ปกนิทานกริมม์เรื่องแมวกับหนูผู้เป็นหุ้นส่วน

นิทานกริมม์เรื่องแมวกับหนูผู้เป็นหุ้นส่วน

ในโลกของนิทานเก่าแก่ มีเรื่องราวมากมายที่สะท้อนนิสัยและอารมณ์ของมนุษย์ผ่านตัวละครสัตว์ตัวเล็ก ๆ ที่ดูไร้เดียงสา แต่กลับแฝงปัญญาและคำเตือนลึกซึ้งไว้ในแต่ละบรรทัด

มีนิทานกริมม์เรื่องหนึ่ง ที่พูดถึงความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างเพื่อนต่างเผ่าพันธุ์ ความสัมพันธ์ที่เริ่มต้นด้วยคำพูดอ่อนหวาน ทว่าเส้นทางของมิตรภาพกลับค่อย ๆ เผยให้เห็นด้านมืดของหัวใจ กับนิทานกริมม์เรื่องแมวกับหนูผู้เป็นหุ้นส่วน

ภาพประกอบนิทานกริมม์เรื่องแมวกับหนูผู้เป็นหุ้นส่วน

เนื้อเรื่องนิทานกริมม์เรื่องแมวกับหนูผู้เป็นหุ้นส่วน

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ยังมีเวลาที่คำขอพรของผู้คนยังสัมฤทธิ์ผลอยู่ แมวตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ มันมีนิสัยเจ้าเล่ห์แต่พูดเก่งยิ่งนัก วันหนึ่งมันได้พบกับหนูตัวน้อยตาแป๋ว ซึ่งกำลังมองหาที่พักพิงจากความหนาวเหน็บ

“สวัสดี เจ้าหนูน้อย” แมวเอ่ยเสียงนุ่ม “ข้าเห็นเจ้าตัวสั่นอย่างนั้น เหตุใดไม่มาอยู่กับข้าล่ะ? ข้ามีบ้านเล็ก ๆ อบอุ่นดีนัก ข้าจะดูแลเจ้าเอง”

หนูมองแมวด้วยความลังเล มันรู้ว่าแมวกินหนูเป็นอาหาร… แต่คำพูดของมันช่างอ่อนโยนจนหัวใจมันอ่อนลง

“เจ้าจะไม่ทำร้ายข้าจริง ๆ หรือ?” มันถามเสียงสั่น

“แน่นอนสิ” แมวตอบพลางยิ้ม “เราจะเป็นเพื่อนกัน เป็นครอบครัวเดียวกันก็ว่าได้”

ด้วยคำพูดหวานหูนั้น หนูน้อยหลงเชื่อ และตกลงจะอยู่ร่วมบ้านกับแมวผู้พูดจานุ่มนวล

พออยู่ด้วยกันได้ไม่นาน แมวก็เริ่มเอ่ยขึ้นว่า “เราต้องเตรียมเสบียงไว้สำหรับฤดูหนาวนะ มิฉะนั้นจะอดอยากแน่ และเจ้าก็ไม่ควรออกไปนอกบ้านบ่อยนัก เดี๋ยวจะติดกับคนจับหนูเข้า”

หนูพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “เจ้าพูดถูก ข้าไม่ถนัดออกไปข้างนอกเลย”

ทั้งสองจึงช่วยกันซื้อน้ำมันหมูใส่หม้อมาเก็บไว้ แต่ก็เกิดคำถามขึ้นว่า จะซ่อนไว้ที่ไหนดีให้ปลอดภัยที่สุด

“ข้าคิดได้แล้ว” แมวพูดพลางทำหน้าภูมิใจ “ในโบสถ์ไม่มีใครกล้าแตะของของผู้อื่น เราจะนำหม้อนี้ไปซ่อนไว้ใต้แท่นบูชา ที่นั่นปลอดภัยแน่”

ว่าจบ แมวก็อุ้มน้ำมันหมูไปซ่อนไว้อย่างดี และตั้งใจแน่วแน่ว่าวันหนึ่งมันจะได้กินทั้งหมดเอง

วันหนึ่ง ขณะหนูกำลังปัดกวาดบ้านอยู่นั้น แมวก็บิดตัวไปมาเหมือนมีเรื่องสำคัญจะพูด

“เอ่อ… เจ้าหนูน้อย เพื่อนรักของข้า” มันเริ่มเสียงเรียบ “วันนี้ข้ามีธุระสำคัญยิ่ง ข้าต้องไปเป็นพ่อทูนหัวให้ลูกของญาติข้า เขาเพิ่งออกลูกตัวเล็กน่ารัก ขาวมีจุดน้ำตาลทั่วตัว”

“จริงหรือ?” หนูดีใจ “ไปเถิด! ขอให้ลูกของญาติท่านเติบโตแข็งแรงนะ และถ้าเจ้ามีของอร่อยอย่าลืมเผื่อข้าด้วยละ ข้าอยากชิมไวน์แดงในงานศีลจังเลย!”

“ฮ่า ๆ แน่นอน ข้าจะคิดถึงเจ้าแน่” แมวตอบพร้อมยิ้มมุมปาก

แต่แท้จริงแล้ว มันไม่มีญาติ ไม่มีลูกแมวที่ไหนเลย

มันแอบเดินลัดตรอก ไปยังโบสถ์เงียบที่มีแท่นบูชา ลอบมุดเข้าไปใต้ผ้าปักทองคำ แล้วเลียปากด้วยความตื่นเต้น

“โอ้ กลิ่นหอมนี่มันชวนให้ใจเต้นจริง ๆ” มันกระซิบ ก่อนจะเริ่มเลียหน้าหม้อช้า ๆ และไม่หยุดจนผิวน้ำมันหมูหายเกลี้ยง

อิ่มท้องแล้ว แมวเดินไปนอนอาบแดดบนหลังคาเมืองอย่างสุขสบาย ลมพัดขนมันพลิ้วขณะมันเลียหนวดไปด้วยรอยยิ้มพึงใจ

ตกเย็นมันกลับบ้าน หนูรีบวิ่งมาทัก “กลับมาแล้วหรือ? วันศีลเป็นอย่างไรบ้าง เพื่อนรัก ข้าแน่ใจว่าเจ้าคงสนุกแน่!”

“อืม ทุกอย่างเรียบร้อยดี” แมวตอบอย่างเฉื่อยชา

“แล้วลูกแมวชื่ออะไรล่ะ?” หนูถามอย่างอยากรู้

“ชื่อ… ‘กินบนสุด’” แมวตอบทันที

“กินบนสุด? ชื่อแปลกจังเลยนะ ไม่เคยได้ยินมาก่อน”

“ฮึ ชื่ออะไรก็ชื่อเถิด ไม่แปลกกว่าชื่อ ‘ขโมยเศษขนม’ ที่อยู่ในตระกูลเจ้าหรอก” แมวว่าพลางหัวเราะเบา ๆ

หนูหัวเราะตามโดยไม่เอะใจเลยว่า คำตอบของแมวกำลังบอกความจริงอันแสบลิ้นอยู่ในตัวเอง…

ภาพประกอบนิทานกริมม์เรื่องแมวกับหนูผู้เป็นหุ้นส่วน 2

หลายวันผ่านไป แมวเริ่มรู้สึกหิวและคะนึงถึงรสน้ำมันหมูอีกครั้ง มันเดินวนไปมาอยู่ในบ้านอย่างกระสับกระส่าย จนหนูสังเกตเห็น

“เจ้าไม่สบายหรือเปล่า ดูทำไมเหมือนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย?” หนูถามด้วยความห่วงใย

“เอ่อ… ไม่ ไม่ ข้าแค่… ญาติข้าคนเดิมน่ะ เขามีลูกอีกแล้ว” แมวรีบตอบ “ข้าถูกขอให้เป็นพ่อทูนหัวอีกครั้ง คราวนี้เจ้าตัวเล็กมีวงขาวรอบคอ น่ารักน่าชังนัก ข้าปฏิเสธไม่ได้เลยจริง ๆ”

หนูพยักหน้าอย่างซื่อ “แน่นอน ไปเถิด เพื่อนรัก ไปทำหน้าที่ของเจ้าเถอะ”

และแล้ว แมวก็หายไปอีกครั้ง คราวนี้มันแอบเลียหม้อจนหมดครึ่งหนึ่ง “อืม… ไม่มีอะไรอร่อยเท่าของที่กินคนเดียวนี่แหละ” มันพึมพำพร้อมเลียหนวดอย่างพอใจ

เมื่อกลับถึงบ้าน หนูก็ถามตามเคย “ชื่ออะไรล่ะ ครั้งนี้?”

“ชื่อ ‘กินครึ่งหม้อ’” แมวตอบเรียบ ๆ

“กินครึ่งหม้อ? ชื่อแปลกจริง ๆ ฟังไม่คุ้นเลย ข้าไม่เคยเห็นในปฏิทินสักปี” หนูหัวเราะเบา ๆ

แมวเพียงยิ้มบาง “ไม่สำคัญหรอก ชื่อก็คือชื่อ จะเรียกอะไรก็ได้”

วันคืนล่วงไปอีก จนแมวทนไม่ไหว ความอยากครอบงำอีกครั้ง มันอ้างเรื่องพ่อทูนหัวเป็นรอบที่สาม คราวนี้บอกว่าลูกแมวตัวนั้นดำสนิท มีเพียงอุ้งเท้าสีขาวทั้งสี่ ซึ่งหาได้ยากนัก

หนูเริ่มขมวดคิ้ว “ชื่อก่อน ๆ ก็ประหลาดพอแล้ว กินบนสุด กินครึ่งหม้อ… จะว่าไปมันฟังเหมือนอะไรบางอย่างนะ”

แมวหัวเราะเสียงดัง “เจ้านี่จินตนาการเหลือเกิน ก็เพราะอยู่แต่ในบ้านไงล่ะเลยคิดฟุ้งไปหมด”

เมื่อแมวลับสายตา มันตรงไปยังโบสถ์อีกครั้ง คราวนี้เลียเสียจนหม้อเกลี้ยงไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว แล้วกลับมาด้วยท้องอิ่มแปล้และหัวใจพองโต

“เป็นไงบ้าง พ่อทูนหัวคนเก่ง?” หนูถามเมื่อเห็นมันกลับมา

“อืม ทุกอย่างดี ชื่อครั้งนี้คือ… ‘เกลี้ยงหมด’”

“เกลี้ยงหมด?” หนูหัวเราะ “อันนั้นประหลาดที่สุดเลย! ชื่อแบบนั้นมีจริงด้วยหรือ?”

“แน่นอนสิ” แมวตอบพร้อมหาว “ทีนี้ข้าขอหลับหน่อยนะ”

หนูมองแมวด้วยแววตาสงสัยเล็กน้อย แต่ก็ไม่กล้าถามต่อ เพราะเชื่อในมิตรภาพที่ทั้งคู่สร้างไว้…

ฤดูหนาวมาถึง หิมะโปรยทั่วเมือง อาหารหายากยิ่งนัก หนูตัวน้อยเริ่มคิดถึงหม้อน้ำมันหมูที่ซ่อนไว้ใต้แท่นบูชาในโบสถ์

“เพื่อนรัก” หนูพูดขึ้น “ถึงเวลาแล้ว เราไปเอาน้ำมันหมูที่เก็บไว้กันเถอะ ข้าหิวจนท้องร้องแล้ว”

“อืม… ดีสิ” แมวตอบพลางยิ้มเย็น “เจ้าจะได้ลิ้มรส… อย่างที่สมควรจะได้”

ทั้งสองออกเดินทางท่ามกลางลมหนาว จนถึงโบสถ์อันเงียบสงัด หนูดีใจนัก วิ่งนำหน้าไปยังแท่นบูชา แต่เมื่อเปิดหม้อขึ้น

หม้อน้ำมันหมูว่างเปล่า!

“โอ้ พระเจ้า…” หนูร้อง “มันหายไปไหนหมด! หรือ…” มันหันมามองแมวที่ยืนเลียหนวดอยู่ด้านหลัง

“หรือว่า… เจ้ากินมันหมดใช่ไหม! ตอนที่เจ้าบอกว่ามีลูกแมวชื่อ ‘กินบนสุด’ นั่นเจ้าก็เลียหน้าหม้อ… แล้ว ‘กินครึ่งหม้อ’ เจ้าก็กินครึ่งหนึ่ง… และสุดท้าย”

“เงียบ!” แมวขู่ เสียงดังลั่นก้องโบสถ์ “พูดอีกคำเดียว ข้าจะกินเจ้าซะเดี๋ยวนี้!”

หนูตัวน้อยถอยหลัง แต่ก็ยังพูดเบา ๆ ว่า “…เกลี้ยงหมด”

ไม่ทันจบคำ แมวก็กระโจนเข้าหา ฟันแหลมของมันงับหนูจนหายวับไปในพริบตา เหลือเพียงเสียงสะท้อนของคำสุดท้าย “เกลี้ยงหมด…”

และนั่นล่ะ… คือโลกใบนี้ ผู้ที่ไว้ใจผิดคน ย่อมถูกกลืนกินในที่สุด

ภาพประกอบนิทานกริมม์เรื่องแมวกับหนูผู้เป็นหุ้นส่วน 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ความไว้ใจควรมอบให้กับผู้ที่มีน้ำใจจริง มิใช่ผู้ที่พูดจาหวานลิ้นแต่คิดร้ายภายใน มิตรภาพแท้ต้องตั้งอยู่บนความซื่อสัตย์ ไม่ใช่คำพูดสวยหรูหรือผลประโยชน์ส่วนตน เพราะเมื่อความโลภเข้าครอบงำ ใครก็ตามแม้กระทั่งเพื่อนอาจกลายเป็นศัตรูได้โดยไม่รู้ตัว

เพราะในเรื่องนี้ หนูตัวน้อยเชื่อคำของแมวเพื่อนรักโดยไม่ทันดูให้ดีว่าหลังรอยยิ้มมีเขี้ยวแหลมซ่อนอยู่ การที่แมวค่อย ๆ หลอกกินน้ำมันหมูจนหมดและสุดท้ายกลับมากินหนูเอง แสดงให้เห็นว่า ความโลภและการหลอกลวงย่อมนำพาให้มิตรภาพสูญสลาย ขณะเดียวกัน หนูก็เตือนเราว่า การเชื่อใจโดยไม่ระวังอาจทำให้กลายเป็นเหยื่อของคนเจ้าเล่ห์ได้ในที่สุด

อ่านต่อ: นิทานกริมม์อ่านง่ายอ่านสนุกให้ข้อคิดหลากหลาย

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานกริมม์เรื่องแมวกับหนูผู้เป็นหุ้นส่วน (อังกฤษ: Cat and Mouse in Partnership) นิทานเรื่องนี้เป็นผลงานลำดับที่ 002 KHM (Kinder und Hausmärchen นิทานสำหรับเด็กและครอบครัว) ในชุดนิทานของพี่น้องกริมม์ ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1812 โดยสองพี่น้องชาวเยอรมันคือยาโคบ กริมม์ และวิลเฮล์ม กริมม์ ผู้เก็บรวบรวมและบันทึกนิทานพื้นบ้านจากการเล่าปากต่อปากทั่วชนบทของเยอรมนี

นิทานเรื่องนี้มีรากมาจากนิทานพื้นบ้านเยอรมันโบราณ ที่เล่าถึงความสัมพันธ์ระหว่างสัตว์ต่างชนิด เพื่อเปรียบเทียบกับพฤติกรรมของมนุษย์ในชีวิตจริง โดยเฉพาะการใช้ไหวพริบและความโลภของแมว มาสะท้อนถึงคนที่เห็นแก่ตัวและทรยศต่อมิตรภาพ ส่วนหนูเป็นสัญลักษณ์ของความซื่อสัตย์และไว้ใจง่าย

นิทานเรื่องนี้จึงไม่ได้มีเวทมนตร์หรือปาฏิหาริย์เหมือนเรื่องดังอื่น ๆ ของกริมม์ แต่กลับเป็นนิทานเชิงศีลธรรมที่เตือนใจผู้อ่านให้รู้ว่า แม้คำพูดจะอ่อนหวานเพียงใด แต่หากหัวใจเต็มไปด้วยเล่ห์กล ก็ย่อมทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจได้ในที่สุด

คติธรรม: “มิตรภาพจะคงอยู่ได้ ก็ต่อเมื่อความซื่อสัตย์มีค่ามากกว่าความโลภ”