บนทางเดินสายหนึ่ง ชีวิตหลายชีวิตเคยเดินเคียงกัน แม้จะแตกต่างในบทบาท หน้าที่ และแรงที่เหลืออยู่ บางครั้ง คำว่า “เหนื่อย” ทำให้ใครบางคนลืมที่จะเห็นใจผู้เดินร่วมทาง มีเรื่องเล่านิทานชาดกเรื่องหนึ่ง ว่าด้วยคำขอเล็ก ๆ ที่ถูกปฏิเสธ และผลที่ย้อนคืนมาไม่เล็กเลย
เพราะน้ำใจ ไม่ใช่สิ่งที่ผู้อื่นมีให้ตามสิทธิ์ แต่มักกลับคืนมา ตามสิ่งที่เราเคยหว่านลงไว้กับเขา ไม่ว่าจะตั้งใจ… หรือเฉยเมย กับนิทานชาดกเรื่องหว่านพืชเช่นไร ย่อมได้ผลเช่นนั้น

เนื้อเรื่องนิทานชาดกเรื่องหว่านพืชเช่นไร ย่อมได้ผลเช่นนั้น
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในหมู่บ้านชายป่าห่างไกล มีชายชาวบ้านคนหนึ่งเลี้ยงลาตัวหนึ่งกับสุนัขอีกตัวไว้ใช้สอย ลาแบกของให้เขายามเดินทาง ส่วนสุนัขเฝ้าบ้านและเดินเคียงข้างคอยระวังภัย ทั้งสามอยู่ร่วมกันมานาน วันหนึ่งเขาเดินทางเข้าเมืองเพื่อนำของไปขาย
ลาต้องแบกกระสอบหลายใบแน่นหลัง ส่วนสุนัขก็เดินตามเงียบ ๆ ตลอดทาง แสงแดดส่องแรง ฝุ่นลอยคลุ้งตลบตลอดระยะทางกลับบ้าน ขาทุกคู่เหนื่อยล้า ท้องก็ร้องด้วยความหิว
เมื่อเดินมาได้ครึ่งทาง พวกเขาเห็นทุ่งหญ้ากว้างริมทาง มีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งให้ร่มเงาพอดี ชายคนนั้นพยักหน้าเบา ๆ
พลางพูดกับตนเองว่า “พักตรงนี้สักหน่อยก็แล้วกัน” เขาปล่อยลายืนพักใต้ร่มไม้ แล้วทิ้งตัวลงนอนราบบนพื้นหญ้าอย่างไม่เอ่ยคำ ลมหายใจของเขาแผ่วลงทันที บ่งบอกถึงความเหนื่อยสะสมที่มากเกินจะฝืน
ลาค่อย ๆ เริ่มเคี้ยวหญ้าเขียวใต้เท้าอย่างเงียบงัน เสียงขากรรไกรบดหญ้าดังสม่ำเสมอ ขณะที่สุนัขนอนอยู่ไม่ห่าง สายตามันเหลือบมองไปยังถุงสัมภาระบนหลังลา ที่มีข้าวแห้งซุกอยู่ภายใน ร่างมันผอมลงเพราะเดินทางไกล และเสียงท้องมันก็ส่งเสียงชัดเจน
“เจ้า…” สุนัขพูดเบา ๆ ขณะลุกขึ้นนั่ง “ช่วยโน้มตัวลงสักหน่อยได้ไหม ข้าอยากหยิบอาหารจากถุงบนหลังเจ้า ข้าหิวจนแทบไม่มีแรงจะเห่าแล้ว”
ลาหยุดเคี้ยวหญ้า แล้วหันศีรษะมามองสุนัขด้วยสายตานิ่งเฉย มันกลืนน้ำลายก่อนตอบด้วยเสียงแหบต่ำ
“ให้เจ้านายตื่นก่อนเถิด เขาจะเป็นคนให้เจ้าเอง”
สุนัขนิ่งเงียบไป ริมฝีปากมันเม้มแน่น ดวงตาหม่นลงเล็กน้อย มันรู้ว่าถ้าไม่ได้กินตอนนี้ กว่าจะเดินกลับถึงบ้านคงเป็นลมไปเสียก่อน แต่เมื่อเพื่อนพูดเช่นนั้น มันก็ไม่อาจฝืนได้
“ก็ได้” มันพึมพำเบา ๆ แล้วค่อย ๆ ทิ้งตัวลงนอนอย่างอ่อนแรง ใต้ร่มไม้ที่แสงอาทิตย์ค่อย ๆ เลื่อนผ่าน สายลมพัดเบา ๆ แต่ไม่อาจพัดความหิวให้พ้นไปจากใจมัน

ขณะที่ชายยังคงนอนหลับใต้ต้นไม้ ลาเคี้ยวหญ้าอย่างสบายใจ และสุนัขก็นอนนิ่งเพราะไร้เรี่ยวแรง ท่ามกลางความเงียบสงบของทุ่งหญ้านั้น กลับมีดวงตาคู่หนึ่งจับจ้องพวกเขาอยู่จากพุ่มไม้ไม่ไกล มันคือหมาป่าผอมโซที่ตะเวนหาอาหารมาตลอดทั้งวัน และตอนนี้ มันพบเป้าหมายชัดเจน
เงาร่างของมันเคลื่อนที่อย่างเงียบงัน ทะลุพุ่มหญ้าสูง ก่อนจะกระโจนออกมาด้วยความเร็ว ลากำลังง่วนอยู่กับการเคี้ยวหญ้า ไม่ทันได้ตั้งตัว จึงถูกหมาป่าพุ่งเข้าตะปบลำคอจนล้มทรุดลงกับพื้น
“ช่วยข้าด้วย ! ช่วยข้าด้วยเถิด !” ลาร้องเสียงหลง ดวงตาเบิกโพลงด้วยความหวาดกลัว
สุนัขเงยหน้าขึ้นมองภาพเบื้องหน้า เห็นเพื่อนตนกำลังดิ้นรนอยู่ใต้เงาของหมาป่า เลือดไหลออกมาจากบาดแผลบนไหล่ ขาสั่นระริกด้วยความเจ็บ
“ได้โปรด…” ลาพูดเสียงขาดห้วง “ช่วยข้า…อย่าให้มันฆ่าข้าเลย…”
แต่สุนัขเพียงหันหน้ากลับไปอย่างเฉยชา ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ให้เจ้านายตื่นก่อนเถิด แล้วข้าจะช่วยเจ้าเอง”
ลานิ่งไป ดวงตาสั่นระริกไม่ใช่เพียงเพราะความเจ็บ แต่เพราะคำพูดที่มันเคยใช้กับสุนัข ตอนนี้ย้อนกลับมาทิ่มแทงตัวเองจนจมลึก
เสียงร้องของลาค่อย ๆ เบาลงตามแรงชีวิตที่ร่วงโรย หมาป่าไม่ได้เสียแรงมากนักกับเหยื่อที่ไม่มีใครช่วย มันกัดลากลับเข้าไปในพุ่มไม้ช้า ๆ ทิ้งไว้เพียงรอยเลือดและฝุ่นดินที่ถูกร่างดิ้นทุรนทุรายไถผ่าน
ไม่นานนัก ชายเจ้าของสัตว์ก็ตื่นขึ้นมา เขาปัดหญ้าออกจากร่าง แล้วลุกขึ้นยืดเส้นยืดสาย แต่สิ่งที่เขาเห็นเบื้องหน้ากลับทำให้หัวใจแทบหยุดเต้น
“เจ้าลา ! มันหายไปไหน !” เขาร้อง ก่อนหันไปมองสุนัขซึ่งนั่งเงียบอยู่ที่เดิม
สุนัขไม่ได้ตอบ เขาเพียงก้มหน้าลงเล็กน้อย เหมือนรู้ดีว่าไม่ควรพูดอะไรอีก
ชายเดินตามรอยเลือดไปช้า ๆ และเมื่อพบเศษเส้นขนที่เปื้อนเลือด เขาก็รู้ว่าเจ้าลาของตนไม่มีวันกลับมาอีก
เขาถอนใจยาว ก่อนกลับมานั่งนิ่งใต้ต้นไม้เดิม ดวงตาแฝงแววเสียใจแต่ก็ไม่กล่าวโทษใคร เพราะบางเรื่อง… ผลของมันก็ถูกหว่านไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ผู้ที่เพิกเฉยต่อความทุกข์ของผู้อื่นในยามที่ตนสามารถช่วยได้ ย่อมไม่มีสิทธิ์ร้องขอความเมตตาเมื่อถึงคราวที่ตนตกอยู่ในความทุกข์เช่นเดียวกัน เพราะน้ำใจไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเพียงฝ่ายเดียว แต่สะท้อนกลับมาจากสิ่งที่เราเคยมอบให้คนอื่น
ลาที่ไม่ยอมช่วยสุนัขในยามหิว แม้ด้วยการก้มตัวลงเพียงเล็กน้อย จึงไม่อาจเรียกร้องให้สุนัขเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยตนได้ ความเมินเฉยเล็ก ๆ ในวันหนึ่ง อาจกลับกลายเป็นความเดียวดายในวันสำคัญที่สุดของชีวิต
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานชาดกเรื่องหว่านพืชเช่นไร ย่อมได้ผลเช่นนั้น (อังกฤษ: As You Sow so Shall You Reap) นิทานเรื่องนี้จัดอยู่ในประเภทสัตว์ชาดก ซึ่งเป็นนิทานที่พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นสัตว์เดรัจฉาน เพื่อแสดงธรรมแก่สัตว์โลกทั้งหลาย โดยเรื่องนี้ปรากฏในหมวดชาดกว่าด้วยผลแห่งกรรมที่เกิดจากความเมตตา และความเฉยเมย ซึ่งพระพุทธองค์ตรัสเล่าขึ้น เมื่อมีภิกษุผู้หนึ่งถูกเพื่อนภิกษุเมินเฉยในยามเจ็บไข้
พระองค์จึงทรงเล่าย้อนถึงอดีตกาลว่า ในครั้งนั้น พระองค์ได้เสวยพระชาติเป็นสุนัขผู้ซื่อสัตย์และเปี่ยมด้วยขันติธรรม อาศัยอยู่ร่วมกับมนุษย์และลาผู้หนึ่ง ในเหตุการณ์ที่สัตว์ทั้งสองต่างเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ลากลับปฏิเสธที่จะช่วยเหลือสุนัขผู้หิวโหย ทั้งที่สามารถช่วยได้โดยไม่เสียอะไรเลย และเมื่อถึงคราวลาถูกภัยคุกคามกลับคืน ก็ไม่ได้รับความช่วยเหลือเช่นกัน
พระโพธิสัตว์ในชาตินั้น มิได้ตอบแทนด้วยโทสะ แต่เพียงแสดงให้เห็นว่าการกระทำในอดีต ย่อมย้อนกลับมาเป็นผลในอนาคตเสมอ
ชาดกเรื่องนี้จึงสอนให้รู้ว่าความเมตตาและการแบ่งปันที่เรามอบแก่ผู้อื่นในยามเขาลำบากจะกลายเป็น “เงาแห่งบุญ” ที่คอยคุ้มครองเราในยามเราต้องเผชิญภัย แต่หากเมินเฉยต่อผู้อื่นแม้ในเรื่องเล็กน้อย อย่าหวังว่าเราจะได้รับความช่วยเหลือจากใครในวันหนึ่งที่เราต้องการมันที่สุด
“ผู้ใดนิ่งดูดายต่อความทุกข์ของผู้อื่น อย่าหวังว่าเมื่อถึงคราวของตน จะมีใครยื่นมือเข้ามา”