ในโลกที่ความรักมักถูกอ้างเพื่อครอบครอง ความจริงของหัวใจจึงไม่อาจวัดด้วยถ้อยคำหรือแรงยื้อ บางครั้ง การยอมแพ้เงียบ ๆ กลับแสดงความรักได้ดังกว่าคำใดทั้งหมด มีเรื่องเล่านิทานชาดก ที่เปิดเผยหัวใจของผู้เป็นแม่ได้ชัดเจนกว่าสิ่งใด
มิใช่เรื่องของชัยชนะหรือความพ่ายแพ้ แต่เป็นเรื่องของการยอม… เพื่อไม่ให้ผู้เป็นที่รักต้องเจ็บ ท่ามกลางเหตุการณ์เรียบง่ายที่เกิดขึ้นริมแม่น้ำสายหนึ่ง ความจริงของรักแท้… ก็เผยตัวอย่างไม่มีสิ่งใดกลบได้ กับนิทานชาดกเรื่องความเจ็บปวดของแม่

เนื้อเรื่องนิทานชาดกเรื่องความเจ็บปวดของแม่
แสงแดดยามสายทอดตัวลงเหนือผิวน้ำใสของแม่น้ำสายหนึ่ง ในชนบทที่เงียบสงบ ชายตลิ่งร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ใหญ่ และดอกหญ้าที่ไหวเอนตามแรงลม หญิงชาวบ้านผู้หนึ่งเดินมาถึงลำธารพร้อมลูกน้อยในอ้อมแขน ท่าทางเธอเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานในเรือน แต่แววตายังอ่อนโยนไม่เปลี่ยน
เธอวางลูกน้อยไว้บนเสื่อผืนเล็กริมฝั่ง ใกล้ที่ตนจะลงไปตักน้ำอาบ เด็กทารกนอนมองฟ้าด้วยความไร้เดียงสา พลางยิ้มละไมกับใบไม้ที่ปลิวตามลม
“เจ้าอยู่นี่ก่อนนะลูก แม่จะอาบน้ำแป๊บเดียว” หญิงนั้นพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ก่อนค่อย ๆ ก้าวลงสู่ลำธาร
ที่ไม่ห่างไปนัก เงาร่างหนึ่งเคลื่อนไหวอยู่ในพุ่มไม้ มันคือปีศาจตนหนึ่งผู้หิวกระหายเนื้อเด็ก และกำลังมองทารกน้อยอย่างตาไม่กะพริบ ปีศาจตนนั้นแปลงกายเป็นหญิงสาวใบหน้าพริ้มเพรา แต่งตัวเหมือนหญิงชาวบ้านทั่วไป ก่อนย่างเท้าออกมาจากพงไม้ด้วยท่าทางนุ่มนวล
มันเดินเข้าใกล้ทารกช้า ๆ แล้วหยุดยืนใกล้เสื่อ หญิงผู้เป็นแม่เหลือบมองขึ้นจากลำธาร “ข้าขออุ้มลูกเจ้าไปเดินเล่นหน่อยได้ไหม ดูน่ารักนัก” ปีศาจกล่าวด้วยเสียงหวาน
หญิงนั้นมองดูหญิงแปลกหน้าอย่างลังเลเล็กน้อย แต่ด้วยที่อีกฝ่ายดูสุภาพอ่อนโยน ประกอบกับไม่มีท่าทีเป็นภัย นางจึงพยักหน้าอนุญาต
“ได้จ้ะ ระวังหน่อยก็พอ”
ปีศาจยิ้มแย้มรับคำ แล้วช้อนตัวทารกขึ้นมาเบา ๆ ก่อนหันหลังแล้วเดินจากไปอย่างเงียบเชียบ มันเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นเรื่อย ๆ สายตากลับกลายแข็งกร้าวทุกย่างก้าว ยิ่งห่างจากแม่น้ำ มันก็ยิ่งเผยความมุ่งร้ายชัดเจนขึ้นโดยไม่หันกลับมา
ไม่นานนัก หญิงผู้เป็นแม่ที่กำลังล้างหน้าก็หันมามองเสื่อ แล้วพบว่าลูกของตนไม่อยู่ตรงนั้นอีกแล้ว หัวใจเธอแทบหยุดเต้นในวินาทีนั้น เธอหันซ้ายหันขวาอย่างลนลาน และทันใดนั้นก็เหลือบไปเห็นหญิงแปลกหน้าคนนั้นวิ่งห่างออกไปไกลขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมเด็กในอ้อมแขน
“นั่นมันลูกข้า! หยุดนะ! หยุดเดี๋ยวนี้!”
เสียงร้องดังลั่นสั่นสะเทือนไปทั้งป่า แม่วิ่งออกจากลำธารโดยไม่สนเสื้อผ้าที่เปียกโชก ฝีเท้าเปลือยเปล่ากระแทกพื้นดินเสียงหนักแน่นทุกก้าว เธอวิ่งไล่ตามหญิงผู้นั้นสุดแรงเกิด
เมื่อวิ่งตามมาทัน เธอคว้าหญิงแปลกหน้าไว้ได้ แล้วตะโกนด้วยเสียงที่ทั้งสั่นและเปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัว
“เจ้าจะพาลูกข้าไปไหน! เอาลูกข้าคืนมา!”
แต่ปีศาจหันกลับมาด้วยสีหน้าตรงข้ามโดยสิ้นเชิง มันตวัดสายตาคมกริบใส่แม่ แล้วตอบอย่างเลือดเย็น
“เด็กคนนี้เป็นลูกข้า ไม่ใช่ของเจ้า”
คำพูดนั้นราวกับสายฟ้าฟาดกลางอก หญิงผู้เป็นแม่ชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะร้องลั่นด้วยน้ำเสียงปนทั้งความโกรธ ความสับสน และเจ็บปวด
“เจ้าพูดอะไร เจ้าขโมยลูกข้าไปกับตา แล้วมาพูดเช่นนี้ได้อย่างไร!”
เสียงโต้เถียงเริ่มดังขึ้น ทั้งสองคนต่างยื้อแย่งเด็กน้อย ผู้ซึ่งร้องไห้จ้าอยู่ในอ้อมแขนของปีศาจ ขณะนั้นเอง ชายชราผู้หนึ่งซึ่งแต่งกายเรียบง่าย เดินถือไม้เท้ามาท่ามกลางเสียงวุ่นวาย เขาเป็นนักบวชที่เร่ร่อนไปตามหมู่บ้าน เพื่อสั่งสอนธรรมแก่ผู้คน
เมื่อเขาเห็นภาพตรงหน้า ทั้งหญิงที่ร่ำไห้และหญิงอีกคนที่ยืนยันว่าเด็กเป็นลูกตน เขาจึงหยุดเท้า แล้วเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเรียบ
“เกิดอะไรขึ้นกันหรือ”
หญิงผู้เป็นแม่รีบบอกเล่าเหตุการณ์อย่างรวดเร็ว ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ปนเสียงร้องของลูกที่ยังไม่หยุด ส่วนปีศาจก็แสร้งเล่าเรื่องกลับกันอย่างแนบเนียน ชายชรารับฟังทั้งสองฝ่ายเงียบ ๆ แววตานิ่งสงบ แต่ลึกซึ้ง
ไม่นาน เขาพยักหน้าช้า ๆ แล้วกล่าวว่า “หากเจ้าแม่ทั้งสองต่างยืนยันว่าเด็กนี้เป็นลูกของตน เช่นนั้นเราคงต้องหาทางพิสูจน์ให้แน่ชัด”
หญิงทั้งสองหยุดพูดทันที ต่างจ้องมองชายชราอย่างมีความหวังปนสงสัย เขากวาดสายตาไปมองเด็กน้อยที่ยังคงร้องไห้ แล้วเอ่ยคำตัดสินอันไม่คาดคิด
“ให้ปีศาจจับแขนเด็ก และแม่อีกคนจับขา แล้วจงดึงเข้าหาตัว… ใครได้ไป เด็กคนนั้นเป็นของผู้นั้น”

ทันทีที่ชายชรากล่าวจบ ความเงียบงันก็เข้าปกคลุมโดยรอบ หญิงผู้เป็นแม่เบิกตากว้างด้วยความตกใจ นางก้มมองลูกน้อยที่ยังสะอื้นไห้แล้วเงยหน้าขึ้นสบตานักบวช สีหน้าสับสนและหวั่นไหวปรากฏชัดในแววตา ส่วนปีศาจนั้นกลับยิ้มอย่างพอใจ คิดว่าตนกำลังจะได้ในสิ่งที่ต้องการ
“ดึงเลยสิ หากเจ้าว่าเป็นลูกเจ้า ก็จงแย่งคืนไป” ปีศาจกล่าวพลางยกมือจับแขนเล็ก ๆ ของทารกไว้แน่น ส่วนหญิงผู้เป็นแม่ยื่นมือไปจับขาเล็ก ๆ ของลูกอย่างแผ่วเบา หยดน้ำตาค่อย ๆ ไหลริน
“ลูก… แม่ขอโทษนะ” เธอกระซิบแผ่วเหมือนพูดกับตัวเอง ท่ามกลางความเงียบงันและสายตาของผู้คนที่เริ่มมามุงดู
เสียงเด็กน้อยร้องลั่นทันทีเมื่อทั้งสองเริ่มออกแรง ปีศาจกระชากแขนเด็กอย่างไม่ปรานี เด็กดิ้นพล่านด้วยความเจ็บและตกใจ ร่างเล็ก ๆ เต็มไปด้วยเสียงร้องที่ไม่มีผู้ใดทนฟังได้นาน
หญิงผู้เป็นแม่ยืนตัวสั่น น้ำตาไหลไม่ขาดสาย มือที่เคยจับขาลูกไว้แน่นเริ่มอ่อนแรงลงเรื่อย ๆ ในที่สุด นางปล่อยมืออย่างช้า ๆ ยอมให้อีกฝ่ายดึงลูกไปทั้งน้ำตา
ปีศาจยิ้มเยาะ หันไปหานักบวชทันที “เห็นหรือไม่ เด็กนี้ของข้า”
แต่ก่อนที่มันจะก้าวเท้าออกไป ชายชรากลับยกมือขึ้นห้าม สีหน้าของเขานิ่งสนิท สายตาแน่วแน่ไม่ไหวเอน
“เด็กคนนี้… มิใช่ของผู้ที่ยื้อไว้สุดแรง แต่เป็นของผู้ที่ปล่อยมือ เพราะไม่อาจทนเห็นเขาเจ็บปวดได้ต่างหาก”
คำตัดสินของชายชราดังชัดเจน ทุกคนที่ยืนล้อมอยู่ต่างนิ่งเงียบ สีหน้าของปีศาจเปลี่ยนจากมั่นใจเป็นตื่นตระหนก มันก้าวถอยหลังอย่างช้า ๆ ขณะที่ชายชรายกไม้เท้าขึ้นในท่าไม่ขู่แต่ก็ไม่อ่อนข้อ
“ผู้ใดไร้เมตตาต่อเด็กเช่นนี้ ย่อมมิใช่แม่ที่แท้ หากยังคิดทำร้ายอีก ข้าจะไม่ละเว้น”
ปีศาจกัดฟันแน่น พอรู้ว่าถูกเปิดโปงก็แผดเสียงคำราม กลับคืนสู่ร่างอัปลักษณ์ในชั่วพริบตา แล้ววิ่งหนีหายไปในพงไม้กลางเสียงหวีดลั่น
หญิงผู้เป็นแม่รีบวิ่งเข้ามาอุ้มลูกน้อย ร่างกายของเธอสั่นสะท้านไม่หยุด แต่ในอ้อมแขนนั้น เด็กน้อยค่อย ๆ เงียบเสียงร้อง หัวใจที่หวาดกลัวกลับมาเต้นอย่างอบอุ่นอีกครั้ง
“ข้า… ข้าไม่รู้จะขอบพระคุณท่านอย่างไรดี ท่านช่วยชีวิตลูกข้าไว้” หญิงนั้นกล่าวทั้งน้ำตา น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเคารพยิ่ง
ชายชราเพียงยิ้มบาง ๆ แล้วกล่าวด้วยเสียงเรียบง่ายแต่กินใจ
“แม่ที่แท้ ไม่ใช่ผู้ที่อ้างสิทธิ์ แต่คือผู้ที่ยอมเจ็บแทนลูก แม้ต้องเสียเขาไป”
หญิงนั้นก้มกราบแทบเท้า ก่อนจะอุ้มลูกกลับเรือนด้วยหัวใจที่แม้ยังแหลกสลายจากเหตุการณ์ แต่ก็เต็มไปด้วยความรักอันแท้จริง
สายฝนยังคงตกลงมาเบา ๆ ละอองน้ำเย็นเกาะอยู่บนผิวไม้และใบหญ้า แต่ในอ้อมแขนของแม่ ลูกน้อยกลับอบอุ่นดั่งแสงตะวัน

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ความรักที่แท้จริงไม่ใช่การยื้อแย่ง ไม่ใช่การเอาชนะ หรือการอ้างสิทธิ์เหนือสิ่งใด แต่คือการยอมแม้ต้องสูญเสีย หากนั่นหมายถึงความสุขและความปลอดภัยของผู้เป็นที่รัก
หญิงผู้เป็นแม่ไม่ได้แสดงความรักด้วยคำพูดหวาน หรือการต่อสู้สุดแรง หากแต่แสดงออกด้วยการปล่อยมือในขณะที่หัวใจของเธอกำลังเจ็บปวดที่สุด เพราะเธอไม่อาจทนเห็นลูกต้องร้องไห้แม้เพียงครู่เดียว ขณะที่อีกฝ่าย แม้จะอ้างว่าเป็นผู้มีสิทธิ์ กลับไม่รู้สึกแม้แต่น้อยต่อเสียงร้องของเด็กผู้ไร้ทางสู้
นักบวชจึงไม่ตัดสินจากคำพูดของใคร แต่ตัดสินจากหัวใจที่แสดงออกผ่านการกระทำ ใครที่ยอมเจ็บแทนผู้ที่ตนรัก ย่อมเป็นเจ้าของหัวใจคนนั้นอย่างแท้จริง
ในโลกที่ความรักมักถูกใช้เป็นข้ออ้างเพื่อครอบครองและควบคุม นิทานเรื่องนี้เตือนเราว่า รักแท้คือการให้ ไม่ใช่การยื้อยุด รักแท้คือการเข้าใจ ไม่ใช่การเอาชนะ และรักแท้… คือการยอมเสีย เพื่อไม่ให้ผู้เป็นที่รักต้องเจ็บ
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานชาดกเรื่องความเจ็บปวดของแม่ (อังกฤษ: A Mother’s Pain) นิทานเรื่องนี้มีเค้าเรื่องจากชาดกเก่าแก่ ซึ่งพระพุทธองค์เคยตรัสเล่าไว้เมื่อครั้งมีภิกษุรูปหนึ่งเกิดความข้องใจว่า เหตุใดบางคนจึงรักและห่วงใยผู้อื่นถึงขั้นยอมเสียสละ แม้สิ่งนั้นจะเป็นที่รักที่สุดในชีวิต พระพุทธเจ้าจึงทรงเล่าเรื่องในอดีตกาลเมื่อครั้งพระองค์บังเกิดเป็นนักบวชผู้เปี่ยมด้วยเมตตา ได้พิจารณาคดีแย่งลูกระหว่างหญิงสองคน
ในบรรดาหญิงทั้งสอง ผู้หนึ่งเป็นมารดาที่แท้จริง ส่วนอีกคนเป็นยักษ์แปลงกายมาหวังช่วงชิงเด็กไปกิน แต่ด้วยปัญญาอันเฉียบคมของพระโพธิสัตว์ในชาตินั้น จึงคิดวิธีให้ทั้งสองฝ่ายดึงเด็กเข้าหาตน แล้วดูว่าผู้ใดทนเห็นเด็กเจ็บปวดไม่ได้
ผลคือมารดาที่แท้จริงเลือกที่จะปล่อยมือ เพราะความรักที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่อาจยอมให้ผู้เป็นที่รักต้องร้องไห้ แม้ต้องสูญเสียเขาไปตลอดชีวิต
นิทานชาดกเรื่องนี้จึงมิได้เป็นเพียงเรื่องของความฉลาดในการตัดสิน แต่เป็นการสอนให้รู้ว่า ความรักที่แท้จริง ย่อมคู่มากับความเสียสละเสมอ และผู้ที่รักด้วยใจ ย่อมแสดงออกด้วยการกระทำที่ไม่อิงคำพูดหรือเหตุผลใด ๆ เลย
ผู้ที่รักแท้ ไม่ใช่ผู้ที่ยื้อไว้เพื่อครอบครอง แต่คือผู้ที่ยอมปล่อยมือเพื่อไม่ให้ผู้เป็นที่รักต้องเจ็บ แม้ตัวเองจะต้องปวดร้าวเพียงใด ความรักที่แท้จริง ไม่จำเป็นต้องเอาชนะ แต่อยู่ที่ใคร “ยอมแพ้” เพราะทนเห็นน้ำตาของคนรักไม่ได้
“รักแท้ไม่ยื้อไว้เพื่อชนะ แต่ยอมปล่อยเพื่อไม่ให้คนที่รักต้องเจ็บ”