นิทานอีสปเรื่องโมมัสเทพเจ้าแห่งการวิจารณ์

ปกนิทานอีสปเรื่องโมมัสเทพเจ้าแห่งการวิจารณ์

ในโลกที่เต็มไปด้วยความหลากหลายของความคิดและการสร้างสรรค์ การมองหาความสมบูรณ์แบบในทุกสิ่งอาจเป็นทั้งพรและคำสาป เช่นเดียวกับเรื่องราวของโมมัส เทพแห่งการวิพากษ์วิจารณ์ ผู้ซึ่งถูกเรียกตัวให้ตัดสินผลงานของเหล่าเทพเจ้าผู้ทรงพลัง

ความสามารถในการมองเห็นข้อบกพร่องของเขาจะช่วยสร้างสรรค์ หรือกลับกลายเป็นปัญหาใหญ่สำหรับตัวเขาเอง มาร่วมติดตามบทสรุปของการแข่งขันครั้งสำคัญนี้… กับนิทานอีสปเรื่อง

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องโมมัสเทพเจ้าแห่งการวิจารณ์

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องโมมัสเทพเจ้าแห่งการวิจารณ์

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ สรวงสวรรค์ เหล่าเทพเจ้าผู้ทรงพลังได้ร่วมกันจัดการแข่งขัน เพื่อพิสูจน์ว่าใครสามารถสร้างสิ่งที่สมบูรณ์แบบที่สุดในโลก ซุส ราชาแห่งเทพเจ้า โพไซดอน เทพแห่งท้องทะเล และอะธีนา เทพีแห่งปัญญา ต่างมุ่งมั่นที่จะสร้างสิ่งที่แสดงถึงพลังและความสามารถของตน

ซุสสร้างมนุษย์ขึ้นมา สิ่งมีชีวิตที่ดูชาญฉลาดและแข็งแรง มนุษย์มีรูปร่างสง่างาม มีสองมือสองเท้า และมีสมองสำหรับคิดวิเคราะห์

โพไซดอนสร้างวัวที่ทรงพลัง ด้วยร่างกายที่กำยำและเขาแหลมคม วัวตัวนี้เป็นสัตว์ที่ทั้งแข็งแรงและเชื่อว่ามีความสามารถที่จะช่วยมนุษย์ในด้านแรงงานและการต่อสู้

อะธีนาเลือกสร้างบ้าน ซึ่งเป็นสิ่งที่แสดงถึงความมั่นคงและความปลอดภัย บ้านที่เธอสร้างมีความแข็งแรง สวยงาม และพร้อมจะเป็นที่พักพิงสำหรับผู้คน

เมื่อทุกสิ่งเสร็จสมบูรณ์ เหล่าเทพเจ้าเรียกหาโมมัสเทพแห่งการวิพากษ์วิจารณ์ เพื่อให้เขามาเป็นผู้ตัดสิน โมมัสขึ้นชื่อเรื่องการมองหาข้อบกพร่องในทุกสิ่ง และด้วยนิสัยนี้เองที่ทำให้เหล่าเทพรู้สึกสนใจว่าเขาจะพูดอะไร

โมมัสเริ่มต้นด้วยการพิจารณามนุษย์ของซุส เขาเดินวนรอบมนุษย์ ก่อนจะยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า
“ซุส มนุษย์ของเจ้าดูเหมือนจะฉลาดก็จริง แต่ข้าคิดว่ามีข้อบกพร่องสำคัญ”

ซุสเลิกคิ้ว “ข้อบกพร่องอะไรหรือ โมมัส?”

โมมัสยิ้มอย่างมั่นใจ “พวกเขาควรมีช่องที่หน้าอก เพื่อให้มองเห็นความคิดในใจได้ เจ้าคิดดูสิ ถ้ามนุษย์สามารถมองเห็นความคิดของกันและกันได้ พวกเขาจะซื่อสัตย์ต่อกัน ไม่มีความลับหรือการโกหก มันคงจะทำให้พวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง”

ซุสขมวดคิ้วเล็กน้อย “มนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อความโปร่งใสเช่นนั้น แต่เพื่อเรียนรู้และเติบโตจากการกระทำของตนเอง ช่องที่เจ้าพูดถึงอาจทำลายความเป็นส่วนตัวของพวกเขา”

โมมัสยักไหล่แล้วเดินไปที่วัวของโพไซดอน เขาเพ่งมองมันอย่างใกล้ชิด ก่อนจะพูดขึ้น
“วัวตัวนี้ดูแข็งแกร่งก็จริง แต่โพไซดอน เจ้ารู้ไหมว่ามันมีข้อบกพร่องที่ชัดเจน?”

โพไซดอนหัวเราะเบา ๆ “ข้อบกพร่อง? ข้าสร้างมันให้แข็งแรงที่สุดแล้ว เจ้าคิดว่าวัวของข้าบกพร่องตรงไหน?”

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องโมมัสเทพเจ้าแห่งการวิจารณ์ 2

โมมัสชี้ไปที่เขาของวัวแล้วกล่าวว่า “ดวงตาของมันควรอยู่ใต้เขา จะทำให้มันเล็งเป้าหมายได้แม่นยำยิ่งขึ้นเวลาใช้เขาพุ่งชน ข้าคิดว่าวิธีนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของมันได้อีกมาก”

โพไซดอนหัวเราะเยาะ “ดวงตาของวัวอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมแล้ว โมมัส การเปลี่ยนดวงตาไปไว้ใต้เขา จะทำให้มันมองเห็นรอบข้างไม่ได้ เจ้าอย่าเพ้อเจ้อไปเลย”

โมมัสขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปดูบ้านของอะธีนา เขาใช้เวลาสำรวจอยู่นานก่อนจะเอ่ยขึ้น “อะธีนา บ้านของเจ้าดูแข็งแรงและงดงามมาก แต่ข้ากลับพบว่ามันขาดความยืดหยุ่น”

อะธีนาถามกลับ “เจ้าหมายถึงอะไร โมมัส? บ้านหลังนี้ถูกสร้างมาเพื่อปกป้องผู้อยู่อาศัยอย่างดีที่สุดแล้ว”

โมมัสกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นใจ “บ้านควรมีล้อ เพื่อให้เจ้าของสามารถเคลื่อนย้ายมันไปยังที่ที่พวกเขาต้องการได้ เจ้าคิดดูสิ หากบ้านสามารถขยับไปมาได้ พวกเขาจะสามารถหนีภัยพิบัติหรือย้ายไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัยกว่าได้อย่างง่ายดาย”

อะธีนาส่ายหัว “บ้านไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อเคลื่อนย้าย มันคือสัญลักษณ์ของความมั่นคงและปลอดภัย หากมันเคลื่อนที่ได้ง่าย มันก็จะไม่ใช่บ้านที่แท้จริง”

เหล่าเทพทั้งสามต่างรู้สึกไม่พอใจกับคำวิจารณ์ของโมมัส ซุสกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“โมมัส เจ้าหาแต่ข้อบกพร่องในทุกสิ่งที่เราได้สร้างขึ้น ทั้งที่สิ่งเหล่านี้ถูกสร้างมาเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะอย่าง เจ้าลืมไปหรือว่าความสมบูรณ์แบบไม่ได้หมายความว่ามันจะต้องเป็นไปตามความคิดของเจ้าเสมอไป?”

โพไซดอนเสริม “เจ้ามองแต่ความผิดพลาดโดยไม่ชื่นชมสิ่งที่ดีงาม โมมัส เจ้าลองหัดมองโลกด้วยสายตาใหม่เถิด ไม่เช่นนั้นเจ้าจะไม่มีวันได้เห็นคุณค่าของสิ่งใดเลย”

อะธีนากล่าวด้วยน้ำเสียงสุขุม “การวิจารณ์ที่ดีคือการสร้างสรรค์และช่วยพัฒนา แต่เจ้าเพียงวิจารณ์เพื่อจับผิด นั่นไม่ได้ช่วยอะไรเลย”

ท้ายที่สุด โมมัสถูกเหล่าเทพเจ้าเนรเทศออกจากสวรรค์ และเรื่องราวของเขากลายเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าการวิจารณ์ที่ขาดความสร้างสรรค์ ไม่เพียงแต่ทำร้ายผู้อื่น แต่ยังทำให้ตัวเองสูญเสียความน่าเชื่อถือไปด้วย

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องโมมัสเทพเจ้าแห่งการวิจารณ์ 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การวิจารณ์ที่ดีควรเป็นไปเพื่อสร้างสรรค์และช่วยพัฒนาสิ่งต่าง ๆ ไม่ใช่เพียงเพื่อจับผิดหรือแสดงความเหนือกว่า เพราะการมองหาข้อบกพร่องในทุกสิ่งโดยปราศจากความเข้าใจและการเห็นคุณค่า อาจทำให้เราไม่เพียงพลาดโอกาสในการชื่นชมสิ่งที่ดีงาม แต่ยังสูญเสียความเชื่อถือและความสัมพันธ์กับผู้อื่นอีกด้วย

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องโมมัสเทพเจ้าแห่งการวิจารณ์ (อังกฤษ:) โดยโมมัส (Momus) ในตำนานเทพเจ้ากรีกเป็นตัวแทนของการเสียดสีและการเย้ยหยัน ซึ่งเรื่องราวของเขาปรากฏในนิทานอีสปสองเรื่อง ในยุคเรเนซองส์ โมมัสถูกนำมาใช้ในงานวรรณกรรมหลายชิ้น เพื่อเป็นกระบอกเสียงในการวิพากษ์วิจารณ์การปกครองแบบทรราช ขณะที่ในภายหลังเขากลายเป็นผู้วิจารณ์สังคมร่วมสมัย ในบทละคร โมมัสได้เปลี่ยนบทบาทมาเป็นตัวละครที่สร้างความสนุกสนานโดยไม่ก่อให้เกิดอันตราย เป็นตัวแทนของการวิจารณ์เชิงขบขันที่ไม่ได้มุ่งร้าย

นิทานเรื่องนี้ได้รับการจัดอยู่ในลำดับที่ 100 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ)

ในนิทานนี้ โมมัสถูกขอให้ตัดสินผลงานของเทพเจ้าสามองค์ (ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามเวอร์ชัน) ได้แก่ มนุษย์ บ้าน และวัว โมมัสตำหนิผลงานทั้งหมด: มนุษย์ถูกตำหนิที่ไม่มีหัวใจที่มองเห็นได้ เพื่อให้ผู้อื่นสามารถตัดสินความคิดของเขาได้, บ้านถูกตำหนิที่ไม่มีล้อสำหรับเลี่ยงเพื่อนบ้านที่น่ารำคาญ, วัวถูกตำหนิที่ไม่มีตาอยู่บนเขาเพื่อใช้มองเห็นขณะพุ่งชน

นิทานเรื่องนี้จึงสะท้อนให้เห็นถึงความไร้เหตุผลของการวิจารณ์ที่ไม่มีที่สิ้นสุด

นิทานอีสปเรื่องอื่น ๆ

ติดตามนิทานทุกรูปแบบได้ที่ talezzz.com