ในค่ำคืนที่มืดมิด ดวงจันทร์บนฟากฟ้าคือสิ่งที่ผู้คนเฝ้ามอง เธอเปลี่ยนรูปร่างทุกคืน ตั้งแต่บางเบาเหมือนเสี้ยวเล็ก ๆ ไปจนถึงกลมโตสมบูรณ์แบบ แต่ภายใต้แสงสว่างที่เธอเปล่งออกมา มีความปรารถนาอันลึกซึ้งที่เธอเก็บไว้ในใจ เธอเฝ้าฝันถึงบางสิ่งที่จะทำให้เธอโดดเด่นและงดงามกว่าที่เคย เพื่อเติมเต็มความฝันนี้
เธอจึงหันไปหาแม่ของเธอ ผู้ซึ่งมีฝีมืออันยอดเยี่ยมในการสร้างสรรค์สิ่งงดงาม ทว่า คำขอของดวงจันทร์อาจกลายเป็นเรื่องที่ยากเกินจะทำสำเร็จ ติดตามเรื่องราวความหวังและความท้าทายนี้ใน กับนิทานอีสปเรื่องดวงจันทร์กับแม่ของเธอ
เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องดวงจันทร์กับแม่ของเธอ
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในท้องฟ้ายามค่ำคืน ดวงจันทร์ผู้สว่างไสวมักเปลี่ยนรูปร่างของเธอไปเรื่อย ๆ บางวันเธอผอมบางเหมือนเสี้ยวเล็ก ๆ ที่แหว่งเว้า บางวันเธอกลมโตจนดูสมบูรณ์แบบ แต่บางคืนเธอก็แทบจะหายไปจนไม่มีใครมองเห็น แม้เธอจะเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แต่ดวงจันทร์ก็ชื่นชมตัวเองที่เป็นส่วนสำคัญของท้องฟ้า ทุกคนต่างเฝ้ามองเธอด้วยความหลงใหล
วันหนึ่ง ดวงจันทร์รู้สึกว่าตัวเองควรมีอะไรที่พิเศษมากกว่านี้ เธออยากดูงดงามและโดดเด่นมากกว่าที่เคย เธอจึงลงมายังพื้นโลกเพื่อขอร้องแม่ของเธอ ผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นช่างเย็บผ้าที่ดีที่สุด
“แม่จ๋า ข้ามีเรื่องจะขอร้อง” ดวงจันทร์พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “แม่ช่วยตัดชุดที่พอดีกับตัวข้าได้ไหม? ข้าอยากดูสวยงามในทุกคืนที่ข้าปรากฏตัวบนท้องฟ้า”
แม่ของเธอที่นั่งเย็บผ้าอยู่เงยหน้าขึ้นจากงานในมือ เธอยิ้มพลางมองลูกสาวด้วยสายตาอ่อนโยน “ชุดหรือ? ลูกจ๋า แม่ยินดีจะช่วยเจ้าหากทำได้ แต่เจ้าแน่ใจหรือว่าข้าจะสามารถทำชุดที่พอดีกับตัวเจ้าจริง ๆ?”
ดวงจันทร์หัวเราะเสียงใส “แน่นอนสิแม่! ท่านเป็นช่างเย็บผ้าผู้เก่งกาจที่สุด ไม่มีอะไรที่ท่านทำไม่ได้ ข้าต้องการชุดที่สวยงามพอดีตัว ไม่ว่าจะเป็นคืนที่ข้าเป็นเพียงเสี้ยวเล็ก ๆ หรือคืนที่ข้ากลมโตเต็มดวง ชุดของข้าจะต้องพอดีกับรูปร่างของข้าเสมอ”
แม่ของเธอวางเข็มกับด้ายลงอย่างช้า ๆ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ลูกเอ๋ย ข้าเข้าใจความต้องการของเจ้า แต่เจ้าคิดหรือว่ารูปร่างของเจ้านั้นมั่นคง? วันนี้เจ้าผอมบางเหมือนเสี้ยวเล็ก ๆ หากข้าตัดชุดให้พอดีกับรูปร่างของเจ้าวันนี้ พรุ่งนี้เจ้าที่กลมโตเต็มดวงคงไม่สามารถสวมมันได้ หรือในคืนที่เจ้าหายไปจนไม่มีใครมองเห็น ข้าจะต้องทำชุดให้เจ้าอย่างไร?”
ดวงจันทร์นิ่งเงียบ เธอพยายามคิดตามคำพูดของแม่ “แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับท่านนี่นา แม่เป็นช่างฝีมือชั้นเลิศ ท่านสามารถปรับเปลี่ยนชุดของข้าตามรูปร่างได้ตลอดเวลามิใช่หรือ?”
แม่ของเธอส่ายหน้า “การเปลี่ยนแปลงไม่หยุดนิ่งของเจ้าทำให้ไม่มีชุดใดที่ข้าสามารถตัดให้พอดีได้ตลอดเวลา ลูกต้องเข้าใจว่าความไม่แน่นอนของเจ้านั่นเองที่ทำให้สิ่งที่เจ้าอยากได้กลายเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ข้าอยากช่วยเจ้า แต่เจ้าเองต่างหากที่ต้องหาความคงที่ในตัวเอง หากเจ้าเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ข้าคงไม่อาจสร้างสิ่งใดที่เหมาะสมกับเจ้าได้เลย”
ดวงจันทร์ฟังคำพูดของแม่อย่างตั้งใจ เธอเริ่มตระหนักได้ว่าการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของเธอเองทำให้สิ่งที่เธอขอนั้นเป็นไปไม่ได้ เธอถอนหายใจเบา ๆ และพูดขึ้น “ข้าเข้าใจแล้วแม่ ข้าอาจต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับในสิ่งที่ข้าเป็น แทนที่จะพยายามเปลี่ยนให้ทุกสิ่งรอบตัวเหมาะกับข้า”
แม่ของเธอยิ้มอย่างภูมิใจ “นั่นแหละคือคำตอบที่แท้จริง บางครั้งสิ่งที่สวยงามที่สุดไม่ได้มาจากการเปลี่ยนแปลงสิ่งรอบตัว แต่เป็นการยอมรับความเป็นตัวเองของเจ้า”
ตั้งแต่นั้นมา ดวงจันทร์จึงไม่ขอให้แม่ตัดชุดให้เธออีก และเธอก็เรียนรู้ที่จะชื่นชมตัวเองในทุกคืน ไม่ว่าจะเป็นวันที่เธอเป็นเพียงเสี้ยวเล็ก ๆ หรือคืนที่เธอกลมโตเต็มดวง
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความไม่แน่นอนและการเปลี่ยนแปลงที่ไม่หยุดนิ่ง อาจทำให้สิ่งที่เราปรารถนาหรือพยายามสร้างสรรค์กลายเป็นเรื่องยาก การเรียนรู้ที่จะยอมรับในความเป็นตัวของตัวเอง และปรับตัวให้เหมาะสมกับสถานการณ์ เป็นสิ่งสำคัญที่จะนำพาความสุขและความสมดุลมาสู่ชีวิต
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานอีสปเรื่องดวงจันทร์กับแม่ของเธอ (อังกฤษ: The Moon and her Mother) เป็นนิทานกรีกโบราณที่มีการเชื่อมโยงกับอีสปอย่างไม่แน่ชัด นิทานเรื่องนี้ได้รับการจัดอยู่ในลำดับที่ 468 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) แม้ปัจจุบันนิทานนี้จะถูกรวมอยู่ในคอลเลกชันนิทานอีสปหลายฉบับ แต่ข้อคิดที่ได้จากนิทานแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับผู้เล่า การตีความในเรื่องจึงมีความหลากหลาย
ดวงจันทร์ขอให้มารดาทอเสื้อให้พอดีกับขนาดของเธอ แต่มารดาตอบว่า “ข้าจะทอให้พอดีได้อย่างไร? เพราะบางครั้งข้าเห็นเจ้ากลมเต็มดวง บางครั้งเป็นเพียงเสี้ยว และบางครั้งก็มีขนาดแค่เพียงครึ่งหนึ่งของเจ้าตอนเต็มดวง”
ข้อสรุปที่ คลีโอบูลัส (Cleobulus) ให้ไว้คือ “ไม่มีขอบเขตของทรัพย์สมบัติใดที่เหมาะสมกับคนโง่เขลาและไร้คุณค่า”