นิทานอีสปเรื่องมือเป่าแตรศึก

ในสงคราม ไม่ใช่เพียงนักรบที่ถือดาบเท่านั้นที่มีบทบาทสำคัญ บางคนอาจไม่เคยจับอาวุธ แต่กลับเป็นผู้ชี้นำให้เกิดการต่อสู้และความสูญเสีย แม้จะไม่ได้ลงมือฆ่าเอง แต่หากเป็นผู้ส่งเสริมสงคราม พวกเขาย่อมต้องรับผลแห่งการกระทำเช่นเดียวกับนักรบ

ท่ามกลางเสียงกลองศึกและควันไฟแห่งสมรภูมิ ชายผู้หนึ่งยืนอยู่โดยปราศจากอาวุธ มีเพียงแตรที่เขาใช้เป่าสัญญาณให้กองทัพเคลื่อนพล เขาไม่ใช่นักรบ แต่เป็นผู้ปลุกเร้าความกล้าหาญและนำพาความตาย และเมื่อโชคชะตาพลิกผัน เขาก็ต้องเผชิญกับผลลัพธ์ของบทบาทที่เขาเลือกเดิน กับนิทานอีสปเรื่องมือเป่าแตรศึกถูกจับ

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องมือเป่าแตรศึก

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องมือเป่าแตรศึก

กาลครั้งนานมาแล้ว ณ ทุ่งกว้างมีเสียงกลองศึกดังก้องไปทั่วสมรภูมิ กองทัพทั้งสองฝ่ายกำลังเผชิญหน้ากัน ทหารถือดาบและโล่พร้อมรบ สายลมพัดพากลิ่นเหล็กและฝุ่นดินไปทั่วบริเวณ ท่ามกลางนักรบผู้กล้าหาญ มีชายคนหนึ่งที่ไม่ได้ถืออาวุธใด ๆ เขาคือมือแตรของกองทัพ

หน้าที่ของเขาไม่ใช่การต่อสู้ แต่เป็นการเป่าสัญญาณแตรเพื่อควบคุมและปลุกขวัญนักรบทุกนาย เมื่อเขาเป่าแตรเสียงกึกก้อง มันจะเป็นสัญญาณให้ทหารพุ่งเข้าหาศัตรู และเมื่อเขาเป่าทำนองอื่น มันจะเป็นคำสั่งให้ถอยทัพหรือรวมกำลัง

มือแตรยืนอยู่บนจุดสูงสุดของค่าย หัวใจของเขาเต้นแรง เมื่อแม่ทัพหันมาพยักหน้าให้เขาส่งสัญญาณ เขายกแตรขึ้นแนบปาก และเสียงแตรศึกก็ดังก้องไปทั่ว

“ตู๊ดดดดดดดด!”

กองทัพของเขาตะโกนก้อง เสียงโล่กระทบดาบ เสียงฝีเท้าม้าวิ่งแผ่นดินสะเทือน พวกเขากำลังกรูกันเข้าสู่สนามรบด้วยความฮึกเหิม

ศัตรูเองก็ตอบโต้กลับอย่างดุเดือด ดาบปะทะกัน โล่แตกกระจาย หอกปักลงกลางสนาม เสียงร้องของนักรบที่ได้รับบาดเจ็บดังขึ้นระงม มือแตรยังคงเป่าแตรไม่หยุด เสียงของเขาไม่ใช่อาวุธ แต่เป็นคำสั่งที่ทำให้ทุกอย่างเคลื่อนไหว

“ต่อไป! ผลักพวกมันออกไป!”

เขาเป่าสัญญาณให้กองทัพรุกคืบ นักรบของเขายกดาบขึ้นฟาดฟันศัตรู ไม่มีใครในสนามรบที่ไม่ได้ยินเสียงแตรของเขา

แต่แล้ว สถานการณ์กลับพลิกผัน ศัตรูได้รับกำลังเสริม กองทัพของเขาเริ่มถอยร่น นักรบของเขาล้มลงทีละคน ศัตรูตีโอบล้อมเข้ามา ทุกอย่างเริ่มโกลาหล

“ตู๊ดดดดดดด!”

มือแตรเป่าเสียงสั่งให้ถอยทัพ ทหารของเขาพยายามล่าถอย แต่สายเกินไป ศัตรูบุกทะลวงแนวป้องกันของพวกเขา และในที่สุด มือแตรก็ถูกจับตัว

มือแตรถูกจับกุมโดยทหารของฝ่ายศัตรู แขนของเขาถูกมัดแน่น และเขาถูกผลักลงไปคุกเข่าต่อหน้าหัวหน้าทัพของศัตรู

ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยฝุ่นและเหงื่อ หัวใจของเขาเต้นแรงด้วยความหวาดกลัว เขามองเห็นนักรบของตนที่ถูกจับเป็นเชลยเช่นกัน บางคนได้รับบาดเจ็บ บางคนสิ้นชีพอยู่บนผืนดิน

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องมือเป่าแตรศึก 2

หัวหน้าทัพของศัตรูก้าวเข้ามาใกล้ มองเขาด้วยสายตาเย็นชา “เจ้าคือมือแตรของกองทัพศัตรูใช่หรือไม่?”

มือแตรรีบพยักหน้า พลางพูดเสียงสั่น “ใช่ แต่ข้าไม่ได้เป็นนักรบ! ข้าไม่มีอาวุธ! ข้าเพียงเป่าแตรเท่านั้น!”

ทหารศัตรูหัวเราะเสียงเย็น “เจ้าไม่มีอาวุธ? แล้วเสียงแตรของเจ้าไม่ใช่อาวุธหรือ?”

“ข้าไม่ได้ฆ่าใคร! ข้าไม่ได้ฟาดฟันศัตรูเลยแม้แต่น้อย!” มือแตรอ้อนวอน “ข้าแค่ทำหน้าที่ส่งสัญญาณเท่านั้น!”

หัวหน้าทัพจ้องเขาด้วยสายตาเฉียบขาด ก่อนจะกล่าว “เจ้าพูดถูก เจ้าไม่ได้ถือดาบหรือโล่ เจ้าก็ไม่ได้ฆ่าใครด้วยมือตัวเอง แต่เจ้าคิดหรือไม่ว่าเสียงแตรของเจ้าเป็นสิ่งที่ทำให้นักรบของเจ้าฮึกเหิมและพุ่งเข้าใส่พวกเรา?”

มือแตรเงียบไป “ข้า…”

“หากไม่มีเสียงแตรของเจ้า ทหารของเจ้าจะมีพลังเช่นนี้หรือไม่? หากไม่มีสัญญาณของเจ้า พวกมันจะสามารถโจมตีพวกเราได้เป็นระเบียบเช่นนี้หรือไม่? ไม่ เจ้าไม่ได้ถืออาวุธ แต่เจ้าเป็นผู้นำทางให้มันถูกใช้”

มือแตรพยายามหาคำตอบ แต่เขากลับพูดอะไรไม่ออก

ทหารศัตรูคนหนึ่งกล่าวเสริม “เจ้าคือผู้ปลุกปั่นสงคราม แต่กลับมาขอความเมตตา? ช่างน่าขัน!”

หัวหน้าทัพตัดสินใจ “นั่นแหละคือเหตุผลที่เจ้าสมควรถูกลงโทษยิ่งขึ้นไปอีก! ถึงแม้เจ้าจะไม่ได้ลงมือทำสิ่งใดด้วยตัวเอง แต่เจ้ากลับเป็นผู้ปลุกเร้าผู้อื่นให้กระทำสิ่งชั่วร้าย” เขากล่าวต่อว่า “เช่นนั้นแล้ว เจ้าจะได้รับชะตากรรมเช่นเดียวกับนักรบของเจ้า” เขากล่าวต่อว่า

เสียงลมพัดผ่านสนามรบ เสียงแตรที่เคยกึกก้องเงียบลงตลอดกาล

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องมือเป่าแตรศึก 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า “ผู้ที่สนับสนุนหรือส่งเสริมความชั่วร้าย ย่อมมีความผิดไม่ต่างจากผู้ที่ลงมือกระทำ”

มือแตรอาจไม่ได้จับอาวุธหรือสังหารใครด้วยตัวเอง แต่เสียงแตรของเขาคือสิ่งที่ปลุกใจให้ทหารของเขาฮึกเหิมและเข้าต่อสู้ ในชีวิตจริง บางคนอาจไม่ได้ทำสิ่งเลวร้ายด้วยมือของตนเอง แต่หากพวกเขาเป็นผู้สนับสนุน ชักนำ หรือปลุกปั่นให้เกิดความขัดแย้ง พวกเขาก็ต้องรับผิดชอบต่อผลที่เกิดขึ้นด้วย

“คำพูดหรือการกระทำที่ส่งเสริมให้เกิดความขัดแย้ง อาจเป็นอาวุธที่ร้ายกาจยิ่งกว่าดาบ” เช่นเดียวกับเสียงแตรที่นำไปสู่สงคราม แม้ไม่ได้ทำร้ายใครโดยตรง แต่ก็เป็นต้นเหตุของการสูญเสีย ไม่มีใครสามารถปฏิเสธความรับผิดชอบได้ เพียงเพราะตนไม่ได้เป็นผู้ลงมือทำเอง

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องมือเป่าแตรศึกถูกจับ (อังกฤษ: The Trumpeter Taken Captive) เป็นหนึ่งในนิทานอีสป ถูกจัดลำดับอยู่ใน Perry Index ลำดับที่ 370 (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) เป็นหนึ่งในนิทานไม่กี่เรื่องที่มีเพียงมนุษย์เป็นตัวละครหลัก สอนคติว่า การเกี่ยวข้องกับคนทำชั่ว ย่อมทำให้ตนเองต้องรับผิดชอบไม่ต่างกัน

นิทานเรื่องนี้เล่าถึงมือเป่าแตรศึก ที่ถูกศัตรูจับตัวไว้ในระหว่างการรบ เขาอ้อนวอนขอชีวิตโดยให้เหตุผลว่า ตนเองไม่มีอาวุธและไม่ได้ต่อสู้ แต่ฝ่ายศัตรูกลับตอบว่า “เจ้าทำสิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่าเสียอีก เพราะเสียงแตรของเจ้าเป็นตัวกระตุ้นให้ผู้อื่นเข้าห้ำหั่นกัน”

“แม้ไม่ได้ลงมือทำผิดเอง แต่หากเป็นผู้สนับสนุนหรือชี้นำ ย่อมต้องรับผิดชอบต่อผลที่เกิดขึ้นเช่นกัน”

ในฉบับภาษาละตินของอาเวียนุส (Avianus) นิทานถูกเล่าในอีกรูปแบบหนึ่ง โดยมีทหารชราผู้ปลดระวาง กำลังเผาอาวุธของตนในกองไฟ แตรศึกพยายามขอให้ไว้ชีวิต แต่สุดท้ายกลับถูกโยนลงไปในกองไฟเช่นเดียวกับอาวุธอื่น ๆ

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องต้นไม้กับพุ่มหนาม

ในโลกนี้ ผู้คนล้วนมีเอกลักษณ์และคุณค่าในแบบของตนเอง บางคนโดดเด่นด้วยความงาม บางคนภาคภูมิใจในความสามารถ และบางคนก็พยายามทำให้ตนเองเป็นที่ยอมรับแม้จะไม่มีสิ่งใดโดดเด่น

เมื่อใดที่เกิดการถกเถียงกันระหว่างผู้ที่มีเหตุผลและคุณค่า มักจะมีบางคนที่ไร้ความหมายพยายามเข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งที่ไม่ได้มีบทบาทหรือความจำเป็นใดๆ เรื่องราวของต้นทับทิม ต้นแอปเปิล และพุ่มหนาม จะสะท้อนให้เห็นว่าบางครั้ง การพยายามเข้าไปมีส่วนร่วมในเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้อง อาจไม่ได้ทำให้ตนเองดูสำคัญขึ้นเลย กับนิทานอีสปเรื่องต้นไม้กับพุ่มหนาม

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องต้นไม้กับพุ่มหนาม

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องต้นไม้กับพุ่มหนาม

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว กลางสวนกว้างใหญ่ที่อุดมสมบูรณ์ต้นทับทิมและต้นแอปเปิล เติบโตอยู่เคียงข้างกัน พวกมันต่างมีความงดงามและโดดเด่นในแบบของตัวเอง ดอกทับทิมสีแดงสดเบ่งบานในแสงแดด ขณะที่ต้นแอปเปิลมีผลสีทองอร่ามที่ส่งกลิ่นหอมอบอวล

วันหนึ่ง เมื่อลมพัดผ่าน กิ่งก้านของพวกมันกระทบกัน และจู่ ๆ ต้นทับทิมก็เอ่ยขึ้น

“เพื่อนเอ๋ย ข้าคิดว่าข้าคงเป็นต้นไม้ที่งดงามที่สุดในสวนนี้ ดอกของข้าแดงสดราวกับเปลวไฟ และผลของข้าก็งดงามราวกับอัญมณี”

ต้นแอปเปิลหัวเราะเบา ๆก่อนกล่าวว่า “ข้าคิดว่าเจ้าคงเข้าใจผิดไปหน่อยนะ ทับทิมเอ๋ย แม้ดอกของเจ้าจะงาม แต่ผลของข้านั้นทั้งหอมหวานและเป็นที่โปรดปรานของผู้คนมากกว่าของเจ้าเสียอีก”

ต้นทับทิมชูใบขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ “แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะงดงามกว่าข้า ความงามของต้นไม้ไม่ได้วัดจากรสชาติของผลไม้ แต่จากความโดดเด่นของมันต่างหาก!”

ต้นแอปเปิลสั่นไหวเล็กน้อยเพราะสายลม แต่ไม่ได้ถอย “แล้วทำไมความงามต้องวัดจากสีสันเท่านั้นล่ะ? ผลไม้ของข้าเป็นอาหารที่คนทั่วโลกโปรดปราน และความงามของข้านั้นอยู่ที่คุณค่า ไม่ใช่เพียงสีสัน!”

ต้นทับทิมนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้น เราควรให้ผู้คนเป็นผู้ตัดสิน!”

ต้นแอปเปิลพยักใบเห็นด้วย และการโต้เถียงของพวกมันก็เริ่มขึ้น

ขณะที่ต้นไม้ทั้งสองยังคงเถียงกันไม่จบไม่สิ้นพุ่มหนามที่เติบโตอยู่ใกล้ ๆ ได้ยินการโต้เถียงนั้นตลอดมา มันเป็นเพียงพุ่มไม้เตี้ย ๆ ที่ไม่มีดอก ไม่มีผล มีเพียงกิ่งก้านแห้งและหนามแหลมทั่วทั้งลำต้น

มันอดไม่ได้ที่จะกล่าวขึ้นว่า “เพื่อนรักเอ๋ย พวกเจ้าหยุดเถียงกันเถอะ!”

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องต้นไม้กับพุ่มหนาม 2

ต้นทับทิมและต้นแอปเปิลหยุดโต้เถียงทันที พวกมันหันมามองพุ่มหนามด้วยความแปลกใจ ก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดัง

“เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร ถึงมาพูดเช่นนี้?” ต้นทับทิมกล่าว “เจ้าไม่มีทั้งดอกที่งดงามหรือผลที่มีค่า ทำไมเจ้าจึงมายุ่งกับการถกเถียงของเรา?”

ต้นแอปเปิลเสริมขึ้น “ใช่แล้ว เจ้าคิดว่าตัวเองมีสิทธิ์อะไรมาสอนพวกเรา? เรากำลังพูดถึงความงาม แต่เจ้ากลับเป็นเพียงพุ่มไม้แห้งแล้งที่ไม่มีสิ่งใดให้กล่าวถึงเลย!”

พุ่มหนามขยับกิ่งของมันเล็กน้อย ก่อนกล่าวด้วยเสียงราบเรียบ “นั่นสินะ ข้าไม่มีดอกไม้ ไม่มีผลไม้ แต่ข้าอยู่ที่นี่เสมอ และเมื่อใดที่ผู้คนเดินผ่านสวนนี้ พวกเขามักจะเหลียวมองและหวังว่าข้าจะไม่ขวางทางของพวกเขา”

ต้นไม้ทั้งสองมองหน้ากันเล็กน้อย พวกมันเริ่มรู้สึกแปลกใจว่าเหตุใดพุ่มหนามจึงกล่าวเช่นนั้น

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” ต้นทับทิมถาม

“ข้าอาจไม่งดงาม ไม่ให้ร่มเงา และไม่มีผลไม้ที่ใครต้องการ แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่า เมื่อเกิดข้อพิพาทระหว่างผู้มีความรู้และภูมิฐาน มักมีพวกไร้ค่าอย่างข้าเข้ามาทำตัวสำคัญ?”

ต้นแอปเปิลและต้นทับทิมชะงักไป

“ข้าไม่ได้เกี่ยวข้องกับการถกเถียงของพวกเจ้า แต่ข้ากลับพยายามทำให้ตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของมัน เช่นเดียวกับที่ข้าเติบโตขึ้นระหว่างสวนแห่งนี้ แม้ไม่มีใครต้องการ ข้ายังคงอยู่ตรงนี้”

ต้นไม้ทั้งสองนิ่งเงียบ พวกมันเริ่มเข้าใจว่าพุ่มหนามกำลังเปรียบเปรยถึงตัวมันเอง ว่ามันอาจไม่จำเป็น แต่ก็มักจะพยายามเข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งที่มันไม่มีส่วนได้ส่วนเสียเสมอ

หลังจากนั้นไม่นาน ต้นทับทิมถอนใบเบา ๆ “บางทีข้าอาจไม่ควรเสียเวลาถกเถียงกับเจ้า ต้นแอปเปิล”

ต้นแอปเปิลพยักใบเห็นด้วย “ข้าเองก็เช่นกัน เราต่างมีความงามในแบบของตนเอง และไม่มีความจำเป็นที่ต้องให้ใครมาตัดสิน”

พวกมันหันไปมองพุ่มหนามเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะกล่าวว่า “และบางที เราอาจไม่ควรให้พวกที่ไร้ค่าเข้ามาทำให้เราหลงลืมสิ่งสำคัญไป”

จากนั้น ต้นไม้ทั้งสองก็ยุติการถกเถียงกัน และปล่อยให้สายลมพัดผ่านกิ่งก้านของพวกมันอย่างสงบ ในขณะที่พุ่มหนามยังคงยืนอยู่ที่เดิม ไร้ซึ่งความสำคัญใด ๆ

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องต้นไม้กับพุ่มหนาม 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ทุกคนต่างมีคุณค่าในแบบของตนเอง แต่ไม่ใช่ทุกคนจำเป็นต้องเข้าไปมีบทบาทในทุกเรื่อง และเมื่อเกิดข้อพิพาทระหว่างผู้มีปัญญาและผู้ทรงคุณวุฒิ มักมีผู้ที่ไร้ความหมายพยายามเข้ามามีบทบาทโดยไม่จำเป็น

ต้นทับทิมและต้นแอปเปิลต่างถกเถียงกันเรื่องความงามของตนเอง ซึ่งแม้จะเป็นการโต้แย้งที่มีเหตุผล แต่กลับมีพุ่มหนามที่ไร้ค่าเข้ามาแทรก โดยที่มันไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ และไม่ได้มีคุณค่ามากพอจะร่วมถกเถียงด้วย

เช่นเดียวกับในชีวิตจริง บ่อยครั้งที่คนมีความสามารถถกเถียงกันด้วยหลักการและเหตุผล แต่กลับมีบุคคลที่ไร้สาระหรือขาดความเข้าใจพยายามเข้ามามีบทบาทเพื่อให้ตนดูสำคัญ ทั้งที่ไม่ได้มีความจำเป็นหรือคุณค่าใดๆ ต่อการสนทนา

“ไม่ใช่ทุกเสียงที่ควรค่าแก่การรับฟัง และไม่ใช่ทุกคนที่สมควรมีบทบาทในบทสนทนาของผู้รู้”

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องต้นไม้กับพุ่มหนาม (อังกฤษ: The Trees and the Bramble) เป็นชื่อที่ใช้เรียกนิทานหลายเรื่องที่มีแนวโน้มคล้ายคลึงกัน ซึ่งมีต้นกำเนิดจากประเพณีวรรณกรรมของเอเชียตะวันตก ที่เน้นบทสนทนาและโต้แย้งระหว่างคู่แข่ง นิทานเกี่ยวกับพืชที่มีความเกี่ยวข้องกัน ได้แก่ นิทานอีสปเรื่องต้นโอ๊กกับต้นอ้อ (The Oak and the Reed) และ นิทานอีสปเรื่องต้นสนกับพุ่มหนาม (The Fir and the Bramble) เรื่องราวเหล่านี้ล้วนสะท้อนถึงข้อถกเถียงเรื่องคุณค่า ความแข็งแกร่ง และการรู้จักประมาณตน

นิทานเรื่องนี้เป็นหนึ่งในนิทานอีสป ถูกจัดลำดับอยู่ใน Perry Index ลำดับที่ 213 (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) เล่าเรื่องต้นทับทิมกับต้นแอปเปิล ที่กำลังถกเถียงกันว่าใครงดงามกว่ากัน ขณะที่ทั้งสองโต้เถียงกันไม่จบ พุ่มหนามที่อยู่ใกล้ ๆ ได้ยินเข้า และกล่าวว่า “เพื่อนรัก หยุดทะเลาะกันเถอะ” เนื้อเรื่องมีความกระชับ และให้คติในเชิงขบขันว่า:

“เมื่อเกิดข้อพิพาทระหว่างผู้มีความรู้และภูมิฐาน มักมีพวกไร้ค่าเข้ามาทำตัวสำคัญ”

นิทานเรื่องนี้ปรากฏในแหล่งข้อมูลภาษากรีกเป็นเวลานาน และแม้ว่าในศตวรรษที่ 16 และ 17 จะมีเรื่องราวที่คล้ายคลึงกันเกี่ยวกับต้นไม้อื่น ๆ

ในปี 1564 ฮีโรนิมัส โอเซียส (Hieronymus Osius) นักกวีนีโอละติน ได้แต่งเรื่องนี้ในชื่อ “แอปเปิลกับลูกแพร์” (The Apple and the Pear) โดยให้คติว่า “เมื่อผู้ยิ่งใหญ่ทะเลาะกัน คนต่ำต้อยมักได้ใจ”

ชาร์ลส์ ฮูล (Charles Hoole) นำเรื่องนี้บรรจุไว้ใน Aesop’s Fables English and Latin (1657) ภายใต้ชื่อ “ต้นพีชกับต้นแอปเปิล” (The Peach-tree and the Apple-tree) พร้อมคติว่า “คนต่ำต้อยมักชอบยุติข้อพิพาทของผู้ที่เหนือกว่าตน”

โรเจอร์ เลอสแตรงจ์ (Roger L’Estrange) ก็ใช้แนวคิดนี้เช่นกัน โดยสรุปว่า “ทุกสิ่งล้วนอยากให้โลกมองว่าตนยิ่งใหญ่กว่าที่เป็นจริง”

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องนักเดินทางกับต้นเพลน

บนโลกใบนี้ ทุกสิ่งล้วนมีคุณค่าในตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งเล็กหรือใหญ่ บางสิ่งอาจดูไม่มีประโยชน์สำหรับบางคน แต่กลับกลายเป็นสิ่งสำคัญสำหรับอีกคนหนึ่ง เช่นเดียวกับธรรมชาติที่มอบร่มเงาให้ผู้เดินทางโดยไม่ต้องเรียกร้องสิ่งใดตอบแทน

แต่เมื่อบางสิ่งไม่ได้ให้ในสิ่งที่เราคาดหวัง เรากลับมองข้ามคุณค่าของมันไปเราตัดสินว่าสิ่งใดมีค่าหรือไร้ประโยชน์เพียงเพราะมันไม่ได้ให้ในสิ่งที่เราต้องการ และนั่นคือบทเรียนสำคัญที่นักเดินทางสองคนกำลังจะได้เรียนรู้ กับนิทานอีสปเรื่องนักเดินทางกับต้นเพลน

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องนักเดินทางกับต้นเพลน

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องนักเดินทางกับต้นเพลน

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว กลางฤดูร้อน ดวงอาทิตย์แผดเผาแผ่นดินด้วยไอร้อนที่ระอุจนแผ่นดินแตกร้าว ไม่มีสายลมหรือเงาเมฆใด ๆ ที่จะมาช่วยบรรเทาความร้อนนี้ นักเดินทางสองคนกำลังเดินไปตามถนนฝุ่นทราย พวกเขาเดินทางมาเป็นเวลาหลายชั่วโมง ท่ามกลางความร้อนระอุและความเหนื่อยล้าที่กัดกินพลังของพวกเขาไปเรื่อย ๆ

“ข้าแทบเดินต่อไม่ไหวแล้ว!” นักเดินทางคนหนึ่งบ่น พลางใช้หลังมือเช็ดเหงื่อที่ไหลลงมาตามขมับ “ดวงอาทิตย์วันนี้ช่างโหดร้ายนัก ราวกับจะเผาพวกเราให้เป็นเถ้าถ่าน!”

“อดทนหน่อยเถิดเพื่อน ข้าแน่ใจว่าหากเราเดินต่อไปอีกไม่นาน คงต้องเจอที่พักแน่ ๆ” เพื่อนของเขาปลอบ แต่ถึงกระนั้น เขาเองก็รู้สึกอ่อนล้าไม่แพ้กัน

ขาของพวกเขาหนักขึ้นทุกย่างก้าว แต่แล้ว สายตาของพวกเขาก็เหลือบไปเห็นเงามืดทอดลงบนพื้นดินเบื้องหน้า เมื่อลองเพ่งมองให้ชัดขึ้น พวกเขาก็พบว่ามันคือ ต้นเพลน ต้นไม้ใหญ่ที่มีกิ่งก้านแผ่กว้าง ใบไม้หนาทึบทอดเงาปกคลุมพื้นดินด้านล่าง

“ข้าบอกแล้วว่าเราต้องเจอที่พักแน่ ๆ!” นักเดินทางคนหนึ่งร้องขึ้นด้วยความดีใจ

“ไปกันเถิด!”

พวกเขารีบเดินเข้าไปใต้ร่มเงาของต้นไม้ และทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นอย่างหมดแรง ลมเย็น ๆ พัดผ่านใบไม้เหนือศีรษะ ทำให้พวกเขารู้สึกดีขึ้นอย่างมาก

“โอ้ นี่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นในวันนี้เลย!” นักเดินทางคนหนึ่งกล่าวพร้อมถอนหายใจ “หากไม่มีต้นไม้นี้ ข้าคงเป็นลมไปแล้วแน่ ๆ!”

“จริงของเจ้า!” อีกคนกล่าว พลางเอนหลังพิงลำต้นแล้วหลับตาลง “ในวันที่ร้อนระอุเช่นนี้ ร่มเงาของต้นไม้เป็นสิ่งที่ล้ำค่าที่สุด!”

พวกเขานั่งพักกันอยู่ครู่ใหญ่ ลมหายใจเริ่มกลับมาเป็นปกติ เหงื่อที่ไหลซึมก็เริ่มแห้งไป

แต่แล้ว นักเดินทางคนหนึ่งเงยหน้าขึ้นมองยอดไม้ และจู่ ๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องนักเดินทางกับต้นเพลน 2

“แต่ต้นไม้นี้ก็ช่างไร้ประโยชน์เสียจริง ๆ! เจ้าคิดดูสิ มันไม่มีผลไม้ให้เรากินเลย! มีแต่ใบไม้เต็มไปหมด!”

เพื่อนของเขาพยักหน้าเห็นด้วย “นั่นสิ ถ้ามันให้ผลไม้ด้วย เราคงได้ทั้งร่มเงาและอาหารพร้อมกัน แต่นี่มันเป็นเพียงต้นไม้ที่ให้ร่มเงาเท่านั้น!”

พวกเขาหัวเราะเบา ๆ พลางมองดูต้นไม้ที่ให้ร่มเงากับพวกเขาโดยไม่คิดขอบคุณเลย

แต่แล้ว…

เสียงกระซิบแผ่วเบาพัดมากับสายลม ใบไม้ไหวเอนเบา ๆ ก่อนที่เสียงหนึ่งจะดังขึ้นจากต้นไม้

“พวกเจ้าช่างหยาบคายเสียจริง เจ้าช่างไม่รู้คุณค่า ข้ามอบร่มเงาให้เจ้าในยามที่เจ้าต้องการ แต่เจ้ากลับกล่าวหาว่าข้าไร้ประโยชน์”

นักเดินทางทั้งสองสะดุ้งเฮือก พวกเขามองหน้ากันด้วยความตกใจ

“ข้า… ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้นจริง ๆ!” คนหนึ่งกล่าวพลางก้มหน้าลง

“ข้าแค่พูดไปโดยไม่ทันคิด!” อีกคนรีบกล่าว

ต้นไม้เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสงบ

“เจ้าได้รับประโยชน์จากข้า แต่กลับมองข้ามมันไป เพราะข้าไม่ได้ให้ทุกอย่างที่เจ้าต้องการ เจ้าเรียกข้าว่าไร้ค่า แต่ลองคิดดูเถิด หากข้าไม่อยู่ที่นี่ เจ้าจะต้องเดินต่อไปในแดดร้อนโดยไม่มีที่พักพิงใด ๆ เจ้าจะยังคิดว่าข้าไร้ประโยชน์อยู่อีกหรือไม่?”

นักเดินทางนิ่งเงียบ พวกเขารู้สึกละอายใจ พวกเขามัวแต่เรียกร้องในสิ่งที่ไม่มี จนลืมไปว่าพวกเขาควรจะขอบคุณในสิ่งที่ได้รับ

“ข้าขอโทษ… ข้าไม่เคยคิดเลยว่าร่มเงานี้ก็เป็นพรอย่างหนึ่ง” คนหนึ่งกล่าวพลางก้มศีรษะ

“ใช่แล้ว ข้าขอถอนคำพูดของข้า ต้นไม้ต้นนี้มีค่ามากกว่าที่ข้าเคยคิด!”

ต้นไม้ไม่ได้กล่าวอะไรอีก มันเพียงแต่ปล่อยให้สายลมอ่อน ๆ พัดผ่านใบไม้เย็นสบาย ปลอบประโลมพวกเขาต่อไป

เมื่อพวกเขาพักจนหายเหนื่อย นักเดินทางทั้งสองก็ลุกขึ้น เตรียมตัวออกเดินทางต่อ

“จากนี้ไป ข้าจะไม่ตัดสินว่าสิ่งใดมีค่าเพียงเพราะมันไม่ได้ให้สิ่งที่ข้าต้องการทันที ขอบคุณเจ้ามาก ต้นไม้ใหญ่!”

และแล้วพวกเขาก็เดินจากไป พร้อมกับบทเรียนที่พวกเขาจะจดจำไปตลอดชีวิต

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องนักเดินทางกับต้นเพลน 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า “แม้บางสิ่งอาจดูเหมือนไม่มีค่า แต่แท้จริงแล้วมันอาจมีประโยชน์มากกว่าที่เราคิด และทุกสิ่งในโลกมีคุณค่าในตัวมันเองเสมอ แม้ว่าบางครั้งเราจะมองไม่เห็นก็ตาม”

นักเดินทางมองข้ามคุณค่าของต้นไม้เพียงเพราะมันไม่ได้ให้ในสิ่งที่พวกเขาต้องการในขณะนั้น แต่เมื่อต้องเผชิญกับความร้อนระอุ ร่มเงาของต้นเพลนกลับกลายเป็นสิ่งล้ำค่าที่ช่วยให้พวกเขาได้พักพิง เช่นเดียวกับในชีวิตจริง บางครั้งเราอาจไม่เห็นคุณค่าของบางสิ่งหรือบางคน จนกระทั่งถึงเวลาที่เราต้องการมันจริง ๆ

“อย่าตัดสินคุณค่าของสิ่งใดเพียงเพราะมันไม่ได้ให้ทุกอย่างที่เราคาดหวัง” ไม่ใช่ทุกอย่างจะมีประโยชน์ในแบบที่เราต้องการ แต่ไม่ได้หมายความว่าสิ่งนั้นไร้ค่า การรู้จักเห็นคุณค่าในสิ่งที่เรามี คือกุญแจสำคัญสู่ความกตัญญูและความพึงพอใจในชีวิต

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องนักเดินทางกับต้นเพลน (อังกฤษ: The Travellers and the Plane Tree) เป็นหนึ่งในนิทานอีสป นิทานเรื่องนี้ได้รับการจัดอยู่ในลำดับที่ 175 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) นิทานเรื่องนี้สามารถเปรียบเทียบกับนิทานอีสปเรื่องต้นวอลนัท(The Walnut Tree) ซึ่งมีแก่นเรื่องเกี่ยวกับความไม่รู้คุณต่อสิ่งที่ให้ประโยชน์

ในเรื่องนี้ต้นไม้ผู้ถูกลืมคุณค่า ในช่วงเที่ยงของวันฤดูร้อน กลุ่มนักเดินทางที่อ่อนล้าจากความร้อนแรงของดวงอาทิตย์ มองเห็นต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง พวกเขาจึงเดินเข้าไปและนอนพักใต้ร่มเงาของมัน ขณะเอนกายใต้กิ่งก้านอันร่มรื่น พวกเขามองขึ้นไปที่ต้นไม้นั้นแล้วกล่าวต่อกันว่า “ต้นไม้นี้ไม่มีผลให้กิน มันจึงไม่มีประโยชน์อะไรต่อมนุษย์เลย” ต้นเพลนเอ่ยสวนขึ้นทันทีว่า “พวกเจ้าช่างเป็นพวกที่ไม่รู้คุณเสียจริง! เจ้ากล่าวหาว่าข้าไร้ค่าและไม่มีผลให้เจ้ากิน ทั้ง ๆ ที่ในตอนนี้ เจ้ากำลังอาศัยร่มเงาของข้าเพื่อพักพิง!”

แม้บุคคลจะปฏิบัติต่อเพื่อนบ้านด้วยความเมตตา ความดีของเขาก็ยังอาจถูกตั้งคำถามและถูกมองข้ามไปได้เสมอ

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องหนูในเมืองกับหนูชนบท

ในโลกนี้ บางคนเลือกที่จะไขว่คว้าความมั่งคั่ง หรูหรา และความสะดวกสบาย ขณะที่บางคนให้คุณค่ากับความสงบสุขและอิสรภาพ แต่แท้จริงแล้ว อะไรคือความสุขที่แท้จริง?

ณ ที่แห่งหนึ่ง มีสัตว์สองตัวที่ใช้ชีวิตแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง หนูชนบทเติบโตมากับธรรมชาติ ดำรงชีวิตอย่างเรียบง่าย ในขณะที่หนูเมือง อาศัยอยู่ท่ามกลางความหรูหราและอาหารอันอุดมสมบูรณ์ เมื่อทั้งสองได้พบกัน หนูเมืองเชิญชวนให้หนูชนบทมาสัมผัสชีวิตในเมือง และนั่นคือจุดเริ่มต้นของบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างความหรูหราและความสงบสุข กับนิทานอีสปเรื่องหนูในเมืองกับหนูชนบท

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องหนูในเมืองกับหนูชนบท

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องหนูในเมืองกับหนูชนบท

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ทุ่งกว้างไกลสุดสายตา ที่ซึ่งมีต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงาและลำธารใสไหลผ่าน หนูตัวเล็ก ๆ อาศัยอยู่ในโพรงใต้ต้นไม้ มันคือหนูชนบท ที่เติบโตมากับอากาศบริสุทธิ์และวิถีชีวิตเรียบง่าย ทุกวันมันจะออกมาหาอาหารจากธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นลูกโอ๊ก เมล็ดข้าว หรือถั่วป่า แม้จะไม่หรูหรา แต่มันก็มีความสุขกับสิ่งที่มี

วันหนึ่งหนูเมือง เพื่อนเก่าของมันเดินทางมาเยี่ยม หนูเมืองเป็นหนูที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่ในเมืองหลวง มันเดินมาอย่างสง่างาม ขนของมันสะอาดสะอ้าน ต่างจากหนูชนบทที่เต็มไปด้วยฝุ่นดิน

“โอ้ เพื่อนรัก!” หนูชนบทร้องทักด้วยความดีใจ “เจ้าเดินทางมาไกล คงเหนื่อยมากแล้ว รีบเข้ามาสิ ข้าจะหาอาหารให้เจ้า!”

หนูชนบทนำลูกโอ๊ก เมล็ดพืช และผลไม้ป่าเล็ก ๆ มาวางไว้ตรงหน้าเพื่อน แต่น้ำเสียงของหนูเมืองเต็มไปด้วยความผิดหวัง “นี่หรืออาหารของเจ้า? ลูกโอ๊กแห้ง ๆ เมล็ดพืชแข็ง ๆ นี่น่ะหรือที่เจ้ากินทุกวัน?”

หนูชนบทยิ้มพลางกล่าว “ใช่สิ ข้ากินแบบนี้ทุกวัน และมันก็ดีต่อข้ามาก”

หนูเมืองหัวเราะเบา ๆ “ชีวิตเจ้าช่างลำบากนัก เจ้ารู้หรือไม่ว่าในเมือง อาหารมีมากมายกว่านี้หลายเท่า? ที่บ้านของข้า ขนมปังแสนอร่อย ชีสหอมหวาน และผลไม้สดใหม่มีให้เลือกกินไม่รู้จบ! เจ้าควรมาอยู่กับข้าเถอะ ที่นั่นดีกว่าที่นี่มาก!”

หนูชนบทเริ่มลังเล “จริงหรือ? บ้านของเจ้าน่าอยู่เช่นนั้นจริงหรือ?”

“แน่นอน! ข้ารับรองว่าเจ้าจะไม่ผิดหวัง!” หนูเมืองกล่าวอย่างมั่นใจ

หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง หนูชนบตก็ตัดสินใจตอบ “เช่นนั้น ข้าจะไปกับเจ้า ข้าอยากเห็นว่าชีวิตในเมืองเป็นเช่นไร”

หลังจากเดินทางไกล ในที่สุดหนูทั้งสองก็มาถึงบ้านหลังใหญ่ของหนูเมือง มันเป็นบ้านที่โอ่อ่า มีห้องกว้างขวางและเฟอร์นิเจอร์หรูหรา หนูชนบทตื่นตาตื่นใจกับทุกสิ่งที่เห็น

“ที่นี่ใหญ่เหลือเกิน!” มันอุทาน “และสะอาดกว่าบ้านของข้ามากนัก!”

“แน่นอน!” หนูเมืองกล่าว “แต่นั่นยังไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด! มาดูสิ อาหารของข้า!”

มันพาเพื่อนเข้าไปยังห้องครัว ที่ซึ่งโต๊ะยาวเต็มไปด้วยขนมปัง ชีส เนื้อแห้ง และผลไม้แสนอร่อย หนูชนบทเบิกตากว้าง “โอ้! อาหารมากมายขนาดนี้!”

“ใช่แล้ว! เชิญกินให้เต็มที่!”

หนูชนบทไม่รอช้า รีบคว้าชิ้นขนมปังมากัด มันรู้สึกถึงความนุ่มและรสชาติที่แตกต่างจากเมล็ดพืชที่มันเคยกิน หนูเมืองเองก็กินอย่างเพลิดเพลิน ทั้งสองกำลังดื่มด่ำกับอาหารชั้นเลิศ

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องหนูในเมืองกับหนูชนบท 2

แต่ทันใดนั้น “แกร๊ก!”

เสียงประตูเปิดดังลั่น หนูเมืองสะดุ้งทันที “เร็วเข้า! ซ่อนตัว!”

มันรีบวิ่งไปยังรูเล็ก ๆ ที่คุ้นเคย ขณะที่หนูชนบทตกใจจนขาแข็ง “เกิดอะไรขึ้น!? ใครมา!?”

“เป็นพ่อบ้าน! ถ้าเขาเห็นเรา เราจะเดือดร้อนแน่!”

หนูชนบทแตกตื่น วิ่งวุ่นไปทั่วห้อง ไม่รู้ว่าควรซ่อนตัวที่ไหน ขณะที่พ่อบ้านเดินเข้ามาหยิบของจากโต๊ะ มันได้แต่วิ่งหลบอยู่ใต้เก้าอี้ หัวใจเต้นรัว

เมื่อพ่อบ้านหยิบของเสร็จและปิดประตูไป หนูเมืองจึงโผล่ออกมา “เอาล่ะ ปลอดภัยแล้ว เจ้าสามารถออกมาได้”

หนูชนบทค่อย ๆ เดินออกมาด้วยอาการตัวสั่น “ข้ายังกลัวไม่หาย! เจ้าคิดว่ามนุษย์จะกลับมาอีกหรือไม่?”

“อาจจะ แต่ไม่ต้องกังวลไปหรอก ข้าอยู่ที่นี่มานาน ข้ารู้วิธีหลบซ่อน เจ้าแค่ต้องคุ้นชินกับมันเท่านั้น!”

“ข้าจะทำได้อย่างไร?” หนูชนบทกล่าวอย่างลังเล “ข้าไม่เคยต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ เช่นนี้มาก่อน ที่บ้านของข้า ข้ากินอาหารของข้าได้อย่างสบายใจ โดยไม่ต้องหวาดกลัวว่าจะมีใครมาขัดจังหวะ”

“แต่เจ้าจะหาของอร่อยเช่นนี้จากที่ไหนได้อีก!?” หนูเมืองยืนยัน

หนูชนบทส่ายหัว “สำหรับข้า ลูกโอ๊กก็เพียงพอแล้ว ตราบใดที่ข้ามีอิสระและไม่ต้องหวาดกลัว!”

วันรุ่งขึ้น หนูชนบทตัดสินใจออกเดินทางกลับบ้าน มันหันไปมองหนูเมืองเป็นครั้งสุดท้าย “ขอบใจเจ้าที่พาข้ามาที่นี่ มันเป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้น แต่ข้าคิดว่าชีวิตของข้าที่บ้านเหมาะกับข้ามากกว่า”

“เจ้าแน่ใจหรือ? เจ้ากำลังจะทิ้งอาหารแสนอร่อยไป!”

“ข้าแน่ใจแล้ว ข้าอยากมีชีวิตที่สงบสุขมากกว่าการมีอาหารหรูหราท่ามกลางความหวาดระแวง”

หนูเมืองมองเพื่อนของมันจากไป มันเองก็รู้ว่าไม่ใช่ทุกตัวที่สามารถใช้ชีวิตในเมืองได้ เช่นเดียวกับที่ไม่ใช่ทุกตัวที่สามารถใช้ชีวิตในชนบท

หนูชนบทเดินทางกลับบ้าน มันสูดอากาศบริสุทธิ์ของท้องทุ่ง พลางคิดกับตัวเอง “บางครั้ง ความสงบสุขก็สำคัญกว่าความหรูหรา ข้าขอเลือกใช้ชีวิตที่เรียบง่าย แต่ปลอดภัย และเป็นอิสระ”

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องหนูในเมืองกับหนูชนบท 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า “ความมั่งคั่งไม่ได้มีค่ามากกว่าความสงบสุข” หนูเมืองมีอาหารหรูหรามากมาย แต่ต้องใช้ชีวิตอย่างหวาดระแวง ผิดกับหนูชนบทที่แม้จะมีเพียงอาหารธรรมดา แต่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระและปลอดภัย

“ความสุขของแต่ละคนไม่เหมือนกัน” หนูเมืองคิดว่าความหรูหราคือสิ่งที่ดีที่สุด แต่หนูชนบทกลับให้คุณค่ากับอิสรภาพและความสงบ ทุกคนมีทางเลือกของตนเอง และสิ่งที่ดีสำหรับคนหนึ่ง อาจไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับอีกคน

“ชีวิตที่เรียบง่ายแต่ปราศจากความหวาดกลัว อาจมีค่ามากกว่าความมั่งคั่งที่ต้องแลกมาด้วยความเสี่ยง”

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องหนูในเมืองกับหนูชนบท (อังกฤษ: The Town Mouse and the Country Mouse) เป็นหนึ่งในนิทานอีสป นิทานเรื่องนี้ได้รับการจัดอยู่ในลำดับที่ 352 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) รวมถึงเป็นนิทานประเภท 112 ในดัชนีนิทานพื้นบ้านของ Aarne–Thompson เช่นเดียวกับองค์ประกอบอื่น ๆ ในนิทานอีสปหนูเมืองกับหนูชนบท ได้กลายเป็นสำนวนในภาษาอังกฤษ “town mouse and country mouse” ที่ใช้เปรียบเทียบวิถีชีวิตของผู้คนในเมืองใหญ่และชนบท

ในนิทานต้นฉบับหนูเมืองผู้โอหังเดินทางมาเยี่ยมลูกพี่ลูกน้องของมันในชนบท หนูชนบทต้อนรับด้วยอาหารเรียบง่ายตามแบบชนบท แต่หนูเมืองกลับดูแคลนและเชิญให้หนูชนบทไปสัมผัส “ชีวิตหรูหรา” ในเมือง

เมื่อไปถึงเมือง ทั้งสองได้เพลิดเพลินกับขนมปังขาวและอาหารเลิศรส แต่ไม่ทันไร งานเลี้ยงของพวกมันก็ถูกขัดจังหวะ เมื่อแมวปรากฏตัว ทำให้ทั้งคู่ต้องทิ้งอาหารและหนีตายกลับเข้าไปในรูหนู

หนูเมืองเล่าว่าแมวตัวนี้เป็นต้นเหตุที่พรากพ่อแม่ของมันจากมันไป และมันก็มักจะตกเป็นเป้าหมายของการไล่ล่าอยู่เสมอ เมื่อได้ฟังเช่นนั้นหนูชนบทตัดสินใจกลับบ้านทันที เพราะมันให้คุณค่ากับความปลอดภัยมากกว่าความหรูหรา

หรือดังที่โอโดแห่งเชอริตัน (Odo of Cheriton) นักเทศน์ในศตวรรษที่ 13 ได้กล่าวไว้ว่า “ข้ายอมแทะถั่วดีกว่าถูกความหวาดกลัวกัดกินอยู่ตลอดเวลา”

“การมีชีวิตอย่างเรียบง่ายและพอเพียง ย่อมดีกว่าการใช้ชีวิตในความมั่งคั่งที่เต็มไปด้วยความหวาดระแวงและอันตราย”

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องกระต่ายกับเต่า

ในโลกของการแข่งขัน บางคนเกิดมาพร้อมกับความสามารถที่เหนือกว่า พวกเขาเคลื่อนไหวได้รวดเร็ว ฉลาดเฉียบแหลม หรือได้รับโอกาสที่ดีกว่าผู้อื่น แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีบางคนที่แม้จะไม่ได้โดดเด่นตั้งแต่แรกเริ่ม แต่กลับมุ่งมั่นและก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่ย่อท้อ

ณ ป่าแห่งหนึ่ง สัตว์ทั้งหลายต่างใช้ชีวิตตามวิถีของตนเอง ท่ามกลางพวกมันมีผู้ที่รวดเร็วปราดเปรียว และผู้ที่เคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า วันหนึ่ง เหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น กลายเป็นบทพิสูจน์สำคัญที่ทำให้พวกมันได้เรียนรู้ว่า อะไรคือสิ่งที่นำพาผู้หนึ่งไปสู่จุดหมายที่แท้จริง กับนิทานอีสปเรื่องกระต่ายกับเต่า

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องกระต่ายกับเต่า

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องกระต่ายกับเต่า

ณ ป่าใหญ่เขียวชอุ่ม ที่ซึ่งลำธารใสไหลผ่านและต้นไม้สูงใหญ่ปกคลุมเป็นร่มเงา เหล่าสัตว์ป่าต่างอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข หนึ่งในนั้นคือกระต่าย สัตว์ที่ว่องไวที่สุดในป่า มันสามารถกระโดดข้ามก้อนหิน วิ่งผ่านพุ่มไม้ และพุ่งไปข้างหน้าได้เร็วกว่าสัตว์ตัวใด กระต่ายภูมิใจในความเร็วของมันนัก และมักอวดอ้างเสมอว่าไม่มีใครสามารถเอาชนะมันได้

วันหนึ่ง ขณะที่กระต่ายกำลังกระโดดโลดเต้นไปตามทางเดินในป่า มันเห็นเต่าค่อย ๆ เดินต้วมเตี้ยมอยู่ริมทาง กระต่ายหยุดลงแล้วหัวเราะเสียงดัง

“โอ้ นี่เจ้ากำลังเดินอยู่จริง ๆ หรือ? หรือว่ากำลังยืนเฉย ๆ กันแน่?”

เต่าหยุดเดินแล้วเงยหน้าขึ้นมองกระต่าย มันไม่ได้แสดงความโกรธ แต่เพียงกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าเดินช้า แต่ข้าไปถึงที่หมายเสมอ”

กระต่ายหัวเราะเสียงดังยิ่งกว่าเดิม “ฮ่า ๆ ๆ เจ้าหมายถึงอะไรกัน? ถ้าการเดินของเจ้าเป็นแบบนี้ เจ้าคงใช้เวลาทั้งวันกว่าจะไปถึงอีกฟากของป่า!”

“บางครั้ง ผู้ที่ช้าแต่มั่นคง อาจไปถึงเส้นชัยก่อนผู้ที่เร่งรีบและประมาท” เต่าตอบด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย

กระต่ายกระพริบตาด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะยิ้มเจ้าเล่ห์ “งั้นเรามาพิสูจน์กันดีไหม? ข้าขอท้าเจ้าแข่งขันวิ่ง! ถ้าเจ้าคิดว่าความพากเพียรของเจ้าสำคัญนัก ก็ลองมาวิ่งแข่งกับข้าดู!”

เหล่าสัตว์ป่าที่อยู่บริเวณนั้นหันมาสนใจ และพากันหัวเราะเมื่อได้ยินคำท้าของกระต่าย ไม่มีใครคิดว่าเต่าจะมีโอกาสชนะเลย

“ข้าตกลง!” เต่ากล่าวอย่างหนักแน่น

“อะไรนะ!? เจ้ายอมรับคำท้าจริง ๆ หรือ?” กระต่ายถามอย่างเหลือเชื่อ

“แน่นอน ทำไมข้าจะไม่ยอมรับล่ะ?” เต่าตอบ “ข้าต้องการแสดงให้เจ้ารู้ว่า ความเร็วไม่ใช่สิ่งเดียวที่สำคัญในการเดินทาง”

ข่าวเรื่องการแข่งขันแพร่กระจายไปทั่วป่าอย่างรวดเร็ว สัตว์ทุกตัวต่างตื่นเต้นและพากันมารวมตัวที่ลานกว้างเพื่อชมการแข่งขัน

มื่อถึงวันแข่ง เสือผู้เป็นกรรมการยืนอยู่ตรงจุดเริ่มต้น มันประกาศกติกาให้ทุกตัวได้ยิน “การแข่งขันนี้ง่ายมาก ใครไปถึงต้นไม้ใหญ่ที่อยู่สุดปลายทางก่อนเป็นผู้ชนะ! พร้อมหรือยัง?”

“พร้อมเสมอ!” กระต่ายกล่าวอย่างมั่นใจ

เต่าพยักหน้าเบา ๆ ไม่มีคำพูดใดออกจากปากของมัน

“เอาล่ะ! เตรียมตัว… ไป!”

สิ้นเสียงสัญญาณ กระต่ายพุ่งตัวออกไปด้วยความเร็วสูง ทิ้งเต่าไว้ข้างหลังภายในพริบตา เหล่าสัตว์ป่าต่างเชียร์กระต่ายด้วยเสียงดัง “ดูสิ! กระต่ายไปไกลแล้ว!”

เต่าไม่ได้เร่งรีบ มันเพียงแค่ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ไม่สนใจเสียงหัวเราะหรือคำดูถูกที่ดังรอบตัว

ผ่านไปไม่นาน กระต่ายวิ่งนำไปไกลจนมองไม่เห็นเต่าแล้ว มันหันกลับมามองข้างหลัง ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ “โอ้ น่าสงสารจริง ๆ เจ้ายังไม่ทันออกจากจุดเริ่มต้นเลยด้วยซ้ำ!”

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องกระต่ายกับเต่า 2

กระต่ายมั่นใจว่าตัวเองนำอยู่ไกลมาก มันจึงคิดว่าไม่มีเหตุผลที่ต้องรีบร้อน “ข้าคงมีเวลาพักสักหน่อยก็ยังชนะได้สบาย”

กระต่ายมองหาต้นไม้ใหญ่ที่ร่มรื่น แล้วเอนตัวลงใต้เงาไม้ ลมเย็นพัดผ่านทำให้มันรู้สึกผ่อนคลาย

“เพียงแค่พักสายตาสักครู่เดียว… แล้วข้าจะวิ่งเข้าเส้นชัยอย่างง่ายดาย!”

เต่ายังคงก้าวเดินไปข้างหน้า มันไม่ได้หยุดพัก ไม่ได้เร่งรีบ แต่เดินไปอย่างต่อเนื่อง แม้ว่ามันจะรู้ว่าตัวเองช้ากว่ากระต่ายหลายเท่า แต่มันก็รู้ว่าหากมันไม่หยุดเดิน มันก็จะไปถึงเส้นชัยในที่สุด

เวลาผ่านไปนาน กระต่ายยังคงหลับสนิท ใบไม้พลิ้วไหวเบา ๆ รอบตัวมัน มันไม่รู้เลยว่าเต่าค่อย ๆ เข้าใกล้เส้นชัยมากขึ้นทุกที

ในที่สุด เมื่อเต่าคลานไปจนใกล้ถึงต้นไม้ใหญ่ สัตว์ป่าที่รอดูการแข่งขันอยู่เริ่มกระซิบกันด้วยความตกใจ

“ดูสิ! เต่ากำลังจะถึงเส้นชัย!”

เสียงกระซิบนั้นเริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ จนกระต่ายสะดุ้งตื่นขึ้น มันรีบกระโดดขึ้นมา แล้วมองไปข้างหน้า

“ไม่นะ! ข้านอนหลับไปนานแค่ไหนกัน!?”

เมื่อเห็นเต่ากำลังจะเข้าเส้นชัย กระต่ายตกใจมาก มันรีบออกวิ่งด้วยความเร็วสูงสุด แต่มันสายเกินไปแล้ว

เมื่อกระต่ายพุ่งไปข้างหน้าเพื่อพยายามแซง เสียงร้องของสัตว์ป่าก็ดังขึ้น “เต่าชนะแล้ว!”

เต่าคลานเข้าเส้นชัยก่อนกระต่ายเพียงไม่กี่ก้าว ขณะที่กระต่ายวิ่งมาถึงในวินาทีถัดมา

กระต่ายยืนหอบอยู่ที่เส้นชัย มันยังไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง “ข้าแพ้ได้ยังไง? ข้าเร็วกว่ามันตั้งมากมาย!”

เต่าหันมามองกระต่ายก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้มบาง ๆ “ข้าบอกเจ้าแล้วว่า บางครั้งผู้ที่ช้าแต่มั่นคง ก็สามารถไปถึงเส้นชัยได้ก่อนผู้ที่เร่งรีบและประมาท”

กระต่ายก้มหน้าด้วยความอับอาย มันเข้าใจแล้วว่าตัวเองพ่ายแพ้ ไม่ใช่เพราะมันช้า แต่เพราะมันประมาท

เหล่าสัตว์ป่าพากันปรบมือและกล่าวชื่นชมเต่า ในขณะที่กระต่ายได้แต่เดินจากไปเงียบ ๆ มันได้เรียนรู้บทเรียนสำคัญในวันนี้

“ไม่ใช่ผู้ที่เริ่มต้นเร็วที่สุดจะเป็นผู้ชนะเสมอไป แต่คือผู้ที่ไม่ยอมแพ้และเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคงต่างหาก ที่ไปถึงจุดหมายได้สำเร็จ”

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องกระต่ายกับเต่า 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความพากเพียรและความมั่นคงสำคัญกว่าความเร็วเพียงอย่างเดียว แม้เต่าจะเคลื่อนที่ช้า แต่มันไม่เคยหยุดเดิน จึงสามารถไปถึงเส้นชัยได้ ในขณะที่กระต่าย แม้จะมีความสามารถเหนือกว่า แต่กลับประมาทและเสียโอกาสไป

ความประมาทอาจทำให้เราพ่ายแพ้ แม้จะมีข้อได้เปรียบเหนือผู้อื่น กระต่ายมั่นใจในความเร็วของตนเองจนหยุดพัก และปล่อยให้โอกาสหลุดมือไป ในชีวิตจริง หากเราหยุดพัฒนาตัวเองเพราะคิดว่าเราดีกว่าคนอื่น เราอาจพ่ายแพ้ให้กับผู้ที่ไม่เคยหยุดก้าวไปข้างหน้า

สุดท้ายชัยชนะไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าใครเริ่มต้นเร็วที่สุด แต่อยู่ที่ใครไม่ยอมแพ้และก้าวเดินอย่างมั่นคงจนถึงจุดหมาย

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องกระต่ายกับเต่า (อังกฤษ: The Tortoise and the Hare) เป็นหนึ่งในนิทานอีสปเป็นหนึ่งในนิทานอีสปเรื่องหนึ่งที่ได้รับความนิยมแพร่หลายทั่วโลกเป็นอย่างมาก นิทานเรื่องนี้ได้รับการจัดอยู่ในลำดับที่ 226 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) เรื่องราวการแข่งขันระหว่างคู่แข่งที่ไม่เท่าเทียมกันนี้ได้รับการตีความในหลายแง่มุม รวมถึงมีการไปตีความเป็นนิทานพื้นบ้านแต่ละประเทศหรือภาษาหลากหลายอีกด้วย

นิทานเรื่องนี้เล่าถึงกระต่าย ที่เยาะเย้ยเต่า ผู้เคลื่อนไหวเชื่องช้า ด้วยความเบื่อหน่ายต่อความหยิ่งยโสของกระต่าย เต่าจึงท้าทายให้แข่งวิ่งกัน กระต่ายออกตัวไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งเต่าไว้ข้างหลัง และด้วยความมั่นใจว่าตนต้องชนะอย่างแน่นอน มันจึงหยุดพักงีบกลางทาง แต่เมื่อกระต่ายตื่นขึ้น กลับพบว่าเต่าผู้คืบคลานไปอย่างช้า ๆ แต่มั่นคง ได้เข้าเส้นชัยก่อนตนแล้ว

ในภายหลัง นิทานฉบับของ ฌอง เดอ ลา ฟงแตน (Jean de La Fontaine) ใน Fables (VI.10) แม้จะมีการเล่าเรื่องที่ยืดยาวขึ้น แต่แทบไม่แตกต่างจากต้นฉบับดั้งเดิมของอีสป (Aesop)

เช่นเดียวกับนิทานอีสปหลายเรื่อง คติที่สอนในเรื่องนี้อาจตีความได้หลายแง่มุม ในยุคกรีกโบราณ สิ่งที่ถูกเน้นไม่ได้เป็นความกล้าหาญของเต่าในการเผชิญหน้ากับผู้โอหัง แต่เป็น ความประมาทและความหลงตัวเองของกระต่าย

นิทานเรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าคนจำนวนมากมีพรสวรรค์โดยธรรมชาติ แต่กลับปล่อยให้ความเกียจคร้านทำลายมันไป ในทางกลับกัน ความมีสติ ความมุ่งมั่น และความพากเพียร สามารถเอาชนะความเฉื่อยชาได้

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องอินทรีกับอีกา

ในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ไม่มีใครสามารถป้องกันตนเองจากผู้มีอำนาจได้อย่างสมบูรณ์ แม้แต่ผู้ที่มีเกราะป้องกันแข็งแกร่งที่สุด ก็อาจพ่ายแพ้ให้กับอำนาจและเล่ห์กลของผู้ที่อยู่เหนือกว่า

และยิ่งไปกว่านั้นการทรยศสามารถเกิดขึ้นได้เสมอ หากมีที่ปรึกษาที่คิดร้ายอยู่เบื้องหลัง ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของอำนาจเถื่อนย่อมต้องพินาศ ไม่ใช่เพราะความอ่อนแอของตนเอง แต่เพราะการถูกชักนำไปสู่กับดักที่มิอาจหลีกหนี กับนิทานอีสปเรื่องอินทรีกับอีกา

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องอินทรีกับอีกา

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องอินทรีกับอีกา

กลางท้องฟ้ากว้างใหญ่ เหนือภูเขาสูงตระหง่าน อินทรี ผู้เป็นราชาแห่งเวหา กำลังบินร่อนเหนือป่าลึก มันเป็นนักล่าผู้สง่างาม ดวงตาคมกริบของมันจับจ้องไปทั่วเบื้องล่าง มองหาเหยื่อที่เหมาะสมสำหรับมื้ออาหารวันนี้

ทันใดนั้น มันเหลือบเห็น เต่า ตัวหนึ่ง ค่อยๆ คลานอยู่บนโขดหินริมหน้าผา อินทรีฉีกยิ้ม มันรู้ดีว่าเต่าเป็นเหยื่อที่มีเกราะป้องกันแข็งแกร่ง แต่ก็เป็นเป้าหมายที่เคลื่อนที่เชื่องช้าเกินกว่าที่จะหนีไปได้

อินทรีโฉบลงมาทันที กรงเล็บแหลมคมของมันเกี่ยวร่างเต่าอย่างแม่นยำก่อนจะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า เต่าดิ้นรนพยายามต้านทาน แต่กระดองของมันแข็งแกร่งเกินกว่าที่อินทรีจะจิกทะลุ

“ข้าได้เหยื่อที่อุดมสมบูรณ์ แต่ทำไมข้าจึงกินมันไม่ได้?” อินทรีพึมพำ มันพยายามจิกซ้ำๆ แต่ไม่เป็นผล

ขณะที่อินทรีกำลังขบคิดหาทาง อีกาตัวหนึ่งที่บินผ่านมาพอดี สังเกตเห็นสถานการณ์และตัดสินใจฉวยโอกาส

“ท่านอินทรีผู้ยิ่งใหญ่ ข้าเห็นว่าท่านจับเหยื่อชิ้นโตได้ แต่ดูเหมือนท่านจะลำบากในการจัดการมัน ท่านต้องการความช่วยเหลือหรือไม่?” อีกากล่าว พลางบินเข้ามาใกล้

อินทรีหรี่ตาลง “ข้าไม่ต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า! ข้าสามารถจัดการเหยื่อของข้าเอง!”

อีกายิ้มเจ้าเล่ห์ “แน่นอน ท่านแข็งแกร่งที่สุดในท้องฟ้า แต่บางครั้ง กำลังเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ ท่านคงไม่อยากเสียเวลาไปเปล่าๆ หรอกใช่ไหม?”

อินทรีเริ่มสนใจ “แล้วเจ้ามีแผนอะไร?”

“ง่ายดายมาก!” อีกาตอบ “ท่านเพียงต้องปล่อยเต่าลงจากที่สูง ปล่อยให้มันตกกระแทกโขดหิน เมื่อนั้น กระดองแข็งของมันก็จะแตกออก และท่านจะได้ลิ้มรสมันอย่างง่ายดาย!”

อินทรีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าว “แล้วเจ้าต้องการอะไรเป็นสิ่งตอบแทน?”

“ข้าเพียงขอแบ่งเนื้อเต่าสักส่วนหนึ่ง ถือว่าเป็นค่าคำแนะนำจากอาจารย์ของท่าน!” อีกากล่าวพร้อมหัวเราะ

อินทรีแสยะยิ้ม “ถ้าเช่นนั้น ก็เป็นไปตามนั้น!”

อินทรีกางปีกอย่างทรงพลัง มันบินสูงขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งมองเห็นภูมิทัศน์ทั้งหมดรอบตัว เต่าพยายามดิ้นรนในกรงเล็บ แต่มันไม่สามารถหนีจากเงื้อมมือของอินทรีได้

“ปล่อยข้าไปเถิด!” เต่าร้องขอ “เจ้าไม่มีทางทำอะไรข้าได้!”

“ข้าไม่มีทางทำอะไรเจ้า? ฮ่าๆๆ! อีกไม่กี่อึดใจ เจ้าจะรู้เอง!” อินทรีหัวเราะ ก่อนจะบินไปยังบริเวณที่มีโขดหินแหลมคม

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องอินทรีกับอีกา 2

“เตรียมตัวให้พร้อม! กระดองของเจ้าจะไม่มีวันรอดพ้นจากแผนนี้!” อินทรีกล่าว ก่อนจะปล่อยเต่าร่วงลงจากที่สูง

เต่าหล่นลงมาอย่างรวดเร็ว มันพยายามหดหัวเข้าไปในกระดอง แต่ไม่มีอะไรสามารถช่วยมันได้

“ปัง!”

เสียงกระดองกระแทกโขดหินดังสะท้อนก้องไปทั่ว หินแตกเป็นเสี่ยงๆ เช่นเดียวกับเกราะป้องกันตามธรรมชาติของเต่า

อินทรีโฉบลงมาทันที และจิกเนื้อเต่ากินอย่างรวดเร็ว ขณะที่อีกาโบยบินลงมาใกล้ มันยิ้มอย่างพึงพอใจเมื่อเห็นแผนการของตนสำเร็จ อินทรีมองอีกาและไม่ลืมคำสัญญา มันฉีกชิ้นส่วนเนื้อเต่าส่งให้เพื่อนผู้เจ้าเล่ห์

“ขอบคุณ อาจารย์แห่งปัญญา!” อินทรีกล่าวพร้อมหัวเราะ

อีกากินเนื้อเต่าด้วยความอิ่มเอม มันมองไปยังซากกระดองที่แตกเป็นเสี่ยงๆ และพึมพำกับตัวเอง

“แม้แต่สิ่งที่ธรรมชาติได้มอบเกราะป้องกันอันแข็งแกร่ง ก็ยังมิอาจรอดพ้นจากเล่ห์กลของผู้ฉลาดและผู้มีอำนาจ!”

และแล้ว สายลมก็พัดพาเศษซากของเต่ากระจัดกระจายไปตามผืนดิน ขณะที่อินทรีและอีกาโบยบินเข้ามาลิ้มลองเนื้อเต่าอันโอชะโดยไร้ซึ่งความสำนึกผิดใด ๆ

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องอินทรีกับอีกา 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า “อำนาจและปัญญาที่ถูกใช้ในทางที่ผิด ย่อมทำลายผู้ที่อ่อนแอกว่า” เต่ามีเกราะป้องกันจากธรรมชาติ แต่ก็ไม่อาจรอดพ้นจากอุบายของอีกาและพลังของอินทรี ในโลกที่เต็มไปด้วยเล่ห์กลและอำนาจเถื่อน ผู้ที่ไร้หนทางปกป้องตัวเองย่อมตกเป็นเหยื่ออย่างง่ายดาย

อีกาใช้เพียงวาจาและความเจ้าเล่ห์ หลอกให้อินทรีทำงานแทนตนเอง เช่นเดียวกับในสังคมที่บางคนไม่ได้ใช้กำลังของตนเอง แต่กลับใช้ไหวพริบและเล่ห์เหลี่ยมเพื่อบงการผู้อื่นให้ทำสิ่งที่ต้องการ

สุดท้าย แม้เกราะป้องกันจะแข็งแกร่งเพียงใด แต่หากไม่รู้จักระวังภัย เราอาจถูกทำลายด้วยเล่ห์กลของผู้อื่นได้อย่างง่ายดาย

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องอินทรีกับอีกา (อังกฤษ: The Eagle and the Crow) เป็นหนึ่งในนิทานอีสป มีนิทานเกี่ยวกับเต่าและนกที่เล่าขานในนามของอีสป (Aesop) อยู่สองเรื่อง หนึ่งเป็นภาษากรีกโดยบาบริอุส (Babrius) คือนิทานอีสปเรื่องเต่ากับอินทรี และอีกหนึ่งเป็นภาษาละตินโดยฟีดรัส (Phaedrus) คือนิทานในบทความนี้ โดยนิทานเรื่องนี้สะท้อนถึงความไม่แน่นอนของชีวิต ที่การทรยศสามารถเกิดขึ้นได้เสมอ ซึ่งเป็นหัวข้อหลักของนิทานของฟีดรัส (Phaedrus) เล่าไว้ในชื่อ “อินทรีกับอีกา” (The Eagle and the Crow, 2.6) นิทานเรื่องนี้ได้รับการจัดอยู่ในลำดับที่ 490 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ)

เรื่องราวเริ่มต้นด้วยคำกล่าวว่า “ไม่มีใครสามารถป้องกันตนเองจากผู้มีอำนาจได้อย่างสมบูรณ์ และหากมีที่ปรึกษาที่คิดร้ายอยู่เบื้องหลัง ผู้ตกเป็นเหยื่อของอำนาจเถื่อนย่อมต้องพินาศ”

ฟีดรัสเล่าถึงอินทรีที่จับเต่าได้แต่กินไม่ได้เพราะกระดองแข็ง อีกาที่บินผ่านมาแนะนำให้ปล่อยเต่าลงจากท้องฟ้าให้กระแทกโขดหิน ด้านล่าง เพื่อให้กระดองแตกแล้วจะกินเนื้อเต่าได้ง่ายขึ้น อินทรียอมทำตามแผนและทั้งสองแบ่งซากเต่ากัน

ต่อมาเมื่อวอลเตอร์แห่งอังกฤษ (Walter of England) นำเรื่องนี้มาเล่าใหม่ เขาได้เพิ่มองค์ประกอบของการทรยศอีกระดับ โดยเปลี่ยนให้อีกาพบอินทรีที่หงุดหงิดเพราะกินเต่าไม่ได้ และแนะนำให้มันบินขึ้นสูงแล้วปล่อยเต่าลง แต่แทนที่อีกาจะรอแบ่งอาหาร มันกลับฉวยเต่าที่ร่วงลงมาแล้วบินหนีไปก่อนที่อินทรีจะกลับมาถึง!

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องเต่ากับอินทรี

ในโลกนี้ ไม่ใช่ทุกสิ่งที่เกิดมาเหมือนกัน บางตัวถูกสร้างมาให้บินบนท้องฟ้า บางตัวถูกสร้างมาให้ว่ายในน้ำ และบางตัวก็เหมาะกับการเดินบนพื้นดิน แต่เมื่อความอิจฉาและความทะเยอทะยานเข้าครอบงำ จิตใจของเราก็อาจไขว่คว้าสิ่งที่ไม่ใช่ของเรา โดยไม่ทันคิดว่านั่นอาจนำไปสู่หายนะ

เต่าตัวหนึ่งใช้ชีวิตอย่างเชื่องช้าอยู่ริมหนองน้ำ แต่มันไม่เคยพอใจกับสิ่งที่ตัวเองมี มันเฝ้ามองนกที่บินอยู่บนฟ้าและอิจฉาในอิสรภาพของพวกมัน จนกระทั่งวันหนึ่ง มีผู้ยื่นข้อเสนอให้มันได้สัมผัสท้องฟ้าดั่งที่มันต้องการ แต่สิ่งที่รออยู่เบื้องหน้านั้น ไม่ใช่อิสรภาพอย่างที่มันคาดหวัง กับนิทานอีสปเรื่องเต่ากับอินทรี

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องเต่ากับอินทรี

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องเต่ากับอินทรี

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว กลางหนองน้ำกว้างใหญ่ เต่าตัวหนึ่งอาศัยอยู่ตามลำพัง มันเคลื่อนที่อย่างเชื่องช้า และใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย วันแล้ววันเล่า มันเฝ้าดูนกเฉี่ยว นกนางนวล และนกนางแอ่นทะเลโบยบินผ่านไปอย่างอิสระ มันอิจฉานัก เพราะพวกนกเหล่านั้นสามารถเดินทางไปได้ทุกที่ โดยไม่ต้องติดอยู่กับพื้นดินที่ขรุขระเหมือนตัวมัน

“ถ้าข้ามีปีกเหมือนพวกเจ้าก็คงดี ข้าจะบินสูงขึ้นไปเหนือผืนน้ำและมองเห็นโลกในมุมที่กว้างกว่านี้!” เต่ารำพึงกับตัวเอง พลางถอนหายใจ

ฝูงนกที่บินผ่านไปได้ยินคำพูดของเต่า นกตัวหนึ่งหัวเราะเยาะและกล่าวว่า “เจ้าเป็นเต่า เจ้าเกิดมาเพื่ออยู่บนพื้นดิน มิใช่ท้องฟ้า อย่าฝันถึงสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย!”

แต่เต่าไม่ยอมรับชะตากรรมของตน มันยังคงเฝ้ามองนกทั้งหลายด้วยความปรารถนาอันแรงกล้า จนกระทั่งวันหนึ่ง อินทรีผู้สง่างามบินโฉบผ่านและได้ยินคำอ้อนวอนของเต่า มันร่อนลงมาตรงหน้าเต่าพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

“เจ้าอยากบินจริงหรือ?” อินทรีถาม เต่าดีใจที่มีผู้ยินดีฟังความปรารถนาของมัน จึงรีบพยักหน้า “แน่นอน! ข้าใฝ่ฝันจะได้โบยบินเหนือแผ่นดินนี้ ข้าต้องการสัมผัสอิสรภาพของสายลม!”

อินทรีหัวเราะเบา ๆ แล้วกล่าวขึ้น “หากข้าทำให้เจ้าบินได้ เจ้าจะให้อะไรแก่ข้าเป็นรางวัล?”

เต่าครุ่นคิด แม้มันไม่มีทรัพย์สมบัติใด ๆ แต่มันก็ตอบอย่างมั่นใจ “ข้าจะมอบของขวัญทั้งหมดจากท้องทะเลตะวันออกให้เจ้า!”

อินทรียิ้มกว้าง พลางคิดในใจว่า “เจ้าเต่านี่ช่างโง่เขลาเสียจริง มันไม่มีอะไรจะให้ข้าเลย” แต่มันก็แสร้งทำเป็นจริงจัง แล้วตอบกลับไป “งั้นข้าจะสอนเจ้าเอง”

ว่าแล้ว อินทรีใช้กรงเล็บอันแข็งแกร่งจับเต่าพลิกหงายขึ้น แล้วโผบินขึ้นสู่ท้องฟ้า

อินทรีพาเต่าทะยานขึ้นไปสูงขึ้นเรื่อย ๆ ลมพัดผ่านร่างของเต่าที่ไม่เคยสัมผัสอากาศเช่นนี้มาก่อน หัวใจของมันเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น มันเฝ้ามองหนองน้ำที่เล็กลงทุกที พื้นดินด้านล่างดูราวกับเป็นพรมกว้างใหญ่ “ข้ากำลังบิน! ข้ากำลังบิน!” เต่าร้องออกมาด้วยความดีใจ

อินทรีหัวเราะพร้อมกับกล่าวว่า “ใช่ เจ้ากำลังอยู่บนฟ้า เช่นเดียวกับพวกเรา”

เต่าเริ่มหลงใหลในทิวทัศน์ที่มันไม่เคยเห็นมาก่อน ทุกสิ่งดูเล็กและไกลออกไป มันรู้สึกเหมือนได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของท้องฟ้า

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องเต่ากับอินทรี 2

แต่แล้ว อินทรีก็บินสูงขึ้นไปอีก จนกระทั่งพวกเขาหายลับเข้าไปในกลุ่มเมฆ เต่ามองไปรอบ ๆ มีเพียงหมอกขาวโอบล้อม “ข้ารู้สึกหนาว… อินทรี พอแล้ว ข้าอยากกลับลงไป”

อินทรีแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน มันบินสูงขึ้นไปอีก

“อินทรี… เจ้าได้ยินข้าไหม? ข้าไม่อยากบินอีกแล้ว!” เต่าร้องเสียงดังขึ้น

อินทรีหยุดกลางอากาศ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “แต่เจ้าอยากบินไม่ใช่หรือ? เจ้าอยากสัมผัสท้องฟ้า ข้าก็พาเจ้ามาให้แล้ว”

เต่าเริ่มตระหนักถึงความผิดพลาดของตนเอง “ข้าคิดผิด! โปรดพาข้ากลับลงไปเถิด!”

แต่สายไปเสียแล้ว อินทรีแค่นหัวเราะ ก่อนจะกล่าวว่า “บนฟ้านี้ มีเพียงผู้ที่เกิดมาเพื่อบินเท่านั้นที่อยู่รอดได้” แล้วคลายกรงเล็บ ปล่อยเต่าร่วงหล่นลงจากฟ้า

เต่าร่วงลงมาด้วยความเร็ว เสียงลมพัดผ่านราวกับเสียงกรีดร้อง มันพยายามกางขาเพื่อหยุดการตก แต่ไม่อาจทำสิ่งใดได้ “ข้ากำลังจะตาย… ข้ากำลังจะตก!”

ไม่นานนัก เต่ากระแทกเข้ากับยอดเขา เปลือกแข็งของมันแตกละเอียด ความเจ็บปวดแล่นเข้าสู่ร่างของมันในทันที

เลือดไหลซึมออกมา ลมหายใจของมันเริ่มแผ่วเบา ขณะที่ร่างของมันนอนแน่นิ่งอยู่บนก้อนหิน เต่ามองไปยังท้องฟ้า ที่ซึ่งมันเคยคิดว่าเป็นสถานที่แห่งอิสรภาพ

“ข้าสมควรได้รับมันแล้ว… จะมีปีกไปเพื่ออะไร ในเมื่อแม้แต่บนพื้นดิน ข้ายังเดินไปไหนแทบไม่ได้เลย!” มันหลับตาลงเป็นครั้งสุดท้าย ขณะที่อินทรียังคงบินวนอยู่เหนือศีรษะของมัน โฉบผ่านไปพร้อมกับเสียงหัวเราะที่แฝงไปด้วยความเย้ยหยัน

หนองน้ำที่เคยเป็นบ้านของเต่ากลับคืนสู่ความเงียบงันอีกครั้ง

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องเต่ากับอินทรี 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การไม่รู้จักยอมรับข้อจำกัดของตนเอง อาจนำไปสู่ความหายนะ เต่าฝืนธรรมชาติของมันเพราะอิจฉาผู้อื่น จึงต้องจบชีวิตลงเพราะความทะเยอทะยานที่ไร้สติ

เรื่องราวยังเตือนว่าความฝันที่ปราศจากความเข้าใจในความเป็นจริง อาจนำไปสู่ความพินาศ เช่นเดียวกับบางคนที่พยายามเป็นในสิ่งที่ตนไม่เหมาะสม เพียงเพราะต้องการเหมือนผู้อื่น

นอกจากนี้ บางโอกาสอาจเป็นเพียงกับดักที่นำไปสู่หายนะ อินทรีไม่ได้ช่วยเต่าด้วยความหวังดี แต่มันทำเพราะความสนุก เช่นเดียวกับในชีวิตจริงที่บางคนอาจหลอกล่อให้เราก้าวพลาดเพื่อประโยชน์ของพวกเขาเอง

ท้ายที่สุดการยอมรับตนเองและใช้ชีวิตตามสิ่งที่เรามี คือหนทางที่มั่นคงและปลอดภัยที่สุด

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องเต่ากับอินทรี (อังกฤษ: The Tortoise and the Eagle) มีนิทานเกี่ยวกับเต่าและนกที่เล่าขานในนามของอีสป (Aesop) อยู่สองเรื่อง หนึ่งเป็นภาษากรีกโดยบาบริอุส (Babrius) คือนิทานในบทความนี้ และอีกหนึ่งเป็นภาษาละตินโดยฟีดรัส (Phaedrus) คือนิทานอีสปเรื่องอินทรีกับอีกา ในนิทานฉบับกรีกเล่าเต่าตัวหนึ่งปรารถนาจะเห็นโลกให้มากขึ้น จึงเกลี้ยกล่อมให้อินทรีพามันบินขึ้นสู่ท้องฟ้า โดยสัญญาว่าจะมอบ “ของขวัญทั้งหมดจากท้องทะเลตะวันออก” เป็นการตอบแทน แต่เมื่อขึ้นไปเหนือเมฆ อินทรีกลับปล่อยมันตกลงมายังยอดเขา นิทานเรื่องนี้ได้รับการจัดอยู่ในลำดับที่ 230 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ)

นิทานเรื่องนี้ให้คติสอนใจว่า “จงพอใจกับสิ่งที่ตนมี” และแพร่กระจายไปทั่วยุโรปผ่านฉบับภาษาละตินในคอลเลกชันของอาเวียนุส (Avianus) และโอโดแห่งเชอริตัน (Odo of Cheriton) ต่อมาเรื่องราวได้ผสมผสานกับนิทานเวอร์ชันอินเดีย ซึ่งเสริมความไม่พอใจของเต่าให้เด่นชัดขึ้น และถูกนำมาใช้ในนิทานของฌอง เดอ ลา ฟงแตน (Jean de La Fontaine) รวมถึงในบทกวี The Tortoise ของเจฟฟรีย์ เทย์เลอร์ (Jefferys Taylor)

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องหงส์กับห่าน

ในโลกนี้ คนแต่ละคนล้วนมีคุณค่าและความสามารถของตนเอง บางคนแข็งแกร่ง บางคนเฉลียวฉลาด บางคนมีพรสวรรค์ที่เป็นเอกลักษณ์ แต่ในสังคมที่แข่งขันกันเพื่อความอยู่รอด บางครั้งสิ่งที่ดูเหมือนไม่มีประโยชน์อาจกลายเป็นสิ่งที่ช่วยชีวิตเราได้

หงส์และห่านอาศัยอยู่ร่วมกันในฟาร์ม แต่ได้รับการเลี้ยงดูด้วยจุดประสงค์ที่แตกต่างกัน หงส์ถูกเลี้ยงไว้เพราะเสียงขับขานที่ไพเราะ ส่วนห่านถูกเลี้ยงไว้เพื่อเป็นอาหาร ห่านภาคภูมิใจในหน้าที่ของมัน ขณะที่หงส์ไม่เคยโต้แย้งหรือเปรียบเทียบตัวเองกับใคร จนกระทั่งวันที่โชคชะตานำพาการทดสอบมาถึง สิ่งที่ช่วยให้รอดชีวิตกลับไม่ใช่สิ่งที่คาดคิด กับนิทานอีสปเรื่องหงส์กับห่าน

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องหงส์กับห่าน

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องหงส์กับห่าน

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในคฤหาสน์กว้างใหญ่ของเศรษฐีผู้หนึ่ง มีสระน้ำขนาดใหญ่ล้อมรอบด้วยสวนดอกไม้งดงาม ที่นั่นมีห่านและหงส์ อาศัยอยู่ร่วมกัน แม้จะเป็นสัตว์ปีกเหมือนกัน แต่ทั้งสองกลับได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

หงส์ขาวเป็นนกที่สง่างาม มีขนสีขาวบริสุทธิ์เป็นเงางาม แหวกว่ายไปในสระน้ำด้วยท่วงท่าที่อ่อนช้อย เศรษฐีเลี้ยงมันไว้เพียงเพราะหลงใหลในความงามของมัน และชื่นชอบเสียงขับขานอันไพเราะที่ดังก้องในยามค่ำคืน

ส่วนห่านสีเทาแม้จะไม่มีความงามเช่นหงส์ แต่ก็มีประโยชน์ในด้านอื่น มันช่วยส่งเสียงดังเตือนภัยเมื่อมีคนแปลกหน้าเข้ามาในบริเวณคฤหาสน์ เป็นเหมือนยามที่คอยดูแลความปลอดภัยให้แก่เศรษฐีและครอบครัวของเขา อย่างไรก็ตาม มันรู้ดีว่าวันหนึ่งมันจะต้องถูกนำไปทำอาหาร เพราะเศรษฐีเลี้ยงมันไว้เพื่อจุดประสงค์นี้

วันเวลาผ่านไป ห่านและหงส์เติบโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมเดียวกัน แต่มีชะตากรรมที่ต่างกัน ห่านมักจะอวดอ้างว่าตนเองมีประโยชน์ต่อเศรษฐีมากกว่าหงส์ เพราะมันช่วยปกป้องคฤหาสน์ ในขณะที่หงส์เป็นเพียงนกที่ถูกเลี้ยงไว้เพื่อความสวยงามเท่านั้น

“ข้าเป็นสัตว์ที่แท้จริงมีคุณค่า!” ห่านมักพูดอย่างภาคภูมิใจ “ข้าทำหน้าที่เฝ้าระวังภัย เสียงร้องของข้าทำให้ขโมยหนีไปได้หลายครั้ง แต่เจ้าเล่า? เจ้าไม่ได้ทำสิ่งใดเลยนอกจากว่ายน้ำไปมาแล้วร้องเพลงให้เศรษฐีฟัง!”

หงส์ไม่ได้โต้แย้ง มันเพียงแต่ขับขานเสียงเพลงของมันในยามค่ำคืน เสียงนั้นไพเราะและสงบนิ่ง ดังก้องสะท้อนไปทั่วสระน้ำ ราวกับกำลังเล่าเรื่องราวที่มันไม่อาจพูดออกมาเป็นคำ

แต่แล้ววันหนึ่ง โชคชะตาก็มาถึง

ในค่ำคืนที่เงียบสงบ ขณะที่หมู่ดาวส่องประกายอยู่บนท้องฟ้า เศรษฐีได้ออกคำสั่งให้คนรับใช้จับห่านไปเชือดเพื่อเตรียมอาหารมื้อค่ำของเขา

คนรับใช้หยิบตะเกียงและเดินตรงไปยังสระน้ำ แต่เพราะเป็นเวลากลางคืน แสงจากตะเกียงเพียงเล็กน้อยไม่อาจทำให้เขามองเห็นได้ชัดนัก และในความสับสน เขาคว้าตัวหงส์แทนที่จะเป็นห่าน

หงส์รู้ชะตากรรมของตนเองทันที มันรับรู้ถึงเคราะห์กรรมที่กำลังจะเกิดขึ้น และรู้ว่าไม่มีทางต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดได้ มันจึงเลือกทำสิ่งเดียวที่สามารถทำได้ นั่นคือเปล่งเสียงร้องสุดท้ายของมัน

เสียงขับขานของหงส์ดังก้องไปทั่วคฤหาสน์ ท่วงทำนองอันเศร้าสร้อยแต่ไพเราะจับใจ เป็นเสียงที่เต็มไปด้วยความอาลัยและความหวัง มันเป็นเสียงที่ไม่เคยมีใครได้ยินมาก่อน ราวกับว่าเป็น “เพลงหงส์สุดท้าย”

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องหงส์กับห่าน 2

เสียงนั้นดังไปถึงหูของเศรษฐีที่กำลังนั่งรออาหารมื้อค่ำของเขา เขาสะดุ้งและรู้สึกประหลาดใจ เพราะเขารู้ดีว่าเสียงนั้นไม่ใช่เสียงของห่าน

“เดี๋ยว!” เศรษฐีตะโกน “นั่นเสียงหงส์ของข้าไม่ใช่หรือ?”

คนรับใช้ชะงัก และเมื่อนำตะเกียงเข้ามาใกล้เพื่อส่องดู เขาก็ตระหนักได้ว่าตัวเองจับผิดตัว

“ขอรับนายท่าน!” คนรับใช้รีบตอบ “ข้าไม่ได้ตั้งใจ! ความมืดทำให้ข้าแยกไม่ออก!”

เศรษฐีถอนหายใจแล้วส่ายหน้า “เจ้าโง่เขลา! หงส์ตัวนี้มีค่ามากกว่าห่านหลายเท่านัก เจ้ากำลังจะพรากเสียงเพลงอันไพเราะไปจากข้า!”

เขาสั่งให้ปล่อยหงส์กลับไปที่สระน้ำ หงส์จึงรอดพ้นจากความตายอย่างหวุดหวิด

ขณะที่หงส์กลับไปสู่ที่อยู่ของมัน ห่านได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด มันทั้งตกใจและสับสน เพราะแม้ว่าตัวมันเองจะเป็นผู้ทำงานหนักเพื่อปกป้องคฤหาสน์ แต่กลับไม่ได้รับการไว้ชีวิตเช่นเดียวกับหงส์

มันเริ่มเข้าใจว่าความสามารถและคุณค่าไม่ได้วัดจากหน้าที่เพียงอย่างเดียว แต่บางครั้ง สิ่งที่ทำให้เรามีค่าก็อาจเป็นสิ่งที่เรามองข้ามไป

รุ่งเช้าวันถัดมา เศรษฐีออกคำสั่งให้คนรับใช้จับห่านแทน

“เจ้าควรทำงานของเจ้าให้ดี เพราะนี่เป็นมื้อสุดท้ายที่เจ้าจะเฝ้าคฤหาสน์ของข้า” เศรษฐีกล่าวก่อนเดินจากไป

ห่านได้แต่นิ่งอึ้ง มันไม่อาจเปล่งเสียงใดๆ ได้เหมือนหงส์ และไม่อาจขับขานบทเพลงใดๆ เพื่อช่วยชีวิตตัวเอง

และในที่สุด ห่านก็ต้องเผชิญชะตากรรมของมันเอง

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องหงส์กับห่าน 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความสามารถและคุณค่าที่แท้จริงสามารถช่วยให้เรารอดพ้นจากอันตราย หงส์รอดชีวิตเพราะเสียงร้องของมัน ขณะที่ห่าน แม้จะทำหน้าที่เฝ้าฟาร์มมาตลอด แต่เมื่อถึงเวลาคับขัน กลับไม่มีสิ่งใดช่วยให้มันรอด

เรื่องราวนี้สะท้อนว่า ความแตกต่างและความสามารถพิเศษคือสิ่งที่ทำให้เราอยู่รอด ไม่ใช่เพียงแค่ทำงานหนัก แต่ต้องรู้จักใช้จุดแข็งของตัวเองให้เกิดประโยชน์ นอกจากนี้ ยังเตือนว่า คนเรามักมองข้ามคุณค่าของสิ่งรอบตัว จนกระทั่งเกือบสูญเสียมันไป เศรษฐีเกือบเสียหงส์ไปเพราะไม่ทันได้คิด เช่นเดียวกับในชีวิตจริงที่เรามักไม่เห็นค่าของบางสิ่ง จนกว่าจะสายเกินไป

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องหงส์กับห่าน (อังกฤษ: The Swan and the Goose) ตำนานคลาสสิกเกี่ยวกับหงส์ที่ร้องเพลงก่อนตายถูกนำมารวมไว้ในนิทานอีสป นิทานเรื่องนี้ได้รับการจัดอยู่ในลำดับที่ 399 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) นิทานเรื่องนี้ยังแสดงถึงความตรงกันข้ามระหว่างหงส์กับห่าน ซึ่งเป็นที่มาของสุภาษิตอย่าง “ทุกคนมองว่าห่านของตนเป็นหงส์” ที่สะท้อนถึงความลำเอียง และ “หงส์ของเขากลายเป็นห่านไปหมด” ซึ่งหมายถึงโชคชะตาที่พลิกผันจากดีเป็นร้าย

นิทานที่บันทึกโดย Aphthonius of Antioch กล่าวถึงหงส์ตัวหนึ่งที่เจ้าของเข้าใจผิดว่าเป็นห่านในความมืด และเกือบจะฆ่ามัน จนกระทั่งเสียงร้องของหงส์ทำให้เขาตระหนักถึงความผิดพลาด ตอนต้นของเรื่องมีการกล่าวอ้างว่านิทานนี้จะช่วยส่งเสริมให้เยาวชนใฝ่เรียนรู้ และจบลงด้วยข้อความที่น่าสงสัยว่า “ดนตรีทรงพลังถึงขนาดช่วยให้พ้นจากความตายได้” สามารถตีความได้ว่า “ความรู้และความสามารถเป็นสิ่งล้ำค่า ที่อาจช่วยชีวิตและสร้างโอกาสให้เราได้” จึงเป็นเครื่องเตือนใจให้เยาวชนตั้งใจศึกษาเล่าเรียน เพราะในยามคับขันปัญญาและความสามารถจะเป็นเกราะป้องกันที่ช่วยให้รอดพ้นจากอันตราย นิทานเรื่องนี้เตือนใจให้เยาวชนศึกษาเล่าเรียน

ดนตรีทรงพลังถึงขนาดช่วยให้พ้นจากความตายได้ ความรู้และความสามารถเป็นสิ่งล้ำค่า ที่อาจช่วยชีวิตและสร้างโอกาสให้เราได้

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องรูปปั้นเทพเฮอร์มีสที่ถูกนำมาขาย

ในโลกแห่งการค้าและโชคลาภ ผู้คนมักแสวงหาสิ่งที่ช่วยนำพาความมั่งคั่งมาสู่ชีวิต บางคนพึ่งพาความขยันและสติปัญญา บางคนเชื่อในโชคชะตาและอำนาจของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ในขณะที่บางคนเฝ้ารอคอยพรจากเทพเจ้า คนอีกกลุ่มหนึ่งกลับมองหาทางลัด หวังจะได้มาซึ่งความร่ำรวยอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องใช้ความพยายาม

เรื่องราวของช่างแกะสลักและรูปปั้นเทพเฮอร์มีสในตลาดแห่งนี้ จะพาเราไปสำรวจความเชื่อ ศรัทธา และความจริงเกี่ยวกับโชคลาภ ว่ามันเป็นสิ่งที่สามารถซื้อขายได้ หรือแท้จริงแล้วมันคือสิ่งที่ต้องสร้างขึ้นมาด้วยตัวเอง กับนิทานอีสปเรื่องรูปปั้นเทพเฮอร์มีสที่ถูกนำมาขาย

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องรูปปั้นเทพเฮอร์มีสที่ถูกนำมาขาย

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องรูปปั้นเทพเฮอร์มีสที่ถูกนำมาขาย

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว กลางตลาดที่คึกคักไปด้วยเสียงพ่อค้าแม่ค้าตะโกนเรียกลูกค้าและเสียงผู้คนเจรจาต่อรองราคา มีแผงขายเล็กๆ แห่งหนึ่งตั้งอยู่ริมถนน ท่ามกลางสินค้าอื่นๆ รูปปั้นหินของเทพเฮอร์มีสถูกวางไว้เด่นเป็นสง่า เป็นผลงานที่ช่างแกะสลักทุ่มเทเวลาหลายวันหลายคืนในการสร้างสรรค์

รูปปั้นนั้นถูกแกะอย่างประณีต ใบหน้าของเฮอร์มีสดูสง่างาม แฝงด้วยรอยยิ้มจางๆ เหมือนเทพเจ้ากำลังเฝ้ามองมนุษย์ด้วยความเมตตา ปีกเล็กที่ติดอยู่กับรองเท้าและหมวกของเขาถูกขัดให้เรียบลื่นสะท้อนแสงอาทิตย์ ดูราวกับเทพเจ้ายังมีชีวิตอยู่

ช่างแกะสลักมองมันด้วยความภาคภูมิใจ และมั่นใจว่ารูปปั้นชิ้นนี้จะขายได้ราคาดี เขาตั้งมันไว้ตรงจุดที่เห็นได้ชัดที่สุดบนแผงค้า หวังว่าผู้คนจะหยุดมองและสนใจซื้อ

แต่เวลาผ่านไปนานเท่าใด ผู้คนก็เพียงเดินผ่านไปโดยไม่แม้แต่จะเหลียวมอง ไม่มีใครสนใจซักถาม ไม่มีใครหยุดพินิจพิจารณาผลงานของเขา ขณะที่แผงข้างๆ มีลูกค้าต่อแถวซื้อสินค้ากันแน่น รูปปั้นเฮอร์มีสของเขากลับตั้งอยู่อย่างเดียวดาย

ช่างแกะสลักเริ่มกระวนกระวาย เขาไม่เข้าใจว่าทำไมรูปปั้นที่งดงามถึงไม่มีใครต้องการ หรือบางทีผู้คนอาจไม่รู้ว่ามันมีค่าเพียงใด

เพื่อดึงดูดลูกค้า เขาตัดสินใจใช้วิธีใหม่ เขายืนขึ้น ยกมือขึ้นข้างหนึ่งแล้วตะโกนเสียงดัง

“ท่านทั้งหลาย มาดูกันเถิด! นี่คือรูปปั้นของ เทพเฮอร์มีส เทพแห่งโชคลาภ การค้า และความมั่งคั่ง! ใครได้ครอบครอง จะได้รับพรแห่งความรุ่งเรือง เงินทองจะไหลมาเทมา ค้าขายก็จะได้กำไรไม่ขาดมือ!”

เสียงตะโกนของเขาดังพอที่จะทำให้คนรอบข้างหยุดและหันมามอง บางคนเดินเข้ามาใกล้ ยืนมองรูปปั้นด้วยความสนใจ แต่ก็เพียงชั่วครู่ก่อนจะเดินจากไป ไม่มีใครซักถามราคา ไม่มีใครแสดงความต้องการที่จะซื้อ

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องรูปปั้นเทพเฮอร์มีสที่ถูกนำมาขาย 2

ช่างแกะสลักเริ่มรู้สึกหงุดหงิด ทว่าเขายังพยายามรักษาท่าที เขาสูดหายใจลึกแล้วตะโกนอีกครั้ง

“เทพเจ้าผู้ทรงพลัง! เทพแห่งโชคลาภ! ท่านที่ครอบครองรูปปั้นนี้จะพบแต่ความมั่งคั่งแน่นอน!”

ในขณะที่เขายังคงโฆษณาสินค้าของตนอยู่ ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาหยุดตรงหน้าแผงขายของ ดวงตาของเขาฉายแววสนใจ แต่ไม่ใช่สนใจรูปปั้นเท่ากับสนใจคำพูดของพ่อค้า

เขาเอียงคอมองรูปปั้นเฮอร์มีส ก่อนจะเลื่อนสายตามองช่างแกะสลักด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน แล้วเอ่ยขึ้นด้วยเสียงดังพอให้ผู้คนรอบข้างได้ยิน

“เฮ้ เจ้าคนขาย หากเทพองค์นี้สามารถบันดาลโชคลาภได้จริง แล้วทำไมเจ้าไม่เก็บไว้ใช้เองล่ะ?”

คำถามนั้นทำให้เกิดเสียงหัวเราะเบาๆ จากผู้ที่ยืนฟังอยู่ใกล้ๆ ช่างแกะสลักชะงักไปครู่หนึ่ง แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่ถูกทำให้เสียหน้าหรือยอมแพ้ได้ง่ายๆ

เขาแสร้งหัวเราะเบาๆ ก่อนจะตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว

“ข้าน่ะต้องการโชคดีเดี๋ยวนี้! แต่เทพองค์นี้มักใช้เวลานานเกินไปกว่าจะมอบพรให้!”

ผู้คนรอบข้างหัวเราะอีกครั้ง แต่คราวนี้เสียงหัวเราะนั้นดูเหมือนจะไม่ได้มาจากความขบขันเสียทีเดียว หากแต่เป็นความเข้าใจเจือความเสียดสี

ชายที่ตั้งคำถามพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะหัวเราะและเดินจากไป ปล่อยให้ช่างแกะสลักยังคงยืนอยู่กับรูปปั้นของเขาเอง ผู้คนที่มุงดูเริ่มสลายตัวไป แผงขายของรอบข้างกลับมาคึกคักอีกครั้ง เสียงตะโกนเรียกลูกค้าจากพ่อค้าแม่ค้าคนอื่นกลบเสียงของเขา

แสงแดดยามบ่ายส่องกระทบลงบนรูปปั้นเฮอร์มีส เผยให้เห็นใบหน้าของเทพเจ้าที่ดูเหมือนกำลังแย้มยิ้ม แต่คราวนี้รอยยิ้มนั้นคล้ายกับแฝงนัยบางอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้

และในท้ายที่สุด เทพแห่งโชคลาภก็ยังคงถูกตั้งอยู่อย่างเดียวดาย เหมือนเช่นตอนต้นของวัน

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องรูปปั้นเทพเฮอร์มีสที่ถูกนำมาขาย 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความโลภและความเร่งร้อนมักบดบังวิจารณญาณของคนเรา ช่างแกะสลักหวังขายรูปปั้นของเทพเฮอร์มีสด้วยการโฆษณาว่ามันสามารถนำโชคลาภมาให้ แต่ในขณะเดียวกัน เขาเองกลับไม่เชื่อในพลังของมันพอที่จะเก็บไว้ใช้เอง

มันสะท้อนให้เห็นว่าคนบางคนต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็วโดยไม่สนใจวิถีแห่งความอดทนหรือศรัทธาที่แท้จริง พวกเขาไม่สนว่าบางสิ่งต้องใช้เวลาและความพยายาม แต่กลับเลือกเส้นทางลัด หวังจะได้ทุกอย่างในทันที

อีกทั้งยังเป็นการเสียดสีแนวคิดที่ว่า หากบางสิ่งสามารถบันดาลโชคลาภได้จริง เจ้าของมันก็คงไม่ต้องนำมันมาขาย คล้ายกับที่บางคนพยายามขายวิธีรวยทางลัด แต่หากมันใช้ได้ผลจริง พวกเขาก็คงไม่จำเป็นต้องขายมันให้ใคร

สุดท้ายแล้ว โชคลาภที่แท้จริงไม่ได้มาจากรูปปั้นหรือเทพเจ้า แต่มาจากความขยันและความอดทนของตนเอง

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องรูปปั้นเทพเฮอร์มีสที่ถูกนำมาขาย (อังกฤษ: The Statue of Hermes on Sale) หรือรู้จักอีกชื่อคือเรื่องรูปปั้นบันดาลพร (The wish-fulfilling image) นิทานเรื่องนี้ได้รับการจัดอยู่ในลำดับที่ 99 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) และไม่ได้ถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษจนกระทั่งปรากฏใน An image expos’d to sale ซึ่งเป็นคอลเลกชันนิทานฉบับสมบูรณ์ของ Roger L’Estrange

เรื่องราวกล่าวถึงช่างแกะสลัก ที่นำรูปปั้นเทพเฮอร์มีสไปขายในตลาด พร้อมประกาศว่า “นี่คือเทพเจ้าผู้สามารถบันดาลโชคลาภและนำผลกำไรมาให้เจ้าของ!” เมื่อมีคนถามว่า “หากรูปปั้นนี้สามารถนำโชคมาได้จริง แล้วเหตุใดเจ้าถึงขายมันแทนที่จะเก็บไว้ใช้เอง?” ช่างแกะสลักตอบว่า “ข้าต้องการเงินเดี๋ยวนี้ แต่เทพองค์นี้มักใช้เวลานานเกินไปกว่าจะมอบพรให้!”

นิทานนี้สะท้อนให้เห็นถึงความละโมบและความใจร้อน ของมนุษย์ ที่ต้องการผลลัพธ์ในทันทีโดยไม่รอให้โชคชะตาหรือกระบวนการเป็นไปตามเวลานอกจากนี้ยังเสียดสีความศรัทธาแบบฉาบฉวย ของผู้คน ที่บูชาเทพเจ้าก็ต่อเมื่อหวังผลประโยชน์ แต่กลับไม่ยึดมั่นในความเชื่อเมื่อต้องเผชิญกับความล่าช้า

บุคคลที่ละโมบโลภมากจนไม่แม้แต่จะให้ความเคารพต่อเทพเจ้า พวกเขาต้องการผลกำไรอย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจวิถีแห่งความอดทนหรือศรัทธา

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com

นิทานอีสปเรื่องรูปปั้นเทพเฮอร์มีสกับสมบัติ

ในโลกที่เต็มไปด้วยความเชื่อและศรัทธา ผู้คนมักแสวงหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อขอพร หวังให้ชีวิตของตนดีขึ้น บางคนถวายของบูชาเพื่อแสดงความเคารพ บางคนอธิษฐานขอความมั่งคั่งและโชคลาภ แต่ในขณะที่บางคนได้รับพรตามที่หวัง อีกหลายคนกลับพบว่าคำอ้อนวอนของพวกเขาถูกปล่อยให้ล่องลอยไปในสายลม

แล้วศรัทธานั้นควรตั้งอยู่บนความเคารพอันแท้จริง หรือเป็นเพียงเครื่องมือแลกเปลี่ยนเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน? และเทพเจ้าทั้งหลายจะตอบแทนความจงรักภักดี หรือเพิกเฉยจนกว่าจะถูกบีบบังคับให้มอบสิ่งที่ผู้ศรัทธาต้องการ? เรื่องราวจะพาเราไปค้นหาคำตอบของคำถามเหล่านี้ ผ่านบททดสอบแห่งศรัทธาและความจริงที่อาจไม่เป็นดั่งที่คาดคิด… กับนิทานอีสปเรื่องรูปปั้นเทพเฮอร์มีสกับสมบัติ

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องรูปปั้นเทพเฮอร์มีสกับสมบัติ

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องรูปปั้นเทพเฮอร์มีสกับสมบัติ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง มีประติมากรผู้มีฝีมือผู้หนึ่งที่ใช้ชีวิตเรียบง่ายหาเลี้ยงชีพด้วยการแกะสลัก งานของเขาประณีตและละเอียดอ่อน เขาสร้างรูปปั้นเทพเจ้าต่าง ๆ เพื่อขายให้กับชาวบ้านที่ต้องการสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาตั้งไว้ในบ้านหรือวิหาร แต่แม้จะมีฝีมือดีเพียงใด กิจการของเขากลับไม่เคยรุ่งเรือง เขายังต้องดิ้นรนหาเลี้ยงชีพอยู่ทุกวัน

ในบ้านเล็ก ๆ ของเขา มีรูปปั้นหินของเทพเฮอร์มีสตั้งอยู่ตรงมุมห้อง รูปปั้นนี้เป็นหนึ่งในผลงานที่เขาภูมิใจที่สุด และแทนที่จะขาย เขากลับเก็บมันไว้เป็นของตัวเอง เขาบูชารูปปั้นนั้นด้วยความศรัทธา เพราะเชื่อว่าเฮอร์มีสคือเทพแห่งการค้าและโชคลาภ ทุกวันเขาจะถวายเครื่องบูชา จุดธูป และกล่าวคำอธิษฐาน ขอให้เฮอร์มีสช่วยให้เขามีรายได้ที่ดีขึ้น ให้กิจการของเขารุ่งเรืองและให้เขามีชีวิตที่สุขสบาย

แต่ไม่ว่าเขาจะอธิษฐานมากเพียงใด ความเป็นอยู่ของเขากลับแย่ลงทุกวัน ลูกค้าหายไปทีละคนสองคน รายได้ลดลง งานแกะสลักที่เคยขายได้อย่างง่ายดายกลับไม่มีใครสนใจ เขาพยายามอดทน แต่ยิ่งเวลาผ่านไป ความศรัทธาของเขาก็เริ่มสั่นคลอน

คืนหนึ่ง หลังจากวันอันแสนเหนื่อยล้า เขากลับมาถึงบ้านโดยไม่มีเงินติดตัวแม้แต่จะซื้ออาหาร เขามองไปที่รูปปั้นเทพเฮอร์มีสที่ตั้งอยู่อย่างสง่างาม แสงเทียนสะท้อนให้เห็นใบหน้าของเทพเจ้าอย่างชัดเจน เขานั่งลงตรงหน้ารูปปั้น มองมันนิ่งอยู่นานก่อนจะพูดขึ้น

“ข้าบูชาเจ้าทุกวัน ถวายของเซ่นไหว้ให้เจ้าด้วยความเคารพ แต่ทำไมชีวิตข้ากลับตกต่ำลงเรื่อย ๆ นี่หรือคือวิธีที่เจ้าตอบแทนข้า?”

เขายังจำได้ดีว่าในวันแรกที่เขาแกะสลักรูปปั้นนี้ เขารู้สึกภาคภูมิใจเพียงใด เฮอร์มีสคือเทพเจ้าแห่งการค้า ข่าวสาร และโชคลาภ เขาเคยเชื่อมั่นว่าตราบใดที่เขามีรูปปั้นนี้อยู่กับตัว ความโชคดีจะต้องมาถึงเขาสักวันหนึ่ง แต่บัดนี้ ความอดอยากและความลำบากทำให้เขาสูญสิ้นความเชื่อนั้นไปโดยสิ้นเชิง

“เจ้าเป็นเทพแห่งโชคลาภมิใช่หรือ? แล้วโชคของข้าอยู่ที่ไหน? หรือเจ้าเป็นเพียงรูปปั้นไร้ชีวิตที่ไม่มีพลังอะไรเลย”

เขากำมือแน่น ขบกรามจนเสียงดังกรอด ความโกรธเริ่มก่อตัวขึ้นในใจ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง

“ถ้าเจ้าช่วยข้าไม่ได้ อย่างน้อยก็บอกข้าสักคำว่าเจ้าทำอะไรได้บ้าง! หรือว่าเจ้าก็เป็นเพียงก้อนหินอีกชิ้นที่ข้าสร้างขึ้นมาเอง ไม่มีพลังใด ๆ เลย!”

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องรูปปั้นเทพเฮอร์มีสกับสมบัติ 2

เขาลุกขึ้นอย่างหุนหันคว้ารูปปั้นขึ้นมาด้วยมือที่สั่นเทา ก่อนจะเหวี่ยงมันลงกับพื้นอย่างแรง

เสียงแตกของเศษหินดังก้องไปทั่วห้อง ศีรษะของรูปปั้นแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ และในขณะนั้นเอง สิ่งที่เขาไม่เคยคาดคิดก็เกิดขึ้น เหรียญทองจำนวนมากไหลออกมาจากภายในรูปปั้น กองซ้อนกันเป็นประกายแวววาวภายใต้แสงเทียนที่ริบหรี่

เขานิ่งงันไปชั่วขณะ ก่อนที่ดวงตาจะเบิกโพลงด้วยความตกตะลึง หัวใจเต้นระรัวด้วยความตื่นเต้น มือของเขาสั่นขณะที่เอื้อมไปหยิบเหรียญทองขึ้นมาดู มันเป็นทองแท้ ทุกเหรียญล้วนหนักและมีมูลค่ามหาศาล

“นี่มัน… เป็นไปได้อย่างไร?”

เขารีบคุกเข่าลงกับพื้น มือทั้งสองกอบโกยเหรียญทองขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง ความอดอยากและความทุกข์ที่เขาแบกรับมานานแปรเปลี่ยนเป็นความตื่นเต้น เขาหัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนจะดังขึ้นเรื่อย ๆ

เขาหยุดชั่วครู่ หันไปมองเศษหินที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น แล้วกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความฉงน

“เฮอร์มีสเอ๋ย… เจ้าเป็นเทพเจ้าผู้โชคร้ายจริง ๆ! ข้าบูชาเจ้าด้วยศรัทธา เซ่นไหว้เจ้าทุกวัน ขอพรจากเจ้าเสมอ แต่เจ้ากลับไม่ให้ข้าแม้แต่นิดเดียว”

เขาหัวเราะอีกครั้ง ขณะเดียวกันก็กอบโกยเหรียญทองต่อไปไม่หยุด

“แต่พอข้าทำลายเจ้า เจ้ากลับให้ข้าสมบัติมหาศาล! นี่มันลัทธิอะไรกัน? หรือว่าเทพเจ้าทั้งหมดก็คือเช่นนี้? หากข้ารู้มาก่อน ข้าคงทำลายเจ้าตั้งแต่แรกแล้ว!”

เขายังคงหัวเราะต่อไป มือก็ยังไม่หยุดโกยเหรียญทอง ความโลภและความปีติหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว เขาไม่สนใจอีกต่อไปว่าเขาเคยศรัทธาในสิ่งใด สิ่งเดียวที่เขาสนใจในตอนนี้คือสมบัติที่อยู่ตรงหน้า

แสงเทียนริบหรี่ลง ในห้องเล็ก ๆ นั้นมีเพียงเสียงเหรียญกระทบกันและเสียงหัวเราะของชายผู้ซึ่งเพิ่งค้นพบว่าทรัพย์สมบัติซ่อนอยู่ภายในสิ่งที่เขาบูชามาตลอดชีวิต

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องรูปปั้นเทพเฮอร์มีสกับสมบัติ 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

ศรัทธาที่หวังเพียงผลตอบแทน ไม่ใช่ศรัทธาที่แท้จริง หลายคนบูชาเทพเจ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือแม้แต่คนรอบตัว ด้วยความหวังว่าความดีที่ตนทำจะได้รับการตอบแทนกลับมา แต่เมื่อเวลาผ่านไป หากไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นตามที่คาดหวัง ความศรัทธานั้นก็อาจแปรเปลี่ยนเป็นความผิดหวัง และในที่สุด อาจนำไปสู่ความโกรธเคืองและการกระทำที่รุนแรง

นิทานเรื่องนี้ยังสะท้อนความจริงที่ว่าบางครั้ง คนบางคน (หรือแม้แต่เทพเจ้าในเชิงเสียดสี) อาจไม่ตอบแทนความดีด้วยความดี แต่กลับมอบรางวัลหรือผลตอบแทนก็ต่อเมื่อถูกบีบบังคับหรือถูกกระทำอย่างรุนแรง คล้ายกับรูปปั้นเฮอร์มีสที่ไม่ได้มอบโชคลาภให้ผู้บูชาในขณะที่เขายังศรัทธาและเซ่นไหว้ทุกวัน แต่กลับเผยสมบัติที่ซ่อนอยู่ก็ต่อเมื่อถูกทุบทำลาย

แนวคิดนี้สะท้อนถึงพฤติกรรมของบางคนที่ ไม่เห็นคุณค่าของความดีงาม ไม่ให้รางวัลแก่ความซื่อสัตย์หรือความจงรักภักดี แต่กลับยอมทำตามเมื่อเผชิญกับแรงกดดันหรือถูกบังคับให้ยอมรับความจริง ตัวอย่างเช่น บางคนอาจไม่ให้ค่ากับคนที่ภักดีและซื่อสัตย์ต่อเขา แต่กลับยอมโอนอ่อนหรือตอบแทนความต้องการของผู้อื่นก็ต่อเมื่อถูกข่มขู่หรือเผชิญหน้ากับผลกระทบที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

ในสังคมก็มีตัวอย่างของผู้มีอำนาจที่เพิกเฉยต่อความทุกข์ของผู้คน ไม่ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่ร้องขอด้วยเหตุผลอันสมควร แต่เมื่อประชาชนรวมตัวกันกดดัน หรือเมื่อภาพลักษณ์ของตนกำลังตกอยู่ในอันตราย พวกเขากลับรีบให้ความช่วยเหลือโดยเร็ว คล้ายกับเทพเจ้าในเรื่องนี้ที่ไม่ตอบสนองต่อคำอ้อนวอนของผู้บูชา แต่กลับ “ให้รางวัล” อย่างเต็มที่เมื่อตนเองถูกทำลาย

สุดท้าย นิทานเรื่องนี้จึงเป็นคำเตือนว่า เราไม่ควรฝากความหวังทั้งหมดไว้กับผู้ที่เพิกเฉยต่อความดีของเรา เพราะหากต้องใช้ความรุนแรงหรือการบีบบังคับเพื่อให้ได้สิ่งที่พึงได้แต่แรก นั่นอาจแปลว่าเราให้ความศรัทธาไปผิดที่ และบางครั้ง ทรัพย์สมบัติหรือสิ่งที่เราต้องการ อาจอยู่ตรงหน้ามาตลอด เพียงแต่เรามองไม่เห็นคุณค่าของมัน จนกว่ามันจะถูกทำลายลงไป

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องรูปปั้นเทพเฮอร์มีสกับสมบัติ (อังกฤษ: The statue of Hermes and the Treasure) นิทานเรื่องนี้ได้รับการจัดอยู่ในลำดับที่ 285 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ)

ได้รับการแต่งเป็นบทกวีภาษากรีกโดย Babrius ซึ่งสอนคติว่า “คนชั่วมักยอมทำตามก็ต่อเมื่อถูกดูหมิ่น” ในเรื่องนี้ เทพเฮอร์มีส ผู้เป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่งคั่ง ไม่ได้มอบพรตามที่ผู้บูชาคาดหวัง ทำให้ชายผู้ศรัทธาเกิดความคับข้องใจจนทุบรูปปั้นลงกับพื้น ทันทีที่รูปปั้นแตกออก ทองคำจำนวนมากก็ไหลออกจากศีรษะของมัน ชายคนนั้นจึงตำหนิสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นนิสัยของเทพเจ้าที่ไม่ตอบแทนความดีด้วยความดี แต่กลับมอบโชคลาภเมื่อถูกกระทำอย่างรุนแรง

คนบางคน (หรือแม้แต่เทพในเชิงเสียดสี) อาจไม่ตอบแทนความดีด้วยความดี แต่กลับให้รางวัลก็ต่อเมื่อถูกบีบบังคับหรือถูกกระทำอย่างรุนแรง แนวคิดนี้สะท้อนถึงพฤติกรรมของคนที่ไม่เห็นคุณค่าของความดีงาม แต่กลับยอมทำตามเมื่อเผชิญกับแรงกดดันหรือความอับอาย

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com