ในโลกนี้ หลายคนมักเชื่อว่าความดีเกิดจากการประดับประดา การโอ้อวด หรือการจัดพิธีใหญ่โต แต่คำสอนของเต๋าชี้ว่า สิ่งแท้จริงอยู่ในความเรียบง่ายและความมั่นคงภายในใจ ไม่ต้องแสดงให้ใครเห็น
มีนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องหนึ่ง เล่าจื๊ออธิบายถึงผลลัพธ์ของการยึดติดกับภาพลักษณ์และพิธีรีตอง ผ่านเรื่องราวของขุนนางผู้พยายามสร้างความดีแบบภายนอก แต่กลับพบว่าความสงบและความดีแท้ไม่อาจได้มาจากการโอ้อวดหรือพิธีใด ๆ กับนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องคุณลักษณะของวิถีเต๋า

เนื้อเรื่องนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องคุณลักษณะของวิถีเต๋า
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เมืองใหญ่ทางตะวันออกเคยสงบสุข ผู้คนดำรงชีวิตอย่างเรียบง่าย ดุจน้ำไหลไปตามทาง ไม่มีใครอวดดี ไม่มีใครยกตน ทุกอย่างดำเนินไปโดยไม่ต้องบังคับ นั่นคือวิถีแห่งเต๋า ที่ยังคงอยู่ในใจผู้คน
แต่กาลเวลาผ่านไป ผู้นำละทิ้งความเรียบง่าย ความอยากได้มากกว่าที่จำเป็นคืบคลานเข้ามา วิถีเต๋าเริ่มถูกลืมเลือน ผู้คนเริ่มไขว่คว้าสิ่งที่อยู่นอกตัวเอง
ขุนนางผู้หนึ่งก้าวขึ้นมา ยืนท่ามกลางลานพิธี เขาแต่งกายหรูหราด้วยชุดไหมสีคราม เสียงของเขาก้องไปทั่วเมือง “ประชาชนทั้งหลาย ฟังไว้เถิด! เรานี้คือผู้รู้ทางแห่งเต๋า เราคือผู้ถือคุณสมบัติอันสูงส่ง จะนำพาเมืองนี้ไปสู่ความสมบูรณ์!”
ฝูงชนบางส่วนโห่ร้องชื่นชม บ้างพนมมือยกย่อง แต่สายตาของชาวบ้านอีกหลายคู่กลับเต็มไปด้วยความสับสน เพราะสิ่งที่เขาประกาศ ไม่ได้สอดคล้องกับสิ่งที่พวกเขาเห็นในชีวิตประจำวัน
ผู้ช่วยใกล้ชิดคนหนึ่งกระซิบเบา ๆ: “ท่าน… หากเต๋ายังอยู่จริง จะต้องเอ่ยปากบอกให้คนเชื่อหรือไม่?”
ขุนนางยิ้มอย่างมั่นใจ “เมื่อไม่มีใครเห็นความจริง ข้าก็จะเป็นผู้สร้างความจริงขึ้นมาเอง”
ดังนั้นเมื่อหลักเต๋าที่แท้จริงหายไป สิ่งที่ปรากฏคือเพียง “คุณสมบัติของเต๋า” ที่ถูกยกขึ้นมาเป็นภาพลักษณ์ ภายนอกดูยิ่งใหญ่ แต่แท้จริงว่างเปล่า
กาลต่อมา เมื่อคำประกาศถึง “คุณสมบัติแห่งเต๋า” กลายเป็นเพียงถ้อยคำที่ไร้พลัง ผู้คนเริ่มไม่เชื่อถืออีก ขุนนางอีกคนจึงลุกขึ้นมาแทน
เขาสวมชุดยาวสีขาว เดินท่ามกลางตลาด แจกอาหารและเหรียญทองแก่ผู้ยากไร้ ผู้คนก้มกราบ ซาบซึ้งในความกรุณา แต่ในแววตาของเขา ข้าพเจ้ามองเห็นเพียงเงาแห่งความทะยานอยาก
ขุนนางคนนั้นประกาศด้วยเสียงดัง: “จงดูความเมตตาของเรา! เราเลี้ยงดูเจ้าเหมือนพ่อแม่เลี้ยงดูลูก หากไม่มีเรา พวกเจ้าจะอยู่ได้อย่างไร?”
ผู้ช่วยใกล้ชิดแอบเอ่ยถามอย่างหวั่นใจ: “ท่านทำสิ่งนี้เพราะเมตตาจริง ๆ หรือเพราะอยากให้คนทั้งเมืองสรรเสริญหรือ?”
ขุนนางชะงักไปชั่วครู่ ก่อนยิ้มเย็น “เมตตาที่คนไม่เห็น ไร้ค่า การกระทำจะยิ่งใหญ่ก็ต่อเมื่อมีผู้ยกย่องจำไว้”
ชาวบ้านบางคนซาบซึ้งจริงใจ แต่บางคนเริ่มตั้งคำถามในใจว่า หากเมตตาแท้จริง เหตุใดต้องมีเสียงฆ้องกลองทุกครั้งที่เขามอบอาหาร?
และเมื่อกาลเวลาผ่านไป ผู้คนเริ่มเห็นว่า “ความเมตตา” ที่ถูกแสดงนั้น ไม่ได้มาจากหัวใจ แต่เป็นเพียงฉากหนึ่งที่จัดขึ้นเพื่อชื่อเสียงและอำนาจ
ดังนั้น เมื่อคุณสมบัติแท้จริงไม่เหลือ สิ่งที่ปรากฏต่อหน้าผู้คนคือ “ความเมตตา” แต่ก็เป็นเพียงเงาของเมตตา หาใช่ความเมตตาที่ฝังรากในใจ

เมื่อเวลาล่วงไป ผู้คนเริ่มเห็นว่า “เมตตา” ของผู้นำมิใช่เมตตาจริง แต่เป็นเพียงเงาที่ใช้เรียกเสียงสรรเสริญ ความศรัทธาค่อย ๆ หายไป เหลือเพียงความเสื่อมถอย
คราวนี้ ขุนนางอีกผู้หนึ่งยืนขึ้น เขามีใบหน้าคมเข้ม นัยน์ตาแข็งกร้าว สวมชุดเกราะสีดำยืนต่อหน้าประชาชน เสียงเขาหนักแน่นราวค้อนกระแทกหิน “ความเมตตาทำให้ผู้คนอ่อนแอ! เมตตาคือการตามใจ ความดีแท้จริงต้องอาศัยความชอบธรรม!”
เขาสั่งตั้งกฎเกณฑ์ใหม่ กำหนดสิ่งที่ถูกและผิด ใครฝ่าฝืนจะถูกลงโทษทันที ชาวเมืองเริ่มหวาดกลัวและเคร่งครัดต่อกฎหมาย ทุกคนจำใจทำตาม แม้ใจไม่เข้าใจ
ลูกชายชาวนาแอบถามบิดาในยามค่ำคืน: “พ่อครับ เราต้องทำสิ่งนี้เพราะมันถูกต้องจริง หรือเพราะกลัวไม้เรียวของนายเหนือหัว?”
บิดาถอนหายใจยาว “ความถูกต้องที่ต้องใช้โทษมาบังคับ… อาจไม่ใช่ความถูกต้องที่เต๋าต้องการ”
ขุนนางผู้ตั้งกฎยืนบนกำแพงเมือง มองลงไปด้วยสายตาเย็นชา กระซิบกับตนเอง
“ตราบใดที่กฎหมายอยู่ในมือ ข้าก็คือผู้ชอบธรรมที่สุด”
เมื่อเมตตาแท้สิ้นไป สิ่งที่เหลือให้ผู้คนยึดคือ “ความชอบธรรม” แต่ความชอบธรรมนั้นก็มักแข็งกระด้าง เหมือนดาบที่คมเกินไปจนบาดทั้งศัตรูและผู้ถือดาบเอง
กาลถัดมา กฎหมายและความชอบธรรมที่เคร่งครัดก็ไม่อาจคงอยู่ ผู้คนเริ่มเหนื่อยล้า ไม่เชื่อในความยุติธรรมที่ถูกบังคับอีกต่อไป
ผู้นำคนใหม่จึงปรากฏ เขาแต่งองค์ด้วยชุดหรูหราสีทอง สวมหมวกพิธีสูง ถือคทาในมือ เดินนำขบวนในลานกว้างที่ประดับด้วยธงแพรและเครื่องหอม
“ประชาชนทั้งหลาย!” เขาตะโกน “เมื่อวิถีเต๋าไม่อาจรักษา เมื่อคุณสมบัติและเมตตาเลือนหาย ความชอบธรรมก็แตกสลาย แต่ตราบใดที่เรายังมีพิธีบูชา ฟ้าและแผ่นดินจะยังคงยอมรับเรา!”
เขาสั่งให้ทุกบ้านจัดพิธีจุดธูป จุดเทียน ทุกงานต้องมีการคำนับสี่ครั้งตามแบบ ทุกถ้อยคำต้องกล่าวตามตำรา หากใครไม่ทำ ถือว่าผิดธรรมเนียม
วันหนึ่ง เด็กน้อยเงยหน้าถามมารดา “แม่จ๋า เหตุใดเราต้องคำนับสี่ครั้งเสมอ? หากคำนับเพียงสองครั้ง ฟ้าดินจะไม่ฟังเราหรือ?”
มารดาอึกอัก ไม่รู้จะตอบเช่นไร ได้แต่สั่งเบา ๆ “อย่าถามมากลูก ทำตามเขาไปเถิด ไม่เช่นนั้นเราจะถูกว่าไม่เคารพ”
ภายใต้พิธีรีตองที่งดงาม ความจริงใจระหว่างผู้คนกลับค่อย ๆ หายไป ทุกคนต่างแสร้งยิ้ม แสร้งทำตามพิธี แต่ในใจเต็มไปด้วยความหวาดระแวง
ข้าพเจ้ามองดูแล้วถอนหายใจ พลางเอ่ยว่า “เมื่อเต๋ายังอยู่ก็พอ ไม่จำเป็นต้องสร้างพิธีให้มากมาย ไม่จำเป็นต้องแสดงคุณธรรมให้ใครเห็น เพราะสิ่งแท้จริงนั้นไม่ต้องการการประดับประดา”
แต่เมื่อเต๋าหายไป จึงต้องเอาคุณสมบัติขึ้นมาแทน
คุณสมบัติหายไป จึงต้องยกเมตตา
เมตตาหายไป จึงต้องอ้างความชอบธรรม
เมื่อความชอบธรรมหมดสิ้น จึงเหลือเพียงพิธีรีตอง ซึ่งเป็นเพียงเงาอันเปราะบางของความดีแท้
สิ่งสุดท้ายที่ข้าพเจ้าอยากจะเอ่ยคือ “ผู้ที่เข้าใจ จึงไม่ยึดติดเปลือกนอก แต่กลับไปหาความสงบเรียบง่ายในวิถีเต๋า เพราะเพียงเท่านี้… ก็เพียงพอแล้ว”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… แก่นแท้ของความดีและความสงบอยู่ที่การยึดถือความเรียบง่าย ความมั่นคง และความแท้จริงในใจตนเอง ไม่ใช่การโอ้อวดคุณสมบัติ ความเมตตา ความชอบธรรม หรือพิธีรีตองที่เป็นเพียงเงาภายนอก สิ่งที่แท้จริงอยู่ในใจ ไม่ต้องอวดใคร ไม่ต้องจัดพิธี ไม่ต้องสร้างภาพลักษณ์ใด ๆ เพราะเพียงการดำรงอยู่ของวิถีเต๋าก็เพียงพอที่จะนำพาความสงบสุขมาให้
ในนิทาน ขุนนางที่พยายามแสดงคุณสมบัติ เมตตา หรือความชอบธรรมเพื่อเรียกร้องความนับถือ กลับสร้างความสับสนและความวุ่นวายให้บ้านเมือง สิ่งแท้จริงเพียงอย่างเดียวคือการยึดถือเต๋าและความสงบภายในใจ ซึ่งเมื่อดำรงอยู่ บ้านเมืองก็สงบสุขได้โดยไม่ต้องพึ่งพิธีรีตองหรือการโอ้อวดใด ๆ
อ่านต่อ: นิทานเต้าเต๋อจิงแฝงข้อคิดดี ๆ และปรัชญาชีวิตสุดลึกซึ้งในวิถีเต๋าของเล่าจื๊อ
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องคุณลักษณะของวิถีเต๋า (อังกฤษ: About the Attributes of the Dao) นิทานเรื่องนี้มาจากคัมภีร์เต้าเต๋อจิง บทที่ 38 ซึ่งกล่าวถึง “คุณสมบัติและลำดับการสูญเสียสิ่งดี” อันเป็นแก่นแท้ของวิถีเต๋า ว่าผู้คนและผู้นำที่ยึดติดกับภาพลักษณ์ พิธีรีตอง หรือความโอ้อวด จะไม่สามารถรักษาความดีแท้ไว้ได้ ความเรียบง่าย ความมั่นคง และสิ่งแท้จริงจึงเป็นรากฐานที่สำคัญของความสงบและความยั่งยืน เล่าจื๊อได้บันทึกไว้ว่า:
เกี่ยวกับคุณสมบัติของเต๋า
ผู้ที่มีคุณสมบัติของเต๋าสูงสุด ไม่อวดอ้าง จึงครอบครองมันเต็มที่
ผู้ที่มีคุณสมบัติในระดับต่ำ กลัวสูญเสีย จึงครอบครองไม่เต็มผู้ที่มีคุณสมบัติสูงสุด ไม่ทำสิ่งใดเพื่อหวังผล
ผู้ที่มีคุณสมบัติระดับต่ำ มักต้องทำอยู่เสมอผู้ที่มีเมตตาสูงสุด ไม่ต้องพยายามปฏิบัติ
ผู้ที่มีความชอบธรรมสูงสุด ต้องพยายามปฏิบัติ
ผู้ที่มีความเหมาะสมสูงสุด มักแสดงออกเพื่อให้คนอื่นเห็น
และเมื่อไม่ได้รับการตอบสนอง ก็จะบังคับหรือย้ำจนได้ดังนั้น
เมื่อเต๋าสูญหาย คุณสมบัติของมันจึงปรากฏ
เมื่อคุณสมบัติสูญหาย เมตตาเกิดขึ้น
เมื่อเมตตาสูญหาย ความชอบธรรมเกิดขึ้น
เมื่อความชอบธรรมสูญหาย ความเหมาะสม (พิธีรีตอง) เกิดขึ้นความเหมาะสม (หรือพิธีรีตอง) คือรูปแบบเจือจางของความซื่อสัตย์
และมักเป็นจุดเริ่มต้นของความวุ่นวาย
ความฉลาดรวดเร็วเป็นเพียงดอกไม้ของเต๋า
และมักนำไปสู่ความโง่เขลาผู้ยิ่งใหญ่จึงยึดมั่นในสิ่งมั่นคง ละทิ้งสิ่งบางเบา
อยู่กับผล ไม่อยู่กับดอก จึงทิ้งสิ่งไร้ค่า และเลือกสิ่งสำคัญไว้
โดยเล่าจื๊อสอนว่า ผู้ที่เข้าใจลำดับการสูญเสียสิ่งดี ย่อมรู้จักแยกสิ่งแท้จากสิ่งเงา ไม่ยึดติดกับความโอ้อวดหรือพิธีภายนอก รู้จักรักษาความสงบและความเรียบง่ายในใจตนเอง จนสามารถดำรงชีวิตอย่างมั่นคงและผสานกับธรรมชาติแห่งเต๋าได้อย่างแท้จริง
นิทานเรื่องนี้จึงถูกแต่งขึ้นเพื่อสะท้อนคำสอนในบทดังกล่าว ผ่านเรื่องราวของขุนนางที่พยายามโอ้อวดคุณสมบัติ เมตตา และความชอบธรรม แต่กลับสร้างความวุ่นวายให้บ้านเมือง แม้ภายนอกดูสง่างาม แต่แท้จริงแล้วความเรียบง่ายและสิ่งแท้จริงที่อยู่ในใจเท่านั้น คือสิ่งที่จะนำไปสู่ความสงบสุขอย่างแท้จริง
คติธรรม: “ผู้ที่ยิ่งใหญ่ไม่ยึดติดกับเงาหรือพิธีภายนอก แต่รักษาความสงบและความแท้จริงในใจ เพราะเพียงสิ่งนี้ก็เพียงพอให้บ้านเมืองสงบสุข”

