นิทานอีสปเรื่องปูกับสุนัขจิ้งจอก

ในชายฝั่งทะเลที่เงียบสงบและเต็มไปด้วยโขดหิน มีปูตัวหนึ่งที่ใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยของมัน โขดหินเหล่านั้นปกป้องมันจากคลื่นแรงและภัยร้ายอื่น ๆ ปูพอใจกับชีวิตเรียบง่ายในที่ที่มันคุ้นเคย

แต่วันหนึ่ง ความอยากรู้อยากเห็นทำให้มันเหลียวมองออกไปยังทุ่งหญ้าที่กว้างใหญ่ มันเริ่มคิดว่าอาจจะมีสิ่งใหม่ ๆ ให้ค้นหาและชีวิตที่ตื่นเต้นกว่าเดิม เรื่องราวของการละทิ้งความปลอดภัยเพื่อตามหาความแปลกใหม่นั้นกำลังจะเริ่มต้นขึ้นในนิทานอีสปเรื่องปูกับสุนัขจิ้งจอก

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องปูกับสุนัขจิ้งจอก

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องปูกับสุนัขจิ้งจอก

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ชายหาดที่สงบเงียบ มีปูตัวหนึ่งอาศัยอยู่ท่ามกลางโขดหินใหญ่ มันรักบ้านของมัน เพราะโขดหินช่วยป้องกันทั้งคลื่นและภัยอันตรายจากผู้ล่า ปูรู้สึกปลอดภัยที่นี่และใช้ชีวิตอย่างสบายใจ

แต่แล้ว วันหนึ่ง ปูเริ่มรู้สึกเบื่อกับการอยู่ในที่เดิมทุกวัน มันมองออกไปยังชายหาดที่เปิดโล่งและได้ยินเสียงนกร้อง กลิ่นหญ้าทะเลโชยมา ปูคิดว่า

“ถ้าเราได้ลองออกไปเห็นโลกกว้าง มันคงน่าตื่นเต้นไม่น้อย”

มันใช้เวลาตรึกตรองอยู่หลายวัน และในที่สุด ปูก็ตัดสินใจว่าอยากจะออกจากโขดหินไปสำรวจพื้นที่ใหม่ ๆ บนชายหาด

“ข้าอยากจะเห็นชายหาดในมุมอื่นบ้าง” ปูพูดกับตัวเอง “บางที อาจจะมีที่ใหม่ที่กว้างขวางและสวยงามกว่าที่นี่”

เช้าวันหนึ่ง ปูจึงเริ่มเดินออกจากโขดหิน เดินไปยังพื้นที่โล่งของชายหาด มันรู้สึกตื่นเต้นกับความแปลกใหม่ที่ได้พบ เห็นคลื่นซัดเข้ามาใกล้ ฝูงนกบินผ่านไป และแสงแดดส่องสะท้อนเป็นประกายบนผิวทะเล

“ช่างงดงามอะไรเช่นนี้!” ปูอุทานอย่างตื่นเต้น “ที่นี่ทั้งสว่างไสวและเปิดกว้าง ต่างจากโขดหินแคบ ๆ ของข้าจริง ๆ”

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องปูกับสุนัขจิ้งจอก 2

แต่ในขณะที่ปูกำลังเพลิดเพลินอยู่นั้น สุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งที่เดินผ่านมาสังเกตเห็นปูอยู่กลางชายหาด มันยิ้มและเลียริมฝีปาก พึมพำกับตัวเองว่า

“ดูเหมือนข้าจะมีอาหารเช้าแล้วนะ วันนี้โชคดีจริง ๆ!”

สุนัขจิ้งจอกเดินตรงมาหาปูอย่างเงียบเชียบ เมื่อปูรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของบางอย่างในสายลม มันหันกลับไปมองและเห็นสุนัขจิ้งจอกที่กำลังตรงเข้ามา ปูตกใจมาก

“ไม่นะ! ข้าไม่น่าทิ้งโขดหินที่ปลอดภัยออกมาเลย!” ปูร้องด้วยความเสียใจ “ถ้าข้ายังอยู่ที่นั่น ข้าคงไม่ต้องเจออันตรายเช่นนี้”

สุนัขจิ้งจอกยิ้มเยาะและพูดขึ้นว่า “ข้าคิดว่าเจ้าเลือกผิดนะ เจ้าปูตัวน้อย นี่ไม่ใช่ที่สำหรับเจ้า”

ปูพยายามหันหลังกลับไปที่โขดหิน มันพยายามหนี แต่ความช้าของมันทำให้ไม่สามารถรอดพ้นจากการไล่ล่าของสุนัขจิ้งจอกได้ ท้ายที่สุด สุนัขจิ้งจอกก็พุ่งเข้ามาจับปูไว้แน่น

ก่อนที่ปูจะถูกกิน มันได้แต่คิดในใจว่า “การละทิ้งที่ปลอดภัยเพราะความอยากรู้อยากเห็นของข้า ทำให้ข้าต้องพบจุดจบเช่นนี้”

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องปูกับสุนัขจิ้งจอก 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การละทิ้งที่ปลอดภัยอาจนำมาซึ่งอันตรายที่เราไม่คาดคิด บางครั้ง ความอยากรู้อยากเห็นหรือความต้องการเปลี่ยนแปลงอาจทำให้เราลืมเห็นคุณค่าของความปลอดภัยที่เรามีอยู่ ความเสี่ยงที่ไม่จำเป็นอาจทำให้เราสูญเสียสิ่งสำคัญที่เรามองข้ามไป และยังสอนให้เราไม่ประมาทกับชีวิตแม้จะอยู่จุดไหนก็ตาม

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องปูกับสุนัขจิ้งจอก (อังกฤษ: The Crab and the Fox) มีต้นกำเนิดจากนิทานอีสปของกรีกโบราณ ถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 116 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) โดยเล่าถึงปูที่ละทิ้งชายฝั่งทะเลและออกไปยังทุ่งหญ้า แต่กลับถูกสุนัขจิ้งจอกจับกิน และแฝงข้อคิดว่า คนที่ละทิ้งหน้าที่และสภาพแวดล้อมที่ตนคุ้นเคย มักพบกับความล้มเหลว ซึ่งสะท้อนว่าความปลอดภัยในสภาพแวดล้อมเดิมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับบางชีวิต

นิทานเรื่องนี้แสดงให้เราเห็นว่า คนย่อมล้มเหลวเมื่อละทิ้งสิ่งที่ตนคุ้นเคย แล้วหันไปทำสิ่งที่ตนไม่รู้จักเลย

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องแมวกับหนู

ในบ้านหลังหนึ่งที่เต็มไปด้วยซอกมุมและที่ซ่อน หนูมากมายอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข แต่แล้ววันหนึ่งเจ้าของบ้านนำแมวตัวหนึ่งเข้ามาเพื่อกำจัดหนู ทำให้พวกมันตกอยู่ในความหวาดกลัว

แมวผู้เงียบเชียบคอยจ้องจะจับหนูทุกตัว หนูเหล่านั้นจึงคิดหาทางป้องกันตัวเองให้รอดจากนักล่าผู้เก่งกาจนี้ เรื่องราวของแผนการอันชาญฉลาด แต่ยากที่จะลงมือทำจริง จะถูกถ่ายทอดในนิทานอีสปเรื่องแมวกับหนู

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องแมวกับหนู

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องแมวกับหนู

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในบ้านหลังหนึ่งที่เต็มไปด้วยหนูจำนวนมาก พวกมันใช้ชีวิตอย่างร่าเริง วิ่งไปมารอบ ๆ บ้านเพื่อหาอาหารและเล่นสนุกกันทุกวัน จนกระทั่งวันหนึ่ง เจ้าของบ้านเริ่มเบื่อกับการถูกหนูรบกวน จึงนำแมวตัวใหญ่เข้ามาเพื่อกำจัดหนู

เมื่อแมวมาถึง หนูทั้งหลายต่างหวาดกลัว เพราะแมวตัวนี้ล่าเก่งและเคลื่อนไหวเงียบจนหนูไม่ทันระวังตัว หลายตัวถูกจับไปโดยไม่ทันตั้งตัว ทำให้หนูที่เหลือพากันหลบซ่อนด้วยความหวาดกลัว

หนูตัวหนึ่งจึงเสนอให้พวกมันจัดการประชุมฉุกเฉินเพื่อหาทางรอดจากอันตรายนี้ พวกมันมารวมตัวกันในมุมลับของบ้าน เพื่อพูดคุยหาทางป้องกันตัวจากแมว

หนูตัวหนึ่งพูดขึ้นว่า “พวกเราต้องหาวิธีป้องกันไม่ให้แมวมาใกล้โดยที่เราไม่รู้ตัวอีกต่อไป”

หนูอีกตัวพยักหน้าเห็นด้วย “ใช่แล้ว! เราต้องหาวิธีทำให้รู้ว่าแมวอยู่ใกล้เมื่อไหร่ จะได้เตรียมตัวหนีทัน”

ในขณะที่ทุกตัวกำลังคิดหนัก หนูฉลาดตัวหนึ่งก็ยกมือตะโกนด้วยความตื่นเต้น “ข้ามีแผนที่ดีมาก เราจะผูกกระดิ่งไว้ที่คอแมว!”

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องแมวกับหนู 2

ทุกตัวหันมามองมันด้วยความสนใจ หนูฉลาดพูดต่อ “ถ้ามีกระดิ่งที่คอแมว เมื่อใดก็ตามที่มันเดินเข้ามาใกล้ พวกเราจะได้ยินเสียงกระดิ่งและจะหนีทัน”

หนูทั้งหลายส่งเสียงโห่ร้องด้วยความยินดี “แผนนี้ดีจริง ๆ! ผูกกระดิ่งไว้ที่คอแมว พวกเราจะปลอดภัย!”

แต่แล้ว หนูแก่ตัวหนึ่งซึ่งฟังอยู่เงียบ ๆ ตลอด ก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “แผนนี้ฟังดูดี แต่ข้ามีคำถามสำคัญอยู่นะ”

ทุกตัวเงียบและหันมามองหนูแก่

มันพูดต่อ “ใครจะเป็นคนกล้าพอที่จะเอากระดิ่งไปผูกที่คอแมว?”

บรรยากาศในที่ประชุมเงียบลงทันที หนูแต่ละตัวมองหน้ากันด้วยความกังวล ไม่มีใครกล้าพูดอะไร ทุกตัวเริ่มเข้าใจว่าการจะเอากระดิ่งไปผูกที่คอแมวนั้นอันตรายเกินไปและไม่มีใครกล้าทำ

ในที่สุด การประชุมจบลงโดยไม่มีทางแก้ที่เป็นไปได้ หนูทั้งหลายกลับไปด้วยความสิ้นหวัง พวกมันเรียนรู้ว่า แม้แผนการอาจดูดีเพียงใด แต่ถ้าไม่มีใครกล้าหาญมาลงมือทำ แผนการนั้นก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องแมวกับหนู 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การวางแผนที่ดีอาจฟังดูง่าย แต่การลงมือปฏิบัติให้สำเร็จนั้นต้องการความกล้าหาญและความรับผิดชอบ หากไม่มีผู้ใดพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับความท้าทาย แผนการที่ดีเพียงใดก็ไม่อาจเกิดผลได้ ดังนั้น สิ่งสำคัญไม่ใช่เพียงแค่การคิดแผนที่ดูดี แต่คือการพร้อมลงมือทำเพื่อให้แผนสำเร็จ

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องแมวกับหนู (อังกฤษ: The Cat and the Mice) ถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 79 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) เป็นหนึ่งในนิทานอีสปที่เก่าแก่และมีหลายรูปแบบ ต้นฉบับหนึ่งเล่าเกี่ยวกับฝูงหนูที่ถูกรบกวนโดยแมวที่ถูกนำเข้ามาเพื่อกำจัดพวกมัน หนูจึงตัดสินใจประชุมกันเพื่อหาวิธีป้องกันตนเอง พวกมันได้ข้อสรุปว่า หากสามารถผูกกระดิ่งที่คอแมวได้ ทุกตัวจะรู้ว่าแมวเข้ามาใกล้เมื่อได้ยินเสียงกระดิ่ง แต่ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดเกิดขึ้นเมื่อไม่มีหนูตัวใดกล้าหาญพอที่จะนำกระดิ่งไปผูกที่คอแมว ทำให้แผนการต้องพับไปเพราะไม่มีใครลงมือปฏิบัติ

นิทานเรื่องนี้พบในงานเขียนของนักเล่านิทานโบราณหลายคน เช่น Babrius และ Phaedrus และยังมีปรากฏในนิทานพื้นบ้านของหลายวัฒนธรรม ความนิยมของนิทานนี้ทำให้เกิดคำสำนวน “belling the cat” หรือแปลว่ากระดิ่งแมว ซึ่งหมายถึงการเสนอแผนการที่ดูดี แต่ขาดการปฏิบัติจริง นิทานนี้สะท้อนบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับความกล้าหาญและความรับผิดชอบในการลงมือทำตามแผน ไม่เช่นนั้น แผนที่ดีเพียงใดก็จะเป็นไปไม่ได้

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องวัวกระทิงกับสิงโต

ในดินแดนที่กว้างใหญ่ มีทุ่งหญ้าเขียวขจีที่เป็นบ้านของเหล่าสัตว์มากมาย ที่นั่น วัวกระทิงสามตัวอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข พวกมันไม่เพียงแต่เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน แต่ยังคอยปกป้องซึ่งกันและกัน ทำให้ทุกสิ่งดำเนินไปอย่างราบรื่น

ทว่า ในเงามืดที่ห่างออกไป สิงโตตัวหนึ่งเฝ้ามองวัวกระทิงเหล่านี้มานาน มันปรารถนาจะล่าและกินพวกมันเพื่อดับความหิวโหย แต่ตราบใดที่วัวกระทิงอยู่รวมกัน ความแข็งแกร่งและความสามัคคีของพวกมันทำให้สิงโตไม่อาจเข้าโจมตีได้ เรื่องราวของการวางแผนอย่างแยบยลและบทเรียนแห่งความสามัคคีจะถูกถ่ายทอดในนิทานอีสปเรื่องวัวกระทิงกับสิงโต

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องวัวกระทิงกับสิงโต

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องวัวกระทิงกับสิงโต

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ มีวัวกระทิงสามตัวเป็นเพื่อนรักที่คอยช่วยเหลือและปกป้องกันและกัน พวกมันอยู่ร่วมกันเสมอ ไม่ว่าไปที่ไหนหรือทำอะไร ด้วยความแข็งแกร่งของพวกมัน ไม่มีสัตว์ตัวไหนกล้าเข้ามาโจมตี โดยเฉพาะสิงโตที่เฝ้ามองอยู่ไกล ๆ เพราะรู้ดีว่าหากมันเข้าโจมตีพวกวัวพร้อมกัน ไม่มีทางที่มันจะชนะได้

วันหนึ่ง สิงโตที่หิวโหยและเจ้าเล่ห์คิดหาวิธีแยกวัวกระทิงทั้งสามออกจากกัน มันเริ่มเข้าไปกระซิบให้วัวแต่ละตัวเกิดความสงสัยในเพื่อน ๆ โดยมันบอกวัวกระทิงตัวแรกว่า “เจ้าไม่รู้หรือว่าเพื่อนของเจ้าไม่ได้จริงใจกับเจ้า พวกมันเอาเปรียบเจ้าในทุกโอกาส” วัวกระทิงตัวแรกเริ่มขมวดคิ้วและคิดตาม

ต่อมา สิงโตก็เดินไปหาวัวกระทิงตัวที่สองและพูดอย่างมีเลศนัย “เจ้าไม่เห็นหรือว่าเพื่อนของเจ้ากำลังจับตามองเจ้า และพวกมันคิดว่าเจ้าเป็นภาระ” วัวกระทิงตัวที่สองเริ่มรู้สึกไม่สบายใจและเริ่มระแวง

เมื่อสิงโตวางแผนหว่านล้อม วัวกระทิงแต่ละตัวก็เริ่มมีความสงสัยในเพื่อนของตน หลังจากที่สิงโตไปพูดกับวัวกระทิงตัวแรก มันก็เริ่มมีท่าทีไม่ไว้ใจเพื่อน ๆ ของมัน

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องวัวกระทิงกับสิงโต 2

วันหนึ่ง ขณะที่วัวกระทิงทั้งสามกำลังพักผ่อนอยู่ด้วยกัน วัวกระทิงตัวแรกพูดขึ้นด้วยเสียงขุ่นเคือง “ข้ารู้สึกว่า ข้าทำงานหนักกว่าใคร แต่ดูเหมือนว่าพวกเจ้าจะไม่ได้ช่วยข้ามากนัก”

วัวกระทิงตัวที่สองขมวดคิ้วตอบกลับอย่างไม่พอใจ “เจ้าพูดอะไรน่ะ? ข้าเองก็ทำงานไม่แพ้เจ้า ข้าต่างหากที่รู้สึกว่าเจ้าเอาเปรียบเรา!”

วัวกระทิงตัวที่สามมองเพื่อนทั้งสองด้วยความสับสน แต่ก็เริ่มรู้สึกไม่พอใจเช่นกัน “ใช่แล้ว ข้ารู้สึกว่าเจ้าสองตัวนั้นคอยจับตามองข้าอยู่เสมอ ราวกับว่าข้าเป็นตัวปัญหา”

การสนทนาที่เริ่มจากความไม่พอใจเล็ก ๆ กลายเป็นการทะเลาะกันอย่างเผ็ดร้อน วัวกระทิงแต่ละตัวต่างก็พูดคำพูดที่ขมขื่นและบาดใจใส่กัน

“ถ้าเจ้าคิดเช่นนั้น ก็อย่าได้คาดหวังให้ข้าอยู่ข้างเจ้า!” วัวกระทิงตัวแรกพูดอย่างโมโหและเดินแยกตัวออกไป

“ดี! ข้าก็ไม่อยากอยู่กับเจ้าเหมือนกัน!” วัวกระทิงตัวที่สองตอบเสียงดัง

วัวกระทิงตัวที่สามได้แต่ถอนหายใจและพูดเบา ๆ “ถ้าอย่างนั้น ข้าก็จะไปทางของข้าเองเช่นกัน ข้าทนกับพวกเจ้าไม่ไหวแล้ว”

หลังจากวันนั้น วัวกระทิงทั้งสามต่างแยกย้ายกันไปอยู่คนละที่ ไม่มีใครต้องการพบหน้ากันอีก สิงโตที่ซุ่มดูอยู่แอบยิ้มอย่างพอใจที่แผนการของมันสำเร็จ

และในที่สุด วัวกระทิงแต่ละตัวที่เคยแข็งแกร่งเมื่ออยู่ร่วมกัน แต่กลับอ่อนแอเมื่อต้องต่อสู้เพียงลำพัง เมื่อเห็นว่าพวกวัวกระทิงต่างก็อยู่ตัวคนเดียว มันจึงเข้าโจมตีทีละตัว พวกมันตกเป็นเหยื่อของสิงโตทีละตัว จนไม่มีใครรอดพ้นจากการโจมตีของนักล่าผู้ชาญฉลาด

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องวัวกระทิงกับสิงโต 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความสามัคคีและการยืนหยัดร่วมกันคือพลังที่ยิ่งใหญ่ เมื่อเราร่วมมือและสนับสนุนกัน เราจะสามารถเผชิญหน้ากับอุปสรรคและความยากลำบากได้อย่างเข้มแข็ง แต่หากเราแตกคอกันเพราะความระแวงและขัดแย้ง ความสามัคคีที่หายไปจะทำให้เรากลายเป็นเป้าหมายที่อ่อนแอและพ่ายแพ้ในที่สุด นิทานนี้เตือนให้เรารู้ถึงความสำคัญของการรักษาความสัมพันธ์และการไว้วางใจในกันและกัน

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องวัวกระทิงกับสิงโต (อังกฤษ: The Bulls and the Lion) ถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 372 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) ซึ่งเป็นนิทานอีสปที่สอนถึงความสำคัญของความสามัคคีและการร่วมมือกัน นิทานเล่าถึงวัวกระทิงสามตัวที่เป็นเพื่อนรักกันและมักอยู่ร่วมกันเสมอ ความสามัคคีและการปกป้องกันและกันของพวกมันทำให้สิงโตไม่สามารถเข้าโจมตีได้ เพราะหากโจมตีวัวกระทิงทั้งสามพร้อมกัน มันก็จะพ่ายแพ้ในที่สุด

ด้วยความหิวและต้องการหาวิธีกินวัวกระทิง สิงโตจึงคิดแผนการที่จะทำให้พวกมันแตกคอกัน มันใช้วิธีการพูดหว่านล้อมให้แต่ละตัวรู้สึกระแวงและไม่ไว้ใจเพื่อนของตนเอง จนกระทั่งวัวกระทิงทั้งสามเริ่มห่างเหินกันและแยกออกไปอยู่ตัวคนเดียว เมื่อเห็นว่าวัวกระทิงแยกจากกันแล้ว สิงโตก็ฉวยโอกาสเข้าโจมตีทีละตัวจนสำเร็จ ในที่สุด วัวกระทิงแต่ละตัวก็ถูกล่าไปอย่างง่ายดายเพราะขาดพลังจากความสามัคคีที่เคยมี

นิทานเรื่องนี้เป็นบทเรียนสำคัญในหลายวัฒนธรรม โดยเตือนใจให้เห็นว่าความแตกแยกและความไม่สามัคคีจะนำมาซึ่งความอ่อนแอ เมื่อเราแตกคอกันและยืนหยัดเพียงลำพัง ความแข็งแกร่งที่เคยมีจะหายไป ทำให้เรากลายเป็นเป้าหมายที่ง่ายต่อการถูกโจมตี

นิทานเรื่องนี้สื่อถึงเมืองและผู้คนก็เป็นเช่นเดียวกัน หากมีความสามัคคี พวกเขาจะไม่ปล่อยให้ศัตรูเอาชนะได้ แต่หากแตกแยก ไม่ร่วมมือกัน ศัตรูก็จะทำลายพวกเขาได้โดยง่าย

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องเด็กเลี้ยงแกะ

ในหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง มีเด็กชายคนหนึ่งที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลฝูงแกะทุกวัน เขาพาฝูงแกะไปเลี้ยงบนเนินเขาและเฝ้าระวังไม่ให้หมาป่ามากินแกะของเขา การดูแลฝูงแกะทุกวันทำให้เขารู้สึกเบื่อหน่าย และในความเหงานั้น เขาจึงคิดหาวิธีสร้างความสนุกสนานให้ตนเอง

เรื่องราวของเด็กชายที่แกล้งร้องเตือนชาวบ้านว่า “หมาป่ามา!” กลายเป็นนิทานเตือนใจที่มีชื่อเสียง แม้ว่าคำพูดของเขาจะทำให้เกิดความวุ่นวาย แต่เมื่อหมาป่าปรากฏตัวขึ้นจริง ๆ การล้อเล่นของเขากลับทำให้เขาต้องพบกับบทเรียนสำคัญ กับนิทานอีสปเรื่องเด็กเลี้ยงแกะ

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องเด็กเลี้ยงแกะ

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องเด็กเลี้ยงแกะ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง มีเด็กชายคนหนึ่งได้รับมอบหมายให้ดูแลฝูงแกะของหมู่บ้าน เขาพาฝูงแกะไปเลี้ยงในทุ่งหญ้าบนเนินเขาทุกวัน และหน้าที่ของเขาคือเฝ้าระวังไม่ให้หมาป่ามากินแกะ

วันหนึ่ง ขณะที่เขากำลังนั่งเฝ้าแกะไปเรื่อย ๆ เด็กชายก็รู้สึกเบื่อหน่ายและคิดหาวิธีเล่นสนุก เขานึกขึ้นได้ว่าถ้าตะโกนว่า “หมาป่า! หมาป่ามาแล้ว!” ชาวบ้านคงจะตกใจและวิ่งมาช่วยแน่ ๆ

เขายิ้มเจ้าเล่ห์แล้วตะโกนสุดเสียง “ช่วยด้วย! หมาป่ามากินแกะแล้ว!”

ชาวบ้านที่อยู่ใกล้ ๆ ได้ยินก็รีบวิ่งขึ้นมาบนเนินเขาพร้อมอาวุธในมือ

“หมาป่าอยู่ไหน?” ชายชราคนหนึ่งถามอย่างกระตือรือร้น

“ใช่ แล้วแกะของเจ้าล่ะ?” ผู้หญิงคนหนึ่งถามด้วยความเป็นห่วง

เด็กชายหัวเราะเสียงดัง “ไม่มีหมาป่าหรอก ข้าแค่ล้อพวกท่านเล่น!”

ชาวบ้านต่างพากันถอนหายใจด้วยความโล่งใจ แต่ก็ดุเด็กชายเบา ๆ ก่อนจะกลับลงไปที่หมู่บ้าน

สองสามวันต่อมา เด็กชายก็รู้สึกเบื่ออีกครั้ง เขาจึงตะโกนขึ้นมาอีก “หมาป่า! หมาป่ามากินแกะแล้ว!”

เมื่อได้ยินเสียงร้อง ชาวบ้านก็รีบวิ่งขึ้นมาช่วยอีกครั้ง แต่เมื่อไปถึงก็พบว่าเป็นคำโกหกเหมือนเดิม เด็กชายหัวเราะขำขันและมองดูความวุ่นวายที่ตนเองก่อขึ้น

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องเด็กเลี้ยงแกะ 2

“เจ้าล้อเล่นกับเราอีกแล้วหรือ?” ชายชราคนหนึ่งกล่าวพร้อมส่ายหัว

“อย่าทำแบบนี้อีกนะ!” ชาวบ้านอีกคนเตือน

เด็กชายเพียงแค่ยิ้มและพยักหน้าเล็กน้อย แต่ในใจยังคงสนุกกับการแกล้งคนอื่น

ไม่นานหลังจากนั้น วันหนึ่งหมาป่ามาจริง ๆ มันปรากฏตัวขึ้นพร้อมสายตาหิวโหยและเข้าจู่โจมฝูงแกะ เด็กชายตกใจและตะโกนสุดเสียง “ช่วยด้วย! หมาป่ามากินแกะแล้ว!”

แต่คราวนี้ ชาวบ้านไม่มีใครสนใจเสียงของเขาอีกต่อไป

“เจ้าคงล้อพวกเราอีกเหมือนเดิม” ชายคนหนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงเฉยชา

“อย่าไปสนใจเลย เราเสียเวลาไปพอแล้ว” อีกคนเสริม

เด็กชายตะโกนอย่างสิ้นหวัง “ช่วยด้วย! หมาป่ามาจริง ๆ!” แต่ไม่มีใครเชื่อเขาอีกแล้ว หมาป่าจู่โจมฝูงแกะจนเด็กชายไม่สามารถป้องกันได้ และแกะหลายตัวถูกหมาป่ากินไป

ในที่สุด เด็กชายต้องกลับบ้านด้วยความเสียใจ เขารู้แล้วว่าการโกหกของเขาเองเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาสูญเสียฝูงแกะ ไม่มีใครเชื่อเขาเมื่อเขาต้องการความช่วยเหลือจริง ๆ

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องเด็กเลี้ยงแกะ 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การพูดเท็จบ่อย ๆ จะทำให้เราสูญเสียความเชื่อถือจากผู้อื่น เมื่อถึงเวลาที่เราต้องการความช่วยเหลือหรือพูดความจริง คนอื่นอาจไม่เชื่อเราอีกต่อไป เพราะพวกเขาเคยถูกหลอกลวงมาแล้ว ความซื่อสัตย์และความจริงใจจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้เราได้รับความไว้วางใจจากผู้อื่น

ที่มาของนิทาน

นิทานนิทานอีสปเรื่องเด็กเลี้ยงแกะ (อังกฤษ: The Boy Who Cried Wolf) ถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 210 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) เรื่องราวนี้เกี่ยวกับเด็กชายที่ตะโกนว่า “หมาป่ามา!” หลายครั้งเพื่อแกล้งชาวบ้าน เมื่อหมาป่ามาจริง ๆ ชาวบ้านไม่เชื่อ ทำให้ฝูงแกะของเขาถูกหมาป่ากิน นิทานนี้ถูกใช้สอนเรื่องผลเสียของการโกหกและสร้างสำนวน “to cry wolf” ซึ่งหมายถึงการเตือนภัยหลอกจนไม่มีใครเชื่อเมื่อเกิดเหตุจริง (และพจนานุกรมภาษาอังกฤษแห่ง Oxford ได้อธิบายว่าหมายถึงการกล่าวอ้างเท็จ) นับเป็นนิทานสำคัญที่ปรากฏในคัมภีร์ภาษากรีกโบราณและมีการแปลภายหลัง

นิทานเรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงผลตอบแทนของคนโกหก แม้ในยามที่พูดความจริง ก็จะไม่มีใครเชื่อถือ

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องคนจับนกกับนกแบล็กเบิร์ด

ในป่าทึบแห่งหนึ่ง มีชายผู้ชำนาญในการจับนก ใช้คำพูดหลอกลวงเพื่อดึงดูดนกเข้ามาติดกับดัก หนึ่งในนกที่หลงเชื่อคือ นกแบล็กเบิร์ด ซึ่งถูกหลอกให้เชื่อคำสัญญาว่าจะได้สิ่งดี ๆ แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นการถูกจับอย่างง่ายดาย โดยไม่ทันระวังผลลัพธ์ที่ตามมา

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ถึงบทเรียนแห่งการรู้เท่าทันและความระมัดระวังในการตัดสินใจ ไม่ควรหลงเชื่อคำพูดที่มาจากผู้ที่มีเจตนาซ่อนเร้น เรื่องราวจะเป็นเช่นไร ติดตามได้ในนิทานอีสปเรื่องคนจับนกกับนกแบล็กเบิร์ด

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องคนจับนกกับนกแบล็กเบิร์ด

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องคนจับนกกับนกแบล็กเบิร์ด

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตด้วยการจับนกในป่า เขาออกมาทุกวันพร้อมกับตาข่ายและกับดัก ตั้งใจจะล่อนกให้มาติดกับ เพื่อจะได้นำไปขายและหาเงินเลี้ยงชีพ

ในวันหนึ่ง ขณะที่ชายคนนั้นกำลังขึงตาข่ายบนพื้นหญ้า นกแบล็กเบิร์ดตัวหนึ่งบินผ่านมาและเห็นตาข่ายที่กำลังถักทออย่างประณีต มันสงสัยว่าชายคนนั้นกำลังทำอะไรอยู่ จึงบินลงมาใกล้ ๆ แล้วเอ่ยถามด้วยความสนใจ

“ท่านกำลังสร้างอะไรอยู่หรือ?” นกแบล็กเบิร์ดถามด้วยน้ำเสียงที่อยากรู้อยากเห็น

ชายจับนกหันมามองนกแบล็กเบิร์ด แล้วยิ้มออกมา เขาคิดหาคำตอบที่ดึงดูดใจ

“โอ้ ข้ากำลังสร้างเมืองที่สวยงาม” เขาตอบพร้อมยิ้มเล็ก ๆ

“เมืองที่สวยงาม?” นกแบล็กเบิร์ดเอียงหัวด้วยความสนใจ “เมืองนั้นเป็นยังไงหรือ?”

ชายจับนกพูดต่อด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ในเมืองนี้เต็มไปด้วยสิ่งอัศจรรย์ใจ มีอาหารอุดมสมบูรณ์และที่พักพิงที่อบอุ่น เจ้าจะได้พบกับความสุขสบายที่เจ้าไม่เคยเห็นมาก่อน”

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องคนจับนกกับนกแบล็กเบิร์ด 2

ดวงตาของนกแบล็กเบิร์ดเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น มันคิดว่าที่นี่อาจจะเป็นดินแดนในฝันที่มันตามหามานาน

“จริงหรือ? แล้วข้าสามารถเข้าไปในเมืองนั้นได้ไหม?” นกแบล็กเบิร์ดถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหวัง

ชายจับนกยิ้มกว้าง “แน่นอน! เจ้าสามารถเข้าไปได้ เดินเข้าไปในตาข่ายนี้สิ แล้วเจ้าจะได้พบกับเมืองที่ข้าพูดถึง”

นกแบล็กเบิร์ดไม่ลังเล มันค่อย ๆ ก้าวเข้าไปในตาข่าย ด้วยความเชื่อใจในคำพูดของชายจับนก ทันใดนั้นเอง เมื่อมันก้าวเข้าถึงกลางตาข่าย ตาข่ายก็รัดตัวมันไว้ มันพยายามดิ้นรนแต่ไม่สามารถหลุดออกได้

“โอ้ ไม่นะ! นี่มันไม่ใช่เมืองที่สวยงามเลย” นกแบล็กเบิร์ดร้องออกมา

ชายจับนกหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าช่างเชื่ออะไรง่ายดายเกินไป เจ้าเชื่อเพียงเพราะข้าพูดสวยหรู นี่ไม่ใช่เมืองในฝัน แต่เป็นกับดักที่เจ้าติดอยู่แล้ว”

นกแบล็กเบิร์ดรู้สึกเศร้าและเสียใจ มันเข้าใจแล้วว่าตนเองถูกหลอก เพราะความเชื่อง่ายและหลงเชื่อคำพูดที่ฟังดูดีเกินจริง มันจึงกล่าวกับชายจับนกว่า “ถ้านี่คือเมืองที่เจ้าสร้างขึ้น คงไม่มีผู้อยู่อาศัยมากนักหรอก!”

จากนั้นเป็นต้นมา นกตัวอื่น ๆ ในป่าต่างได้เรียนรู้จากความผิดพลาดของนกแบล็กเบิร์ด และระมัดระวังมากขึ้น ไม่ยอมเชื่อคำพูดที่ดูดีเกินจริงอีกต่อไป

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องคนจับนกกับนกแบล็กเบิร์ด 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เราไม่ควรหลงเชื่อคำพูดที่ดูดีเกินจริงหรือสิ่งที่ดูน่าดึงดูดโดยไม่ไตร่ตรอง มิฉะนั้นอาจตกเป็นเหยื่อของกลอุบาย บางครั้งสิ่งที่สวยงามอาจเป็นเพียงภาพลวงตาหรือการหลอกลวงเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น การตัดสินใจด้วยความระมัดระวังและรอบคอบจะช่วยป้องกันไม่ให้เราตกเป็นเหยื่อของคำพูดที่หว่านล้อม และช่วยให้เราไม่ต้องเสียใจภายหลัง

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องคนจับนกกับนกแบล็กเบิร์ด (อังกฤษ: The Bird-catcher and the Blackbird) เป็นหนึ่งในนิทานอีสป ถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 193 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) เนื้อเรื่องเล่าถึงคนจับนกผู้หนึ่งที่ขึงตาข่ายไว้ในป่าเพื่อดักจับนก ในแหล่งข้อมูลของกรีก มีนกที่ชื่อว่านกกระจอก แต่ฉบับภาษาฝรั่งเศสและอังกฤษมักตั้งชื่อนกที่มีชื่อว่าแบล็กเบิร์ดว่าเป็นนกที่ปรากฏในเรื่องนี้ โดยเรื่องราวดั้งเดิมที่สุดมีเนื้อเรื่องดังนี้

ชายจับนกคนหนึ่งวางกับดักเพื่อจับนกนกลารค์ตัวหนึ่งเห็นเข้าจึงถามชายคนนั้นว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ ชายจับนกตอบว่า “ข้ากำลังก่อตั้งเมือง” แล้วเดินออกไปห่างจากกับดัก นกลารค์หลงเชื่อคำพูดของชายคนนั้น จึงบินเข้าไปหาและกินเหยื่อล่อ โดยไม่ทันรู้ตัวว่าถูกดักไว้แล้ว เมื่อชายจับนกวิ่งเข้ามาจับมันไว้ได้ นกลารค์จึงกล่าวว่า “ถ้านี่คือเมืองที่เจ้าสร้างขึ้น คงไม่มีผู้อยู่อาศัยมากนักหรอก!”

นิทานเรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า บ้านเรือนและเมืองต่าง ๆ มักถูกทอดทิ้งมากที่สุดเมื่อมีผู้ปกครองที่โหดร้ายครองอำนาจ

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องกะเพาะกับอวัยวะอื่น ๆ

ในดินแดนแห่งปัญญาและนิทานที่เต็มไปด้วยเรื่องเล่าที่สอนใจ มีนิทานเรื่องหนึ่งที่เล่าขานถึงความสามัคคีและความสำคัญของการทำงานร่วมกัน แม้ว่าบางครั้งบทบาทของแต่ละส่วนอาจดูเหมือนไม่สำคัญในสายตาของผู้อื่น แต่แท้จริงแล้ว ทุกส่วนมีความหมายและเป็นองค์ประกอบสำคัญในระบบทั้งหมด

ในเรื่องราวนี้ อวัยวะในร่างกายจะมาถกเถียงกันว่าใครมีบทบาทสำคัญที่สุดและคิดว่าบางส่วนอาจไม่จำเป็น แต่บทเรียนที่พวกมันได้รับจะทำให้เห็นถึงความจริงที่ว่า ความสำคัญไม่ได้วัดจากความโดดเด่น แต่จากความร่วมมือกันเพื่อให้ระบบดำเนินไปได้อย่างสมบูรณ์ ติดตามเรื่องราวต่อในนิทานอีสปเรื่องกะเพาะกับอวัยวะอื่น ๆ

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องกะเพาะกับอวัยวะอื่น ๆ

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องกะเพาะกับอวัยวะอื่น ๆ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ภายในร่างกายของสิ่งมีชีวิตหนึ่ง อวัยวะต่าง ๆ ได้พูดคุยกันถึงความสำคัญของตนเอง พวกมันถกเถียงกันว่าใครคือส่วนที่สำคัญที่สุด

“ข้าแน่ใจว่าข้าคือส่วนที่สำคัญที่สุด” สมองกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “ข้าควบคุมทุกสิ่ง ข้าเป็นศูนย์กลางของการคิดและการตัดสินใจ หากไม่มีข้า เจ้าทั้งหมดจะไม่มีทางทำงานได้”

หัวใจหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะพูดขึ้น “ไม่ใช่หรอก ข้าต่างหากที่สำคัญที่สุด ข้าเป็นผู้สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงทุกส่วน หากไม่มีข้า เจ้าทุกคนจะหยุดนิ่ง ไม่มีชีวิต!”

“แล้วข้าล่ะ?” มือกล่าว “ข้าคือผู้ทำงานทุกอย่าง ข้าเก็บของ สร้างสิ่งต่าง ๆ หากไม่มีข้า ใครจะทำงานล่ะ?”

เสียงการถกเถียงดังไปทั่ว จนกระทั่งกะเพาะอาหารที่เงียบฟังมานานเอ่ยขึ้นอย่างสงบ “ทุกท่าน ข้าคิดว่าตนเองก็มีบทบาทที่สำคัญไม่น้อย แม้ข้าจะไม่ได้ขยับไปไหน แต่ข้าคือผู้จัดสรรพลังงานให้กับพวกท่าน”

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องกะเพาะกับอวัยวะอื่น ๆ 2

“โอ้ เจ้ากะเพาะ เจ้าพูดอะไรน่ะ?” สมองขมวดคิ้ว “เจ้าแค่รับอาหารเข้าไปและย่อยเท่านั้น มันจะสำคัญอะไรนักหนา?”

“ถูกต้อง” มือเสริม “ถ้าเราไม่ส่งอาหารให้เจ้าดูสิว่าเจ้าจะทำอย่างไร!”

หลังจากนั้น อวัยวะต่าง ๆ ตกลงที่จะหยุดส่งอาหารให้กะเพาะ พวกมันต้องการพิสูจน์ว่าไม่มีการทำงานของกะเพาะ ทุกอย่างจะยังคงเป็นปกติ

วันแรกผ่านไป ทุกอย่างดูปกติดี แต่ในวันที่สองและสาม อวัยวะต่าง ๆ เริ่มรู้สึกอ่อนแรง

หัวใจเริ่มเต้นช้าลงและพูดอย่างเหนื่อยล้า “ทำไมเราถึงรู้สึกไม่มีพลังเช่นนี้?”

สมองรู้สึกหม่นหมองและพูดเบา ๆ “ข้าคิดไม่ชัดเจนเหมือนเคยแล้ว…เกิดอะไรขึ้น?”

ในที่สุด มือก็ยอมรับด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรง “เราผิดเอง เราคิดผิดที่หยุดส่งอาหารให้กะเพาะ”

กะเพาะที่เงียบมาตลอดเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “เห็นหรือไม่ว่าทุกคนมีบทบาทสำคัญไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงใด หากไม่มีข้า พลังงานก็จะไม่ถูกส่งต่อไปให้พวกท่าน”

อวัยวะทั้งหมดต่างสำนึกผิดและเริ่มกลับมาทำงานร่วมกันอีกครั้ง พวกมันช่วยกันส่งอาหารไปให้กะเพาะอย่างขยันขันแข็ง และไม่นานนัก พลังงานก็กลับคืนมา

“พวกเรารู้แล้ว” หัวใจพูดพร้อมรอยยิ้ม “ทุกส่วนของร่างกายล้วนสำคัญ ไม่มีใครเล็กหรือใหญ่เกินไป”

สมองพยักหน้าช้า ๆ “เราต้องเรียนรู้ที่จะเคารพและทำงานร่วมกัน”

ตั้งแต่นั้นมา อวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายก็ทำงานร่วมกันด้วยความเข้าใจและเคารพซึ่งกันและกัน พวกมันรู้ดีว่าทุกส่วนมีความสำคัญและขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไม่ได้

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องกะเพาะกับอวัยวะอื่น ๆ 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ทุกคนและทุกสิ่งมีความสำคัญในบทบาทของตนเอง แม้สิ่งที่ดูเหมือนเล็กน้อยหรือไม่น่าสนใจอาจมีความสำคัญต่อระบบทั้งหมด การทำงานร่วมกันและการเคารพในหน้าที่ของแต่ละคนเป็นสิ่งที่ช่วยให้ระบบหรือชุมชนดำเนินไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ เราไม่ควรดูถูกหรือมองข้ามบทบาทของผู้อื่น เพราะในความเป็นจริง ทุกคนล้วนมีส่วนร่วมในการทำให้ทุกสิ่งสำเร็จและมีความสมบูรณ์

ที่มาของนิทาน

นิทานอีสปเรื่องกะเพาะกับอวัยวะอื่น ๆ (อังกฤษ: The Belly and the Members) ถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 130 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) ซึ่งเป็นการจัดลำดับนิทานของอีสปและนิทานโบราณอื่น ๆ เพื่อให้ง่ายต่อการศึกษาและอ้างอิงในงานวิจัยและวรรณกรรม

มีต้นกำเนิดจากนิทานอีสปที่มีความเป็นมานานนับพันปี นิทานนี้ถูกใช้ในหลากหลายรูปแบบและตีความเพื่อสอนบทเรียนเกี่ยวกับความสำคัญของความร่วมมือและการทำงานร่วมกัน นิทานนี้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายที่คิดว่ากะเพาะอาหารไม่ได้ทำอะไรที่มีประโยชน์ จึงหยุดส่งอาหารไปให้ แต่กลับพบว่าทั้งร่างกายอ่อนแรงลง เพราะขาดพลังงานที่กะเพาะอาหารจัดสรรให้

นิทานนี้เป็นการเปรียบเปรยเพื่อแสดงให้เห็นว่า ทุกส่วนของระบบมีบทบาทที่สำคัญ ไม่ว่าจะดูเหมือนทำงานอยู่เบื้องหน้าหรือเบื้องหลัง นิทานนี้ถูกกล่าวถึงในยุคโบราณและมีการบันทึกในผลงานของนักเขียนและนักปรัชญาต่าง ๆ เช่น เมเนนิอุส อากริปปา (Menenius Agrippa) ที่นำมาใช้ในช่วงโรมันโบราณเพื่ออธิบายการทำงานร่วมกันของสังคมและการเมือง

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องหางของบีเวอร์

ในป่าใหญ่ที่เต็มไปด้วยอุปสรรคและภัยคุกคาม บีเวอร์ตัวหนึ่งต้องเผชิญกับการไล่ล่าจากมนุษย์ผู้ต้องการหางของมันไปใช้ประโยชน์ เมื่อมันรู้ว่าชีวิตของมันตกอยู่ในความเสี่ยง บีเวอร์จึงต้องใช้ปัญญาและกลยุทธ์เพื่อเอาชีวิตรอดจากการถูกจับตัวไป

นิทานเรื่องนี้จะพาผู้อ่านไปสำรวจเรื่องราวของการเสียสละและความสามารถในการใช้ปัญญาในการเผชิญกับความยากลำบาก เรื่องราวจะเป็นเช่นไร ติดตามได้ในนิทานอีสปเรื่องหางของบีเวอร์

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องหางของบีเวอร์

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องหางของบีเวอร์

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในป่าลึกใกล้แม่น้ำสายหนึ่ง มีบีเวอร์ตัวหนึ่งที่มีหางสวยงามและแข็งแรง หางของมันมีลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์สะท้อนแสงแดดยามเช้า บีเวอร์ภูมิใจในหางของมันมาก เพราะมันช่วยในการสร้างเขื่อนที่มั่นคงและแข็งแกร่ง

แต่แล้วข่าวร้ายก็แพร่สะพัดไปทั่วป่า มนุษย์กลุ่มหนึ่งเข้ามาในป่าพร้อมกับอุปกรณ์ล่าสัตว์ พวกเขาตามหาบีเวอร์ที่มีหางสวยเพื่อเอาไปทำเครื่องประดับราคาแพง

วันหนึ่ง ขณะที่บีเวอร์กำลังพักผ่อนอยู่ริมน้ำ มันได้ยินเสียงฝีเท้าและเสียงพูดคุยของมนุษย์ที่ใกล้เข้ามา

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องหางของบีเวอร์ 2

“ข้าได้ยินอะไรบางอย่าง” บีเวอร์พูดกับตัวเอง เสียงของมันสั่นเพราะความกลัว “ต้องหนีเดี๋ยวนี้!”

มันรีบพุ่งตัวหนีไปยังพุ่มไม้หนา แต่หางที่ใหญ่ทำให้การเคลื่อนไหวไม่คล่องตัวนัก เสียงของมนุษย์เริ่มดังใกล้ขึ้น

“ดูนั่นสิ! นั่นหางของบีเวอร์ที่เราตามหา!” มนุษย์ตะโกนด้วยความดีใจ

บีเวอร์หันกลับไปมองด้วยความหวาดกลัว มันรู้ว่าต้องทำบางอย่างเพื่อเอาชีวิตรอด มันกลั้นใจและพูดกับตัวเอง

“หากข้าต้องเสียสิ่งที่ข้าภาคภูมิใจเพื่อรักษาชีวิต ก็ให้เป็นเช่นนั้น”

ด้วยความเจ็บปวด บีเวอร์กัดหางของตัวเองจนหลุดออก มันร้องออกมาด้วยความเจ็บแปลบ แต่ไม่หยุดหนี มันใช้แรงเฮือกสุดท้ายพุ่งตัวเข้าพุ่มไม้ทึบ หายเข้าไปในความมืดของป่าใหญ่

มนุษย์เดินมาถึงจุดที่หางของบีเวอร์ตกอยู่ พวกเขามองดูหางด้วยความตื่นเต้น

“อย่างน้อยเราก็ได้หางมา” มนุษย์คนหนึ่งพูดพร้อมกับหยิบหางขึ้นมา

ในขณะที่มนุษย์หายไปจากสายตา บีเวอร์ซ่อนตัวอยู่ในโพรงลับ มันหอบหายใจหนัก แต่ดวงตาของมันเปล่งประกายด้วยความโล่งใจ มันพูดเบา ๆ กับตัวเอง

“ข้าอาจไม่มีหางอีกต่อไป แต่ข้ายังมีชีวิต และชีวิตมีค่ามากกว่าสิ่งใด”

บีเวอร์รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่หางขาด แต่มันยิ้มเล็กน้อย รู้ว่าการเสียสละครั้งนี้ทำให้มันได้อิสรภาพและโอกาสที่จะมีชีวิตต่อไป

และตั้งแต่นั้นมา บีเวอร์กลายเป็นสัญลักษณ์ของการเสียสละและความกล้าหาญ สัตว์ในป่าต่างเล่าขานเรื่องราวของมันเพื่อเตือนใจกันว่าชีวิตมีค่าที่สุด แม้ต้องเสียบางสิ่งเพื่อปกป้องมัน

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องหางของบีเวอร์ 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การเสียสละเพื่อรักษาชีวิตและอิสรภาพเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง บางครั้งเราต้องยอมสละสิ่งที่เรารักหรือภาคภูมิใจเพื่อรักษาสิ่งที่มีค่าที่สุด ซึ่งก็คือชีวิตของเราเอง นอกจากนี้ยังสอนให้รู้ถึงความกล้าหาญและการตัดสินใจที่เด็ดเดี่ยวในยามวิกฤต ความแข็งแกร่งที่แท้จริงไม่ใช่เพียงการมีสิ่งของหรือคุณสมบัติที่ดี แต่คือความสามารถในการยอมเสียสละเพื่อสิ่งที่สำคัญที่สุด

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องหางของบีเวอร์ (อังกฤษ: The Beaver) มีที่มาอิงจากนิทานอีสปคลาสสิกเรื่อง “The Beaver” ยุคกรีกโบราณ ถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 118 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) ซึ่งเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับบีเวอร์ที่ถูกมนุษย์ล่าเพื่อหาชิ้นส่วนบางอย่างของมัน (ในนิทานอีสปดั้งเดิม ชิ้นส่วนนั้นคืออวัยวะที่มีสรรพคุณเป็นยารักษาโรค) บีเวอร์ในนิทานอีสปใช้กลยุทธ์การเสียสละอวัยวะส่วนที่มนุษย์ต้องการด้วยตนเอง เพื่อให้มนุษย์หยุดไล่ล่ามันและเอาชีวิตรอดได้

หากผู้คนยอมรับแนวทางเดียวกันนี้ และยินดีสละทรัพย์สินของตนเพื่อใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยจากภัยอันตราย ก็คงจะดี เพราะท้ายที่สุดแล้ว ไม่มีใครคิดจะวางกับดักให้กับผู้ที่ถูกถอดเปลือยจนไม่เหลืออะไรอยู่แล้ว

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องหมีกับสองนักเดินทาง

ในป่าลึกแห่งหนึ่ง มีนักเดินทางสองคนเดินทางไปด้วยกัน โดยไม่คาดคิดพวกเขากลับเผชิญหน้ากับหมีตัวใหญ่ที่กำลังจะโจมตี พวกเขาต้องตัดสินใจอย่างรวดเร็วว่าจะแก้ไขสถานการณ์อย่างไร ท่ามกลางความตื่นตระหนก หนึ่งในนักเดินทางเลือกที่จะวิ่งหนีไป ทิ้งเพื่อนของเขาไว้เบื้องหลัง

นิทานเรื่องนี้สะท้อนถึงการทดสอบมิตรภาพที่แท้จริง และการแสดงออกถึงความภักดีและการวางใจที่ไม่ใช่แค่ในยามดี แต่ต้องยืนหยัดในยามคับขัน เรื่องราวจะเป็นเช่นไร กับนิทานอีสปเรื่องหมีกับสองนักเดินทาง

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องหมีกับสองนักเดินทาง

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องหมีกับสองนักเดินทาง

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในเช้าวันหนึ่ง นักเดินทางสองคนออกเดินทางผจญภัยเข้าไปในป่าใหญ่ พวกเขาพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ขณะที่ลัดเลาะผ่านต้นไม้และพุ่มไม้หนาทึบ แต่จู่ ๆ ความเงียบสงบก็ถูกทำลายเมื่อเสียงคำรามต่ำ ๆ ดังขึ้นจากพุ่มไม้เบื้องหน้า สายตาของทั้งสองมองไปเห็นหมีตัวใหญ่ที่ยืนอยู่

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องหมีกับสองนักเดินทาง 2

นักเดินทางคนแรก หัวใจเต้นระรัวด้วยความกลัว เขาไม่รีรอ รีบปีนขึ้นไปบนต้นไม้สูงทันทีโดยไม่คิดจะช่วยเพื่อนที่ยืนตกตะลึงอยู่ข้างล่าง นักเดินทางอีกคนเห็นเช่นนั้นรู้ว่าตนไม่อาจหนีได้ จึงตัดสินใจอย่างฉับไว เขานอนลงกับพื้นและกลั้นหายใจทำทีเป็นศพ หมีค่อย ๆ เดินเข้ามาหาและดมรอบ ๆ ตัวเขา เสียงลมหายใจอุ่น ๆ ของมันทำให้ชายผู้นอนแน่นิ่งรู้สึกถึงความกลัวที่แล่นไปทั่วร่าง แต่เขายังคงนิ่งไม่ขยับ จนในที่สุด หมีคงเชื่อว่าเขาเป็นศพจึงเดินจากไป

เมื่อหมีกลับเข้าไปในป่า นักเดินทางที่อยู่บนต้นไม้ก็ค่อย ๆ ปีนลงมา เขาพูดด้วยท่าทีโล่งใจ

“เฮ้ เพื่อน ข้าเห็นหมีทำท่ากระซิบที่หูเจ้า มันพูดอะไรกับเจ้าหรือ?”

เพื่อนที่เพิ่งผ่านพ้นความหวาดกลัวนั่งขึ้นช้า ๆ แล้วมองเพื่อนของเขาด้วยสายตานิ่ง ๆ และตอบว่า

“มันบอกข้าว่า อย่าไว้ใจเพื่อนที่ทิ้งข้าในยามคับขัน”

คำพูดนั้นทำให้นักเดินทางที่หนีขึ้นต้นไม้รู้สึกอับอาย เงียบงันไป เขาได้เรียนรู้บทเรียนสำคัญในวันนั้นว่า มิตรภาพที่แท้จริงไม่ใช่เพียงคำพูด แต่คือการยืนเคียงข้างในยามที่ต้องการที่สุด

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องหมีกับสองนักเดินทาง 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า มิตรแท้จะยืนเคียงข้างในยามที่เราต้องการที่สุด การทดสอบมิตรภาพจะเห็นได้ชัดในยามคับขันและวิกฤต การทิ้งเพื่อนหรือหันหลังให้ในช่วงเวลาที่ลำบากทำให้ความสัมพันธ์นั้นไร้ความหมาย การรักษาความซื่อสัตย์และการช่วยเหลือกันในยามยากลำบากเป็นสิ่งที่สำคัญในการสร้างและรักษามิตรภาพที่แท้จริง ชีวิตต้องการคนที่เราสามารถพึ่งพาได้ในช่วงเวลาที่ยากลำบากและสำคัญ

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องหมีกับสองนักเดินทาง (อังกฤษ: The Bear and the Travelers) เป็นนิทานที่ถูกอ้างถึงว่าเป็นผลงานของอีสป ถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 65 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ)

โดยมีการบันทึกครั้งแรกในบทกวีภาษาละตินโดย Avianus นิทานนี้ถูกขยายความและตีความใหม่ในยุคกลาง มักใช้ในการสอนเด็ก ๆ เกี่ยวกับคุณค่าทางศีลธรรม เนื้อเรื่องกล่าวถึงนักเดินทางสองคนที่เผชิญหน้ากับหมี คนหนึ่งปีนต้นไม้เพื่อหนีเอาตัวรอด ขณะที่อีกคนแกล้งตายจนหมีจากไป เพื่อนที่อยู่บนต้นไม้ลงมาถามอย่างล้อเลียนและได้รับคำตอบว่า “อย่าไว้ใจคนที่ทิ้งเราในยามคับขัน”

คำแนะนำที่สำคัญแก่ข้า และมีอยู่หนึ่งข้อที่ข้าจะไม่มีวันลืม นั่นคือ ‘อย่าเร่งกลับไปคบหากับผู้ที่ทอดทิ้งเจ้าในยามคับขัน เพราะเจ้าจะตกอยู่ในเงื้อมมือของอสูรร้ายอีกครั้ง’

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องชายหัวโล้นกับแมลงวัน

ในเมืองหนึ่งใต้ต้นไม้ใหญ่มีชายหัวโล้นคนหนึ่งที่มักจะรู้สึกรำคาญกับแมลงวันที่บินมาตอมอยู่บนศีรษะของเขา ทุกครั้งที่มันบินวนไปมา เขาพยายามขับไล่มันด้วยการตีหรือปัดไปมา แต่กลับไม่สามารถทำได้ดั่งใจและยังทำร้ายตัวเองมากกว่าที่จะกำจัดแมลงวันออกไปได้

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ถึงความสำคัญของการควบคุมอารมณ์และการพิจารณาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นก่อนที่จะลงมือทำอะไรอย่างรีบเร่ง เรื่องราวจะเป็นเช่นไร กับนิทานอีสปเรื่องชายหัวล้านกับแมลงวัน

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องชายหัวล้านกับแมลงวัน

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องชายหัวโล้นกับแมลงวัน

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วในวันที่แดดแรงจ้าเหมือนจะเผาผิว ชายหัวโล้นเดินออกมาจากบ้านพร้อมผ้าเช็ดหน้าในมือ หวังหาที่พักใต้ร่มไม้ใหญ่ริมทาง เขาหย่อนตัวนั่งลงบนพื้นหญ้าและหลับตา พยายามสูดอากาศสดชื่นเพื่อพักผ่อนจากความเหนื่อยล้า แต่ยังไม่ทันจะได้พักดี เสียงหึ่ง ๆ ของแมลงวันก็ดังขึ้น มันบินวนรอบศีรษะของเขา รบกวนความเงียบสงบที่เขาต้องการ

“เจ้าตัวน่ารำคาญ ไปให้พ้น!” ชายหัวโล้นเปิดตาและปัดมือไล่ แต่แมลงวันไม่สนใจ มันบินกลับมาวนรอบศีรษะเขาอีกครั้ง คราวนี้เขารู้สึกรำคาญจนต้องลุกขึ้นและตะโกน

“เจ้ามันจะรบกวนข้าไปถึงเมื่อไหร่!?”

แมลงวันไม่ตอบ แต่มันกลับบินเกาะที่กลางศีรษะโล้นของเขา ชายหัวโล้นกัดฟันและคิดว่า “ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าหนีรอดไปได้อีก” เขายกมือตบลงเต็มแรงไปที่หัวของตัวเอง หวังจะจับแมลงวันให้ได้ แต่แมลงวันกลับบินหนีทันเวลา เขาตีถูกศีรษะตัวเองจนรู้สึกเจ็บปวดและหน้าซีด

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องชายหัวล้านกับแมลงวัน 2

“โอ้ย!” เขาร้องพร้อมกับขมวดคิ้วและกุมหัวด้วยความเจ็บปวด น้ำตาซึมจากแรงตบที่เขาใช้เต็มแรง เขาหันไปมองแมลงวันที่บินวนใกล้ ๆ และได้ยินเสียงหัวเราะเยาะของมัน

แมลงวันพูดด้วยเสียงเสียดสี “เจ้าพยายามทำร้ายข้าเพียงเพื่อระงับความรำคาญ แต่สุดท้ายเจ้ากลับทำให้ตัวเองเจ็บหนักยิ่งกว่าเสียอีก”

ชายหัวโล้นหายใจแรงและตอบด้วยเสียงที่สั่นเครือจากความโกรธ “ข้ายอมเจ็บมากกว่านี้ก็ได้ หากข้าสามารถกำจัดแมลงที่น่ารังเกียจอย่างเจ้าได้!”

แมลงวันหัวเราะเยาะเย้ยอีกครั้งก่อนจะบินจากไป ทิ้งให้ชายหัวโล้นนั่งเงียบอยู่คนเดียว เขารู้สึกถึงความเจ็บที่ศีรษะและความรู้สึกอายที่ปะปนกัน ความคิดสะท้อนกลับทำให้เขาตระหนักว่า ความโกรธที่ไม่ยั้งคิดอาจทำให้เขาทำร้ายตัวเองมากกว่าการจัดการปัญหาจริง ๆ ตั้งแต่นั้นมา ชายหัวโล้นเรียนรู้ที่จะสงบสติอารมณ์และไม่ปล่อยให้ความโกรธครอบงำเขาอีก

ชายหัวโล้นนิ่งไปครู่หนึ่ง ความโกรธที่เคยปะทุค่อย ๆ ลดลง กลายเป็นความรู้สึกสำนึกผิด เขาหัวเราะเบา ๆ ให้กับตัวเอง “ข้าช่างโง่เขลาจริง ๆ แค่แมลงวันตัวเล็ก ๆ ยังทำให้ข้าโมโหจนทำร้ายตัวเองได้”

เขานั่งลงที่เดิม แต่คราวนี้เขามองเห็นความจริงของตัวเองว่า การโกรธจนสูญเสียการควบคุมทำให้ตนทำเรื่องที่ไม่คุ้มค่า ตั้งแต่วันนั้น ชายหัวโล้นจึงเรียนรู้ที่จะสงบใจและไม่ปล่อยให้ความโกรธครอบงำเขาได้อีก

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องชายหัวล้านกับแมลงวัน 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าสอนให้รู้ว่า ความโกรธและการขาดสติอาจทำให้เราทำสิ่งที่ไม่คุ้มค่าและเป็นโทษต่อตัวเอง แม้ว่าเราจะมีเหตุผลที่ดีในการโกรธ แต่หากเราไม่ระมัดระวังและปล่อยให้ความโกรธครอบงำ การกระทำที่ตามมาอาจทำให้เราทำร้ายตัวเองมากกว่าที่ตั้งใจจะแก้ปัญหา การเรียนรู้ที่จะระงับอารมณ์และพิจารณาการกระทำอย่างมีสติจึงเป็นสิ่งสำคัญในการใช้ชีวิต

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องชายหัวโล้นกับแมลงวัน (อังกฤษ: The Bald Man and the Fly) ปรากฏในคอลเลกชันแรกสุดของนิทานอีสป ถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 525 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) เนื้อหากล่าวถึงชายหัวโล้นที่ถูกแมลงวันกัดและพยายามตีจุดนั้น แมลงวันเยาะเย้ยเขาโดยชี้ว่าการตอบโต้เช่นนี้ทำให้เขาเจ็บตัวเอง ชายหัวโล้นตอบว่าเขายอมเจ็บมากกว่านี้เพื่อกำจัดสิ่งที่น่ารังเกียจ

นิทานเรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าผู้ที่กระทำความผิดโดยไม่เจตนาควรได้รับการอภัย ในขณะที่ผู้ที่ทำร้ายผู้อื่นโดยเจตนาควรถูกลงโทษอย่างถึงที่สุดตามความเหมาะสม

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องโหราจารย์ตกบ่อน้ำ

ในเมืองเล็ก ๆ มีโหราจารย์ผู้มีชื่อเสียงในด้านการทำนายดวงดาวและอนาคตของผู้คน ทุกวันเขาจะหมกมุ่นอยู่กับการพยากรณ์และทำนายโชคชะตา จนบางครั้งเขาก็หลงลืมที่จะสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เมื่อวันหนึ่ง ขณะเดินไปตามทาง เขากลับตกลงไปในบ่อน้ำที่อยู่ใกล้ ๆ โดยไม่ทันระวัง

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การหมกมุ่นกับสิ่งที่อยู่ไกลตัวหรืออนาคตอาจทำให้เรามองข้ามสิ่งสำคัญที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เรื่องราวจะเป็นเช่นไร กับนิทานอีสปเรื่องโหราจารย์ตกบ่อน้ำ

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องโหราจารย์ตกบ่อน้ำ

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องโหราจารย์ตกบ่อน้ำ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในเมืองเล็ก ๆ ที่สงบสุข มีโหราจารย์ที่มีชื่อเสียงในด้านการดูดาวและทำนายอนาคต เขาหมกมุ่นอยู่กับการเฝ้าดูดวงดาวบนท้องฟ้าทุกคืน คืนหนึ่ง ขณะที่ท้องฟ้าโปร่งและดวงดาวระยิบระยับ โหราจารย์เดินออกจากบ้านพร้อมกับสายตามองฟ้าโดยไม่หันมองพื้น เขาคิดคำนวณทำนายทิศทางของดวงดาว พลางบ่นพึมพำกับตัวเอง

“ดาวศุกร์อยู่ที่นั่น… อีกไม่นานฝนคงมา” เขาพูดพลางมองดาวอย่างใจจดใจจ่อ

ทันใดนั้น เขาก้าวเท้าพลาดไปที่ขอบบ่อน้ำลึก และในพริบตา เขาก็ตกลงไปในบ่อน้ำ เสียงกระเด็นของน้ำทำให้ชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียงได้ยินและรีบมาดู พวกเขาเห็นโหราจารย์ที่พยายามปีนขึ้นมาด้วยความลำบาก ทันใดนั้น เสียงหัวเราะและคำพูดเย้ยหยันก็ดังขึ้น

“ดูสิ เจ้าผู้เชี่ยวชาญการดูดาว มัวแต่มองฟ้าแต่ไม่เคยมองทางที่เดิน!” ชาวบ้านคนหนึ่งตะโกนพร้อมกับหัวเราะคิกคัก

โหราจารย์รู้สึกอับอาย น้ำเย็นชื้นทำให้เขาหนาวสั่น ขณะที่เสียงหัวเราะยังคงดังก้องอยู่ เขาหยุดพยายามปีนขึ้นชั่วครู่และคิดทบทวนกับตัวเอง

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องโหราจารย์ตกบ่อน้ำ 2

“ข้าเพ่งมองดาวเพื่อทำนายอนาคต แต่ข้ากลับลืมมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าข้า ข้าช่างโง่เขลาเหลือเกิน” เขาพึมพำด้วยน้ำเสียงที่สะท้อนความเสียใจ

ในที่สุด โหราจารย์ได้รับความช่วยเหลือจากชาวบ้านที่ดึงเขาขึ้นจากบ่อน้ำ แม้เขาจะเปียกปอนและอับอาย แต่เขาก็ได้บทเรียนสำคัญกลับไป ทุกคืนหลังจากนั้น เมื่อเขามองท้องฟ้า เขาจะระลึกเสมอว่าการใส่ใจสิ่งรอบตัวก็สำคัญไม่แพ้การมองไปข้างหน้า

โหราจารย์หันไปพูดกับชาวบ้านที่ยังยืนมองอยู่ “พวกเจ้าพูดถูก ข้าจะไม่มองแต่ฟ้าโดยไม่สนใจโลกตรงหน้าข้าอีกแล้ว”

ชาวบ้านยิ้มด้วยความเห็นใจ และบางคนก็กระซิบให้กันฟัง “แม้ปัญญาจะสูงส่งเพียงใด แต่หากไม่ระวังสิ่งรอบตัว ก็ย่อมพลาดพลั้งได้”

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องโหราจารย์ตกบ่อน้ำ 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าการหมกมุ่นอยู่กับเป้าหมายหรือความฝันโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้างอาจนำไปสู่ความผิดพลาด การมีปัญญาสูงและการมองไปข้างหน้าเป็นสิ่งสำคัญ แต่ต้องไม่ลืมให้ความสำคัญกับโลกที่อยู่รอบตัว การใส่ใจรายละเอียดและตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันจะช่วยป้องกันการพลาดพลั้งในชีวิตจริง การรู้จักรักษาสมดุลระหว่างการวางแผนอนาคตและการใช้ชีวิตในปัจจุบันเป็นทักษะที่สำคัญ การมองไปข้างหน้าอย่างระมัดระวังและใส่ใจในทุกก้าวที่เดินจะช่วยให้เราเดินไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงและมีประสิทธิภาพ

มัวแต่ใฝ่รู้สิ่งที่อยู่เหนือศีรษะ แต่กลับไม่ทันสังเกตสิ่งที่อยู่ตรงเท้าของตนเอง

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องโหราจารย์ตกบ่อน้ำ (อังกฤษ: The Astrologer who Fell into a Well) ถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 40 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) ซึ่งเป็นการรวบรวมและจัดหมวดหมู่นิทานอีสป นิทานนี้มุ่งเน้นการสอนถึงผลที่ตามมาของการหมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่อยู่ไกลเกินไปจนละเลยสิ่งที่ใกล้ตัว โดยเรื่องนี้ถูกบันทึกไว้ในยุคโบราณผ่านการเขียนของนักเล่านิทาน เช่น Phaedrus และมีการตีความในยุคต่าง ๆ

ในช่วงการโจมตีทางวิทยาศาสตร์ต่อศาสตร์โหราศาสตร์ในศตวรรษที่ 16-17 นิทานเรื่องนี้ ได้กลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง นิทานนี้ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการวิจารณ์การหมกมุ่นในศาสตร์โหราศาสตร์ โดยแสดงให้เห็นถึงการมองอนาคตโดยละเลยความเป็นจริงที่อยู่รอบตัว ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการวิพากษ์โหราศาสตร์ในช่วงเวลาที่วิทยาศาสตร์เริ่มท้าทายความเชื่อดั้งเดิมและเน้นการใช้เหตุผลและการสังเกตในชีวิตประจำวัน

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com