือนของมด มดทุกตัวกลับทำงานอย่างขยันขันแข็งไม่มีวันหยุด พวกมันเก็บสะสมอาหารไว้อย่างเต็มที่ในรังที่อบอุ่นและปลอดภัย

จนกระทั่งฤดูหนาวมาถึง ทุ่งหญ้าเขียวขจีแห้งเหี่ยว ต้นไม้ผลัดใบ ลมหนาวพัดกระโชกแรง ไม่มีเสียงดนตรีหรือเสียงนกร้องเหมือนในฤดูร้อนอีกต่อไป สัตว์หลายตัวต่างซ่อนตัวอยู่ในที่อบอุ่น ตั๊กแตนที่ไม่ได้เตรียมตัวใด ๆ ไว้เลย เริ่มรู้สึกหนาวเหน็บและหิวโหย มันเดินเตาะแตะไปทั่วทุ่งหญ้าโดยไม่มีอาหารและที่พักพิง

วันหนึ่ง ตั๊กแตนที่กำลังหิวและเหนื่อยล้าเห็นรังของมด มันจึงเคาะประตูรังและกล่าวด้วยเสียงที่อ่อนแรง “ได้โปรด ช่วยข้าด้วย ข้าหนาวและหิว ไม่มีอาหารเหลืออยู่เลย”

มดที่เฝ้ารังเปิดประตูออกมามองตั๊กแตน และตอบกลับว่า “เมื่อฤดูร้อน ข้าได้เตือนเจ้าให้เตรียมเสบียงสำหรับฤดูหนาว แต่เจ้าเลือกที่จะไม่ฟังและใช้เวลาสนุกสนาน ตอนนี้เจ้ากำลังเผชิญกับผลที่เจ้าตัดสินใจเอง”

ตั๊กแตนฟังแล้วรู้สึกสำนึกผิด มันก้มหน้าลงด้วยความอับอายและเดินจากไปด้วยความรู้สึกเสียใจที่ไม่เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับสิ่งที่อาจเกิดขึ้น

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องมดกับตั๊กแตน 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้เราเห็นถึงความสำคัญของการมองการณ์ไกล การทำงานหนัก และการเตรียมพร้อมสำหรับอนาคต อย่าประมาทกับช่วงเวลาที่ดูเหมือนจะปลอดภัยและสบายใจ เพราะเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดอาจเกิดขึ้นได้เสมอ และทักษะในการวางแผนและเตรียมตัวคือสิ่งที่จะช่วยให้เรารับมือกับสถานการณ์เหล่านั้นได้

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องมดกับตั๊กแตน (อังกฤษ: The Ant and the Grasshopper) เป็นหนึ่งในนิทานอีสป นิทานเรื่องนี้ถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 373 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) ซึ่งเล่าถึงตั๊กแตนที่ขออาหารจากมดในฤดูหนาวแต่ถูกปฏิเสธ เพื่อสอนเรื่องความขยันและการวางแผนล่วงหน้า อย่างไรก็ตาม ในยุคโบราณมีบางคนเห็นว่าเป็นการแสดงความใจแคบ เรื่องนี้ยังถูกเล่าใหม่โดย Jean de la Fontaine ในแนวเสียดสีเพื่อขยายการถกเถียงเรื่องความเมตตา ตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 ตั๊กแตนถูกมองว่าเป็นตัวแทนของศิลปินและวัฒนธรรม

นิทานเรื่องนี้สะท้อนถึง คนเกียจคร้านและไม่รอบคอบ ที่มัวเมาอยู่กับความคิดโง่เขลาและการแสวงหาผลประโยชน์อย่างฉาบฉวย จนสุดท้ายกลับต้องสูญเสียโอกาสดี ๆ ไป

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องอีสปกับคนพายเรือ

ในบางครั้ง การเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ นอกเหนือจากความรู้พื้นฐานอาจทำให้เรารู้สึกว่าตนเองฉลาดขึ้น แต่ความรู้ที่มากมายเหล่านั้นอาจไม่สามารถช่วยเราได้ในทุกสถานการณ์ การรู้จักใช้ชีวิตในแต่ละวันและมีทักษะที่จำเป็นสามารถช่วยให้เราผ่านพ้นอุปสรรคที่เกิดขึ้นได้ในที่สุด

นิทานเรื่องนี้เป็นเรื่องราวของอีสปและชายพายเรือที่ได้เรียนรู้ว่า ความรู้ที่ลึกซึ้งในบางด้านอาจไร้ประโยชน์หากขาดทักษะที่เหมาะสมสำหรับการเอาชีวิตรอดในสถานการณ์ที่ท้าทาย… กับนิทานอีสปเรื่องอีสปกับคนพายเรือ

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องอีสปกับคนพายเรือ

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องอีสปกับคนพายเรือ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เช้าวันหนึ่งที่แม่น้ำสงบเงียบ อีสปได้เดินทางมายังริมฝั่งแม่น้ำพร้อมกระเป๋าสะพายเล็ก ๆ ของเขา เขามองเห็นเรือขนาดเล็กที่จอดอยู่ริมฝั่ง คนพายเรือสูงวัยแต่มีกล้ามแขนแข็งแรงจากการพายเรืออยู่เป็นประจำ เมื่อทั้งสองมองตากัน อีสปจึงเดินเข้าไปหาชายพายเรือและกล่าวทักทายอย่างสุภาพ

“ท่านคนพายเรือ ข้าต้องการข้ามแม่น้ำ เจ้าพอจะรับข้าข้ามฝั่งได้หรือไม่?” อีสปกล่าว

ชายพายเรือยิ้มและพยักหน้า “ได้สิ ข้าเป็นคนพายเรือประจำที่นี่อยู่แล้ว ขึ้นมาเลยเถอะ!”

เรือถูกพายไปอย่างช้า ๆ ด้วยเสียงของกระแสน้ำที่ไหลเบา ๆ ทั้งสองนั่งเงียบไปพักหนึ่งก่อนที่อีสปจะเริ่มถามคำถามกับชายพายเรือ

“ท่านพอจะรู้หรือไม่ว่า ดวงดาวบนท้องฟ้านั้นมีชื่อเรียกว่าอะไรบ้าง?” อีสปเริ่มถาม

ชายพายเรือส่ายหัว “ข้าคงไม่รู้หรอกท่าน ข้าใช้เวลาทั้งวันกับการพายเรือให้คนข้ามฝั่ง และในตอนกลางคืนข้าก็ต้องพักผ่อน”

อีสปพยักหน้าก่อนจะพูดเบา ๆ “งั้นก็คงเสียเวลาท่านไป หนึ่งในสี่ของชีวิตเพราะไม่ได้เรียนรู้เรื่องดวงดาวเลย”

ชายพายเรือฟังแล้วเริ่มนึกสงสัย “ทำไมข้าถึงต้องรู้เรื่องดวงดาวด้วยล่ะท่าน ข้าเพียงแค่พายเรือเป็นก็เพียงพอสำหรับการใช้ชีวิตแล้ว”

ทั้งสองสนทนากันต่อไป อีสปก็ถามอีกว่า “แล้วท่านรู้หรือไม่ว่าดินแดนและแผนที่ของเมืองต่าง ๆ มีหน้าตาอย่างไรบ้าง?”

ชายพายเรือส่ายหัวอีกครั้ง “ข้าไม่รู้หรอกท่าน ข้าอยู่ที่นี่มาตลอดชีวิต ข้าไม่เคยออกไปไกลจากริมฝั่งแม่น้ำเลย”

อีสปหัวเราะเบา ๆ แล้วตอบว่า “งั้นท่านก็เสียเวลาชีวิตไปอีก 1 ใน 4 ที่ไม่ได้เรียนรู้เรื่องภูมิศาสตร์”

ชายพายเรือเริ่มรู้สึกไม่สบายใจและคิดว่าเขาอาจจะเสียโอกาสในการเรียนรู้สิ่งสำคัญในชีวิตไป

อีสปยังคงถามต่อไป “ท่านรู้หรือไม่เกี่ยวกับวรรณกรรมหรือบทกวีใด ๆ?”

ชายพายเรือส่ายหัวอีกครั้ง “ข้าไม่รู้เลยท่าน ข้าไม่มีเวลาที่จะนั่งอ่านหนังสือ ข้าต้องทำงานทุกวัน”

อีสปยิ้มแล้วกล่าวว่า “งั้นท่านก็เสียเวลาไปอีก 1 ใน 4 ของชีวิตที่ไม่ได้สัมผัสกับความงามของวรรณกรรม”

เมื่อชายพายเรือได้ยินเช่นนั้น เขาก็เริ่มรู้สึกหมดหวังในชีวิต เพราะดูเหมือนว่าเขาได้สูญเสียเวลาชีวิตไปถึงสามในสี่แล้ว

ทันใดนั้นเอง เกิดลมพัดแรงขึ้น ท้องฟ้ามืดคลึ้มและคลื่นสูงขึ้นเรื่อย ๆ เรือเล็ก ๆ ของทั้งสองเริ่มถูกพัดโคลงเคลง ชายพายเรือก้มลงมองน้ำและเริ่มพยายามพายเรืออย่างรวดเร็วเพื่อหนีคลื่น

“ท่านว่ายน้ำเป็นหรือไม่?” ชายพายเรือตะโกนถามอีสปขณะพายเรือสุดแรง

อีสปตกใจและตอบกลับ “ข้า…ข้าไม่เป็น!”

ชายพายเรือหัวเราะและกล่าวว่า “งั้นท่านคงจะเสียสิ่งที่ท่านสั่งสมมาไปทั้งหมดเสียแล้ว เพราะเรือของเรากำลังจะล่ม! ในขณะที่ท่านรู้มากมายเกี่ยวกับดวงดาว แผนที่ และวรรณกรรม แต่มันก็ไม่มีประโยชน์หากท่านไม่รู้วิธีการว่ายน้ำในขณะนี้!”

อีสปยิ้มออกมาพร้อมกับเข้าใจว่าไม่ว่าความรู้จะมากมายเพียงใด แต่ถ้าขาดทักษะที่จำเป็นต่อสถานการณ์เฉพาะหน้า ความรู้ทั้งหมดนั้นก็อาจไม่สามารถช่วยให้รอดพ้นจากสถานการณ์ที่ต้องเผชิญได้

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องอีสปกับคนพายเรือ 2

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานนี้สอนให้เราเข้าใจว่าความรู้และทักษะต่าง ๆ นั้นมีความสำคัญ แต่เราควรเรียนรู้และฝึกฝนทักษะที่จำเป็นในชีวิตประจำวันด้วย ไม่เพียงแค่ความรู้ในตำราเท่านั้น สิ่งที่สำคัญคือความสามารถในการใช้ความรู้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ หากเรารู้มากแต่ขาดทักษะพื้นฐานในการใช้ชีวิต เราอาจจะไม่สามารถรอดพ้นจากสถานการณ์ที่คับขันได้

นิทานเรื่องนี้ยังสอนให้เห็นความสำคัญของการไม่ประมาทและมีความถ่อมตนในความรู้ของตนเอง ทุกความรู้นั้นมีคุณค่า แต่เราก็ไม่ควรละเลยที่จะเรียนรู้และฝึกทักษะที่จำเป็นในชีวิต เพราะเราไม่มีทางรู้ว่าเราจะต้องเผชิญกับสถานการณ์อะไรในอนาคต

ที่มาของนิทาน

นิทานอีสปเรื่องอีสปกับคนพายเรือ (อังกฤษ: Aesop and the Ferryman) เป็นส่วนหนึ่งของนิทานปรัมปราของอีสป ผู้เล่าเรื่องที่มีชื่อเสียงของกรีกโบราณ ซึ่งนิทานของเขามักมีเนื้อหาเพื่อสะท้อนความจริงในชีวิตและสอนบทเรียนเชิงปรัชญา ว่ากันว่ามีต้นกำเนิดมาจากการบันทึกของอริสโตเติลและการนำเสนอในบทกวีของ Babrius นิทานนี้สะท้อนแนวคิดเกี่ยวกับการเตรียมตัวให้พร้อมกับความเปลี่ยนแปลงในชีวิต รวมถึงความสำคัญของการปรับตัวและความถ่อมตนในความรู้ นิทานเรื่องนี้ได้ถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 8 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ)

นิทานเรื่องนี้สอนว่า ผู้ที่เยาะเย้ยคนที่เหนือกว่าตนย่อมก่อปัญหาให้กับตัวเอง

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com