ในสงคราม ไม่ใช่เพียงนักรบที่ถือดาบเท่านั้นที่มีบทบาทสำคัญ บางคนอาจไม่เคยจับอาวุธ แต่กลับเป็นผู้ชี้นำให้เกิดการต่อสู้และความสูญเสีย แม้จะไม่ได้ลงมือฆ่าเอง แต่หากเป็นผู้ส่งเสริมสงคราม พวกเขาย่อมต้องรับผลแห่งการกระทำเช่นเดียวกับนักรบ
ท่ามกลางเสียงกลองศึกและควันไฟแห่งสมรภูมิ ชายผู้หนึ่งยืนอยู่โดยปราศจากอาวุธ มีเพียงแตรที่เขาใช้เป่าสัญญาณให้กองทัพเคลื่อนพล เขาไม่ใช่นักรบ แต่เป็นผู้ปลุกเร้าความกล้าหาญและนำพาความตาย และเมื่อโชคชะตาพลิกผัน เขาก็ต้องเผชิญกับผลลัพธ์ของบทบาทที่เขาเลือกเดิน กับนิทานอีสปเรื่องมือเป่าแตรศึกถูกจับ
เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องมือเป่าแตรศึก
กาลครั้งนานมาแล้ว ณ ทุ่งกว้างมีเสียงกลองศึกดังก้องไปทั่วสมรภูมิ กองทัพทั้งสองฝ่ายกำลังเผชิญหน้ากัน ทหารถือดาบและโล่พร้อมรบ สายลมพัดพากลิ่นเหล็กและฝุ่นดินไปทั่วบริเวณ ท่ามกลางนักรบผู้กล้าหาญ มีชายคนหนึ่งที่ไม่ได้ถืออาวุธใด ๆ เขาคือมือแตรของกองทัพ
หน้าที่ของเขาไม่ใช่การต่อสู้ แต่เป็นการเป่าสัญญาณแตรเพื่อควบคุมและปลุกขวัญนักรบทุกนาย เมื่อเขาเป่าแตรเสียงกึกก้อง มันจะเป็นสัญญาณให้ทหารพุ่งเข้าหาศัตรู และเมื่อเขาเป่าทำนองอื่น มันจะเป็นคำสั่งให้ถอยทัพหรือรวมกำลัง
มือแตรยืนอยู่บนจุดสูงสุดของค่าย หัวใจของเขาเต้นแรง เมื่อแม่ทัพหันมาพยักหน้าให้เขาส่งสัญญาณ เขายกแตรขึ้นแนบปาก และเสียงแตรศึกก็ดังก้องไปทั่ว
“ตู๊ดดดดดดดด!”
กองทัพของเขาตะโกนก้อง เสียงโล่กระทบดาบ เสียงฝีเท้าม้าวิ่งแผ่นดินสะเทือน พวกเขากำลังกรูกันเข้าสู่สนามรบด้วยความฮึกเหิม
ศัตรูเองก็ตอบโต้กลับอย่างดุเดือด ดาบปะทะกัน โล่แตกกระจาย หอกปักลงกลางสนาม เสียงร้องของนักรบที่ได้รับบาดเจ็บดังขึ้นระงม มือแตรยังคงเป่าแตรไม่หยุด เสียงของเขาไม่ใช่อาวุธ แต่เป็นคำสั่งที่ทำให้ทุกอย่างเคลื่อนไหว
“ต่อไป! ผลักพวกมันออกไป!”
เขาเป่าสัญญาณให้กองทัพรุกคืบ นักรบของเขายกดาบขึ้นฟาดฟันศัตรู ไม่มีใครในสนามรบที่ไม่ได้ยินเสียงแตรของเขา
แต่แล้ว สถานการณ์กลับพลิกผัน ศัตรูได้รับกำลังเสริม กองทัพของเขาเริ่มถอยร่น นักรบของเขาล้มลงทีละคน ศัตรูตีโอบล้อมเข้ามา ทุกอย่างเริ่มโกลาหล
“ตู๊ดดดดดดด!”
มือแตรเป่าเสียงสั่งให้ถอยทัพ ทหารของเขาพยายามล่าถอย แต่สายเกินไป ศัตรูบุกทะลวงแนวป้องกันของพวกเขา และในที่สุด มือแตรก็ถูกจับตัว
มือแตรถูกจับกุมโดยทหารของฝ่ายศัตรู แขนของเขาถูกมัดแน่น และเขาถูกผลักลงไปคุกเข่าต่อหน้าหัวหน้าทัพของศัตรู
ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยฝุ่นและเหงื่อ หัวใจของเขาเต้นแรงด้วยความหวาดกลัว เขามองเห็นนักรบของตนที่ถูกจับเป็นเชลยเช่นกัน บางคนได้รับบาดเจ็บ บางคนสิ้นชีพอยู่บนผืนดิน
หัวหน้าทัพของศัตรูก้าวเข้ามาใกล้ มองเขาด้วยสายตาเย็นชา “เจ้าคือมือแตรของกองทัพศัตรูใช่หรือไม่?”
มือแตรรีบพยักหน้า พลางพูดเสียงสั่น “ใช่ แต่ข้าไม่ได้เป็นนักรบ! ข้าไม่มีอาวุธ! ข้าเพียงเป่าแตรเท่านั้น!”
ทหารศัตรูหัวเราะเสียงเย็น “เจ้าไม่มีอาวุธ? แล้วเสียงแตรของเจ้าไม่ใช่อาวุธหรือ?”
“ข้าไม่ได้ฆ่าใคร! ข้าไม่ได้ฟาดฟันศัตรูเลยแม้แต่น้อย!” มือแตรอ้อนวอน “ข้าแค่ทำหน้าที่ส่งสัญญาณเท่านั้น!”
หัวหน้าทัพจ้องเขาด้วยสายตาเฉียบขาด ก่อนจะกล่าว “เจ้าพูดถูก เจ้าไม่ได้ถือดาบหรือโล่ เจ้าก็ไม่ได้ฆ่าใครด้วยมือตัวเอง แต่เจ้าคิดหรือไม่ว่าเสียงแตรของเจ้าเป็นสิ่งที่ทำให้นักรบของเจ้าฮึกเหิมและพุ่งเข้าใส่พวกเรา?”
มือแตรเงียบไป “ข้า…”
“หากไม่มีเสียงแตรของเจ้า ทหารของเจ้าจะมีพลังเช่นนี้หรือไม่? หากไม่มีสัญญาณของเจ้า พวกมันจะสามารถโจมตีพวกเราได้เป็นระเบียบเช่นนี้หรือไม่? ไม่ เจ้าไม่ได้ถืออาวุธ แต่เจ้าเป็นผู้นำทางให้มันถูกใช้”
มือแตรพยายามหาคำตอบ แต่เขากลับพูดอะไรไม่ออก
ทหารศัตรูคนหนึ่งกล่าวเสริม “เจ้าคือผู้ปลุกปั่นสงคราม แต่กลับมาขอความเมตตา? ช่างน่าขัน!”
หัวหน้าทัพตัดสินใจ “นั่นแหละคือเหตุผลที่เจ้าสมควรถูกลงโทษยิ่งขึ้นไปอีก! ถึงแม้เจ้าจะไม่ได้ลงมือทำสิ่งใดด้วยตัวเอง แต่เจ้ากลับเป็นผู้ปลุกเร้าผู้อื่นให้กระทำสิ่งชั่วร้าย” เขากล่าวต่อว่า “เช่นนั้นแล้ว เจ้าจะได้รับชะตากรรมเช่นเดียวกับนักรบของเจ้า” เขากล่าวต่อว่า
เสียงลมพัดผ่านสนามรบ เสียงแตรที่เคยกึกก้องเงียบลงตลอดกาล
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า “ผู้ที่สนับสนุนหรือส่งเสริมความชั่วร้าย ย่อมมีความผิดไม่ต่างจากผู้ที่ลงมือกระทำ”
มือแตรอาจไม่ได้จับอาวุธหรือสังหารใครด้วยตัวเอง แต่เสียงแตรของเขาคือสิ่งที่ปลุกใจให้ทหารของเขาฮึกเหิมและเข้าต่อสู้ ในชีวิตจริง บางคนอาจไม่ได้ทำสิ่งเลวร้ายด้วยมือของตนเอง แต่หากพวกเขาเป็นผู้สนับสนุน ชักนำ หรือปลุกปั่นให้เกิดความขัดแย้ง พวกเขาก็ต้องรับผิดชอบต่อผลที่เกิดขึ้นด้วย
“คำพูดหรือการกระทำที่ส่งเสริมให้เกิดความขัดแย้ง อาจเป็นอาวุธที่ร้ายกาจยิ่งกว่าดาบ” เช่นเดียวกับเสียงแตรที่นำไปสู่สงคราม แม้ไม่ได้ทำร้ายใครโดยตรง แต่ก็เป็นต้นเหตุของการสูญเสีย ไม่มีใครสามารถปฏิเสธความรับผิดชอบได้ เพียงเพราะตนไม่ได้เป็นผู้ลงมือทำเอง
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานอีสปเรื่องมือเป่าแตรศึกถูกจับ (อังกฤษ: The Trumpeter Taken Captive) เป็นหนึ่งในนิทานอีสป ถูกจัดลำดับอยู่ใน Perry Index ลำดับที่ 370 (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) เป็นหนึ่งในนิทานไม่กี่เรื่องที่มีเพียงมนุษย์เป็นตัวละครหลัก สอนคติว่า การเกี่ยวข้องกับคนทำชั่ว ย่อมทำให้ตนเองต้องรับผิดชอบไม่ต่างกัน
นิทานเรื่องนี้เล่าถึงมือเป่าแตรศึก ที่ถูกศัตรูจับตัวไว้ในระหว่างการรบ เขาอ้อนวอนขอชีวิตโดยให้เหตุผลว่า ตนเองไม่มีอาวุธและไม่ได้ต่อสู้ แต่ฝ่ายศัตรูกลับตอบว่า “เจ้าทำสิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่าเสียอีก เพราะเสียงแตรของเจ้าเป็นตัวกระตุ้นให้ผู้อื่นเข้าห้ำหั่นกัน”
“แม้ไม่ได้ลงมือทำผิดเอง แต่หากเป็นผู้สนับสนุนหรือชี้นำ ย่อมต้องรับผิดชอบต่อผลที่เกิดขึ้นเช่นกัน”
ในฉบับภาษาละตินของอาเวียนุส (Avianus) นิทานถูกเล่าในอีกรูปแบบหนึ่ง โดยมีทหารชราผู้ปลดระวาง กำลังเผาอาวุธของตนในกองไฟ แตรศึกพยายามขอให้ไว้ชีวิต แต่สุดท้ายกลับถูกโยนลงไปในกองไฟเช่นเดียวกับอาวุธอื่น ๆ