ปกนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องการแตกต่างจากสามัญชน

นิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องการแตกต่างจากสามัญชน

ในโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขันและการเปรียบเทียบ มนุษย์ส่วนใหญ่มักมุ่งมั่นไขว่คว้าสิ่งที่คนอื่นมี ไม่ว่าจะเป็นเกียรติยศ ความรู้ หรือความสำเร็จภายนอก แต่ในคำสอนของเต๋า เล่าจื๊อกลับบอกเราว่า ความสุขแท้จริงไม่ได้อยู่ที่การตามให้ทันผู้อื่น หากแต่อยู่ที่การกลับมาเข้าใจตัวเอง และยอมเป็นในสิ่งที่แตกต่าง

มีนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องหนึ่ง ที่เล่าจื๊อเล่าถึงความรู้สึกของตน เมื่อมองเห็นผู้คนรอบกายที่ดูเหมือนจะมีทุกสิ่งครบถ้วนสมบูรณ์ ขณะที่เขาเองกลับรู้สึกว่างเปล่า ด้อยค่า และไม่เหมือนใคร แต่ภายใต้ความแตกต่างนั้น กลับเผยให้เห็นหนทางลึกซึ้งของเต๋า ที่ชี้ไปสู่ความสงบแท้จริงในหัวใจ กับนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องการแตกต่างจากสามัญชน

ภาพประกอบนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องการแตกต่างจากสามัญชน

นิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องการแตกต่างจากสามัญชน

กาลหนึ่ง… ข้าเดินผ่านประตูเมืองหลวง เห็นผู้คนมากมายแต่งกายงดงาม เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและดนตรี ทุกหนทุกแห่งคล้ายงานเลี้ยงใหญ่ ราวกับทุกคนได้กินอิ่มนอนหลับอย่างไร้ทุกข์ ข้าเห็นพวกเขาเงยหน้ามองจากหอสูง สีหน้าเต็มไปด้วยความพึงใจ

ข้าสังเกตว่า ทุกคนกินดื่มด้วยท่าทีสุขสำราญเหมือนกำลังได้เสวยสวรรค์บนดิน บางคนเปรียบว่า “ชีวิตก็เหมือนงานเลี้ยงนี้เอง เมื่ออาหารยังอยู่ตรงหน้า เราก็จงดื่มกินให้เต็มที่” คนทั้งหลายต่างพยักหน้าและยกจอกเหล้าขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะ

หญิงหนุ่มผู้หนึ่งหันมาถามข้า “ท่านนักปราชญ์ ท่านไม่ยกถ้วยร่วมดื่มกับพวกเราเล่า? เหตุใดจึงนิ่งเงียบ เหมือนมิได้ยินเสียงดนตรีเลย?”

ข้ายิ้มบาง ๆ และตอบ “เพราะในเสียงดนตรีอันครึกครื้น ข้าได้ยินเสียงความว่างเปล่าที่แอบซ่อนอยู่ ทุกคนยกจอกเหล้าเหมือนมีทุกสิ่ง แต่ในใจลึก ๆ อาจยังเว้าแหว่งอยู่”

เมื่อเอ่ยเช่นนั้น ผู้คนบางคนหัวเราะเยาะ บ้างส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจ ข้าจึงเลือกเงียบ และเดินผ่านงานเลี้ยงนั้นไป ข้าเห็นความสุขของพวกเขา แต่ใจข้ากลับสงบนิ่ง ราวกับคลื่นที่ไม่กระเพื่อม

หลังผ่านความครึกครื้น ข้ากลับรู้สึกว่างเปล่าอย่างประหลาด ข้ามองผู้คนที่หัวเราะชื่นบาน เหมือนพวกเขาได้ปีนขึ้นไปบนหอคอยสูงในฤดูใบไม้ผลิ มองเห็นทิวทัศน์กว้างไกลด้วยใจที่เบิกบาน แต่ข้าเองกลับเหมือนคนที่ยืนอยู่เบื้องล่าง มองขึ้นไปด้วยความเงียบงัน

ข้าครุ่นคิดในใจ “เหตุใดข้าจึงไม่อิ่มเอมเช่นเขา? เหตุใดหัวใจจึงยังสงบเย็นไร้รอยยิ้ม?”

บางครั้งข้ารู้สึกเหมือนเป็นทารกที่ยังไม่เคยหัวเราะต่อโลก แม้โลกพยายามยื่นความบันเทิงมาให้ ข้ายังไม่อาจยิ้มตอบได้ ข้ารู้สึกเหมือนคนไร้บ้าน ที่เมื่อมองไปทางใดก็ไม่เจอที่พักพิง

ชายวัยกลางคนที่นั่งกินอยู่ริมทางเอ่ยเย้า “ดูท่านสิ หน้าตาเศร้าหมองเหมือนคนสูญเสียทุกสิ่ง ไม่รู้จักหรือว่าชีวิตต้องหัวเราะให้มากที่สุด?”

ข้าเพียงส่ายหน้าและตอบแผ่วเบา “ข้ามิได้สูญเสีย… เพียงแต่สิ่งที่ท่านเรียกว่า ‘ได้มา’ และ ‘เสียไป’ ในสายตาข้า ล้วนเป็นเงาที่ผันผ่าน ข้าจึงไม่อาจหัวเราะหรือร้องไห้ตามมัน”

เมื่อกล่าวเช่นนั้น เขามองข้าอย่างไม่เข้าใจ พลางหันกลับไปดื่มกินต่อ ส่วนข้าเดินต่อไปในความเงียบ และในใจลึก ๆ ก็เริ่มเข้าใจว่า ความต่างระหว่าง “ความสุขของโลก” กับ “ความสงบของเต๋า” กำลังเผยตัวให้ข้าเห็น

ภาพประกอบนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องการแตกต่างจากสามัญชน 2

ข้าเดินต่อไปจนถึงย่านตลาด เสียงผู้คนต่อรองราคาดังก้อง บ้างพูด “ใช่สิ!” บ้างรีบเอ่ย “แน่นอน!” คำตอบรับรวดเร็ว ราวกับทุกคนหวังจะได้ใจอีกฝ่าย

ทั้งที่ความต่างของคำว่า “ใช่” กับ “แน่นอน” มีเพียงเล็กน้อย แต่ข้ากลับมองเห็นความแตกต่างใหญ่หลวงในใจมนุษย์

ชายหนุ่มผู้หนึ่งเข้ามาหาข้า ยกกล่องเครื่องประดับขึ้นพลางพูดด้วยน้ำเสียงหวานหู “ท่านนักปราชญ์ หากท่านกล่าวเพียงคำว่า ‘ใช่’ ของท่าน ข้าจะลดให้ครึ่งราคา! ของสิ่งนี้จะทำให้ชีวิตท่านสุขสบาย”

ข้ายิ้มบางและส่ายหน้า “คำว่า ‘ใช่’ มิใช่เพื่อแลกสิ่งของ แต่คือสะพานที่เชื่อมใจสองดวง หากเอามันไปใช้เพียงเพื่อผลกำไร มันก็จะไร้ความหมาย”

ชายหนุ่มชะงัก ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ และหันไปหาลูกค้าคนอื่น เสียงตลาดยังคงคึกคัก แต่ในใจข้ากลับรู้สึกเหมือนยืนอยู่กลางทะเลกว้าง ไร้ที่พักพิง ข้าถูกพัดพาไปตามคลื่นแต่เป็นคลื่นแห่งความคิดของผู้คน ไม่ใช่คลื่นแห่งเต๋า

ในยามนั้น ข้าคิดเปรียบเทียบกับตนเองว่า “ผู้คนรอบข้าเปี่ยมด้วยแสงสว่างในแววตา เหมือนทุกคนล้วนฉลาดหลักแหลม มีคำตอบสำหรับทุกสิ่ง ส่วนข้า…กลับมืดบอด คล้ายคนโง่เขลาอยู่ท่ามกลางพวกเขา”

เมื่อยามเย็นมาเยือน ผู้คนแยกย้ายกลับบ้าน เสียงหัวเราะยังคงสะท้อนตามถนนแคบ ๆ ข้าเห็นครอบครัวนั่งกินอาหารรอบกองไฟ แววตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความพอใจ เหมือนมีทุกสิ่งเพียงพอ

แต่ข้า… กลับเหมือนผู้ที่สูญเสียไปทั้งหมด ร่างกายยังอยู่ แต่ใจกลับล่องลอย คล้ายใบไม้ไร้น้ำหนักที่ลอยไปกับลม ไม่อาจหยุดพักที่ใดได้เลย

สตรีชราผู้หนึ่งยื่นถ้วยน้ำให้ข้า พลางถามด้วยความเมตตา “เหตุใดท่านจึงดูเหมือนคนไร้ที่ไป? ท่านไม่อยากหาที่นั่งพักเหมือนคนอื่นบ้างหรือ?”

ข้ารับถ้วยด้วยความเคารพและตอบเบา ๆ “ข้าขอบคุณในน้ำใจของท่าน แต่สิ่งที่ข้าตามหา มิใช่ที่นั่งหรือบ้านเรือน หากคือที่พักพิงแห่งใจ เต๋าต่างหากที่เป็นมารดาผู้หล่อเลี้ยงและโอบอุ้มทุกสรรพสิ่ง ข้าจึงดูเหมือนแตกต่างจากผู้อื่น แต่แท้จริง ข้าเพียงหวนกลับสู่อ้อมแขนของวิถีเต๋า”

นางเพียงยิ้ม ไม่อาจเข้าใจคำของข้า แต่ก็เดินจากไปด้วยความสงบ ข้าจึงนั่งลงใต้ต้นไม้ใหญ่ ปล่อยให้ความเงียบโอบล้อม และในห้วงว่างเปล่านั้น ข้ากลับพบความสงบที่ผู้คนในงานเลี้ยงและตลาดมิอาจมอบให้

ในความเงียบงันนั้น หัวใจข้าเบาสบาย แม้ต่างจากคนทั้งโลก แต่ข้ากลับพบความสงบที่แท้จริง

ภาพประกอบนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องการแตกต่างจากสามัญชน 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ในโลกที่ผู้คนส่วนใหญ่เดินไปตามเส้นทางเดียวกันอย่างรีบร้อน การกล้าที่จะหยุดพักและเลือกหนทางที่แตกต่าง คือสิ่งที่นำพาเราให้เข้าใกล้ความสงบและความจริงแท้ยิ่งกว่า การไม่ตามกระแส ไม่ได้หมายความว่าเราหลงทาง แต่คือการเลือกทางที่สอดคล้องกับธรรมชาติของตนเอง และนี่คือสิ่งที่ทำให้บางคนแตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไป

ในนิทาน เล่าจื๊อพบว่าผู้คนต่างยินดีและพอใจในสิ่งที่โลกมอบให้ ไม่ว่าจะเป็นความรู้ ชื่อเสียง หรือความสำเร็จภายนอก แต่เขากลับรู้สึกว่างเปล่า เดียวดาย และไร้ที่ไป ทว่า ความว่างเปล่านั้นเองกลับเป็นประตูที่เปิดไปสู่เต๋า ความแตกต่างที่ดูเหมือนความโง่เขลาในสายตาคนอื่น กลับเป็นหนทางที่นำจิตใจให้หลุดพ้นจากพันธนาการแห่งโลกีย์

อ่านต่อ: นิทานเต้าเต๋อจิงสอนปรัชญาเต๋าจีนโบราณโดยปรมาจารย์เล่าจื๊อ

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องการแตกต่างจากสามัญชน (อังกฤษ: Being Different From Ordinary Men) นิทานเรื่องนี้มาจากคัมภีร์เต้าเต๋อจิง บทที่ 20 ซึ่งกล่าวถึง “การแตกต่างจากสามัญชนคนธรรมดาทั่วไป” เมื่อเราละทิ้งการเรียนรู้ภายนอก และไม่ยึดติดกับความคิดหรือความเห็นที่โลกมอบให้ เราจะพ้นจากความกังวลทั้งหลาย สิ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่ให้คุณค่า เช่น คำสรรเสริญ ความรู้ หรือความสำเร็จภายนอก แท้จริงแล้วเป็นเพียงสิ่งเล็กน้อยที่ก่อให้เกิดความวุ่นวายใจ แต่ผู้ที่เข้าถึงเต๋าย่อมไม่เดินตามกระแสเหล่านี้ เล่าจื๊อได้บันทึกไว้ว่า:

ความแตกต่างจากสามัญชน

เมื่อเราละทิ้งการเรียนรู้ปรุงแต่ง เราก็ไม่เหลือความกังวล
คำว่า “ใช่” หรือ “ถูกต้อง” ที่เออออไปตามกัน
ต่างกันเพียงเล็กน้อย แต่ผลลัพธ์ดีร้ายกลับห่างกันลิบลับ

สิ่งที่ผู้คนทั้งหลายหวาดกลัว ก็เป็นสิ่งที่ควรหวาดกลัวจริง
แต่เรื่องราวที่ควรครุ่นคิดนั้นกลับกว้างใหญ่และไม่มีที่สิ้นสุด

ผู้คนมากมายดูอิ่มเอมและเบิกบาน
เหมือนดื่มกินงานเลี้ยงใหญ่ เหมือนขึ้นหอคอยชมบุปผาในฤดูใบไม้ผลิ
ส่วนข้าพเจ้า กลับสงบเงียบ ไร้ชีวิตชีวา
ความปรารถนาภายในยังไม่ปรากฏแม้เงา

ข้าพเจ้าเหมือนทารกที่ยังไม่เคยยิ้ม
ข้าพเจ้าดูเศร้าหมอง ราวกับไร้บ้านให้กลับไป
ผู้คนมากมายล้วนมีเกินพอ
ข้าพเจ้าเพียงผู้เดียวที่ดูเหมือนสูญเสียทุกสิ่ง

ใจของข้าพเจ้าเหมือนคนโง่ อยู่ในความสับสนไร้ระเบียบ
สามัญชนดูเฉลียวฉลาดสว่างไสว
ขณะที่ข้าพเจ้าเพียงมืดมนสับสน
ผู้คนดูมีเหตุผลและแยบคาย
แต่ข้าพเจ้ากลับทึ่มทื่อและพร่ามัว

ข้าพเจ้าราวกับลอยไปกลางทะเล ถูกคลื่นพัดพาไร้ที่พำนัก
ผู้คนล้วนมีเส้นทางและกิจของตน
แต่ข้าพเจ้าเพียงคล้ายชายป่าผู้ทึบเขลา ไม่เข้าพวกกับใคร

ดังนั้นข้าพเจ้าจึงแตกต่างจากคนทั้งหลาย
เพราะข้าพเจ้าให้ค่าต่อ “พระแม่ผู้หล่อเลี้ยง” (คือ เต๋า)

เล่าจื๊อได้สอนว่า แม้ผู้คนรอบข้างจะดูเต็มไปด้วยความสุข ความสำเร็จ และความมั่นใจ แต่ผู้เดินตามเต๋ากลับดูเหมือนโง่เขลา ไร้บ้าน และไร้ที่พึ่ง เพราะเขาไม่ไขว่คว้าเหมือนผู้อื่น หากปล่อยตนเองล่องลอยดุจทารกที่ยังไร้เดียงสา ทว่าในความไร้เดียงสานั้นเอง กลับซ่อนพลังแห่งความจริงแท้และความสงบอันลึกซึ้ง

นิทานเรื่องนี้จึงถูกแต่งขึ้นเพื่อสะท้อนคำสอนในบทดังกล่าว โดยถ่ายทอดผ่านมุมมองของเล่าจื๊อที่รู้สึกแตกต่างจากผู้คนรอบกาย แม้ดูเหมือนจะหลงทางหรือด้อยค่าในสายตาสามัญชน แต่แท้จริงแล้วคือผู้ที่กำลังดำเนินชีวิตตามวิถีเต๋าอย่างแท้จริง ความแตกต่างนี้เองคือรากฐานของปัญญาและการเข้าถึง “พระแม่ผู้หล่อเลี้ยงทุกสรรพสิ่ง” หรือวิถีเต๋า ซึ่งเป็นที่พึ่งอันแท้จริงของชีวิต

คติธรรม: “แม้ข้าจะต่างจากผู้คนทั้งหลาย แต่ความแตกต่างนั้นเอง คือหนทางที่พาข้ากลับสู่เต๋า”