ปกนิทานกริมม์เรื่องชายหนุ่มผู้ไปเรียนรู้ความกลัว

นิทานกริมม์เรื่องชายหนุ่มผู้ไปเรียนรู้ความกลัว

มีชายหนุ่มผู้ใฝ่รู้และสงสัยในสิ่งที่คนทั่วไปต่างหวาดกลัว อยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ ริมป่า เขาอยากรู้ว่า “ความกลัว” เป็นอย่างไรจริง ๆ

มีเรื่องเล่าขานจากนิทานกริมม์เรื่องหนึ่ง เกี่ยวกับชายหนุ่มผู้เดินทางเพื่อเรียนรู้สิ่งที่เรียกว่า “ความกลัว” โดยเผชิญเหตุการณ์ลึกลับและประหลาดในเส้นทางของเขา กับนิทานกริมม์เรื่องชายหนุ่มผู้ไปเรียนรู้ความกลัว

ภาพประกอบนิทานกริมม์เรื่องชายหนุ่มผู้ไปเรียนรู้ความกลัว

เนื้อเรื่องนิทานกริมม์เรื่องชายหนุ่มผู้ไปเรียนรู้ความกลัว

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ หมู่บ้านเล็ก ๆ ริมป่า มีชายชราผู้หนึ่งอาศัยอยู่กับลูกชายสองคน คนพี่ฉลาดหลักแหลม รู้จักการทำมาหากิน ส่วนคนน้องนั้น… โง่เสียจนใคร ๆ ก็เอือม แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็มีหัวใจที่ซื่อที่สุดในหมู่บ้าน

“พ่อครับ” วันหนึ่ง เขาเอ่ยขึ้นตอนกำลังสับฟืนอยู่หลังบ้าน “ทำไมใคร ๆ เวลาพูดถึง ‘ความกลัว’ ถึงทำหน้าเหมือนโดนน้ำเย็นราดหัว? ความกลัวนี่มันเป็นยังไงเหรอครับ?”

พ่อถอนหายใจยาว “เจ้าอย่าเอาแต่พูดเรื่องไร้สาระเลย มันไม่ใช่เรื่องที่ใครอยากเรียนรู้หรอก ลูกเอ๋ย คนที่กลัวคือคนที่เจ็บ คนที่โง่คือคนที่อยากเจ็บเองนั่นแหละ”

แต่เจ้าหนุ่มกลับยิ้มแฉ่ง “ถ้างั้นข้าอยากเป็นคนโง่สักหน่อยก็แล้วกัน พ่อจะได้สอนข้าว่าทำยังไงถึงจะกลัว”

เมื่อพ่อเห็นลูกพูดจริง เขาจึงส่งไปอยู่กับสัปเหร่อในเมือง หวังให้ได้เห็นผีสักครั้ง จะได้รู้เสียทีว่า “กลัว” คืออะไร

คืนนั้นในห้องเก็บศพมืดทึบ เจ้าหนุ่มถูกสั่งให้นอนเฝ้าศพคนตาย “อย่าทำเสียงดังล่ะ เดี๋ยวผีมันจะลุกขึ้นมา!” สัปเหร่อกระซิบแหย่

ผี? ข้าอยากเห็นจังเลยว่าจะทำให้ข้ากลัวได้ไหม… เด็กหนุ่มคิดขณะนั่งมองโลงไม้เบื้องหน้า

พริบตานั้น เสียงเอี๊ยดอ๊าดดังขึ้นจากมุมห้อง เงาดำค่อย ๆ ขยับตรงเข้าใกล้ เขาเหลียวมองแล้วพูดอย่างสงสัย “นั่นใครน่ะ?”

เงาไม่ตอบ แต่โผล่มาอีกก้าว เป็นสัปเหร่อที่คลุมผ้าขาว แสร้งทำเป็นผีจะหลอกเขาให้ตกใจ

แต่เด็กหนุ่มกลับคว้าไม้เท้าในมือแล้วฟาดตูม! “เจ้าผีบ้า! อย่ามาแหย่ข้า!” จนคนแก่ร้องลั่น “พอ ๆ ๆ ขาหักแล้วโว้ย!”

รุ่งเช้า พ่อสัปเหร่อโกรธจนไล่เขาออกจากงาน “ไปให้พ้น ไอ้หนุ่มหัวทื่อ! เจ้าไม่รู้จักกลัวก็ไปหาที่อื่นเรียนเอาเองเถอะ!”

เขาจึงเก็บของเดินออกจากเมือง พร้อมเงินไม่กี่เหรียญในกระเป๋า บ่นไปตามทาง “ถ้าข้าเพียงแต่รู้ว่าความกลัวมันเป็นยังไง ข้าคงดีใจนัก”

เด็กหนุ่มเดินทางไปตามถนนสายยาว ผ่านป่า ทุ่ง และหมู่บ้านมากมาย ทุกที่ที่ไป เขาจะถามคำถามเดียวกันว่า “จะทำยังไงถึงจะรู้จักกลัว?”

ผู้คนบางคนหัวเราะเยาะ “เจ้ามันคนบ้า! ใครเขาอยากกลัวกันเล่า”

แต่บางคนกลับตอบ “ไปเฝ้าปราสาทผีสิงนู่นสิ ใครอยู่ได้สามคืนจะได้แต่งกับเจ้าหญิง ได้ทองคำอีกเท่าภูเขา!”

ตาของเขาเป็นประกาย “จริงเหรอ! งั้นข้าต้องไปลองดูแล้ว!”

เมื่อเดินถึงเมืองหลวง เขาเข้าเฝ้ากษัตริย์ทันที “ฝ่าบาท ข้าอยากไปเฝ้าปราสาทผีสิง ให้ข้าได้ลองรู้จักความกลัวเถิด”

กษัตริย์มองหน้าเขาอย่างประหลาด “เจ้ารู้ไหมว่าทุกคนที่ไปก่อนหน้าไม่เคยกลับมา”

“งั้นยิ่งดีครับ ถ้าข้าตายเพราะความกลัว อย่างน้อยข้าก็จะได้รู้ว่ามันเป็นยังไง!”

พระราชายิ้มทั้งเอ็นดูทั้งงง “เจ้ามันประหลาดจริง ๆ เอาเถอะ ถ้าเจ้าอยู่ได้ครบสามคืน ข้าจะให้เจ้าหญิงกับทองคำมหาศาล แต่ถ้าเจ้าตาย…ก็อย่ามาโทษข้า”

คืนนั้น เขาได้พักในห้องโถงใหญ่ของปราสาทร้าง ที่เต็มไปด้วยฝุ่น เศษไม้ และเสียงลมหวีดหวิวพัดลอดหน้าต่าง

เขาก่อไฟกลางห้อง หยิบไม้ขึ้นมาเหลาเตรียมทำอาหาร “คืนนี้ผีจะมาหรือเปล่านะ” เขาพึมพำ

แล้วเสียงแปลกประหลาดก็ดังขึ้น… “เหมียวววว…”

แมวดำสองตัวตัวโตเท่าหมาโผล่มาจากความมืด ตาเรืองแสงสีเขียว เดินวนรอบเขาอย่างหิวโหย

“พวกเจ้ามาเล่นกับข้าเหรอ?” เขายิ้ม “งั้นนั่งด้วยกันสิ ข้าจะหั่นเนื้อให้กิน”

แมวส่งเสียงครางต่ำ “เหมียว…” ก่อนจะกระโจนเข้าหาเขา

แต่เด็กหนุ่มกลับเฉือนหางมันด้วยมีดแล้วโยนออกไป “อย่ากัดข้านะสิ เจ้าแมวดื้อ!”

แมวร้องโหยหวนแล้วหนีหายไปในเงามืด ทิ้งให้เจ้าหนุ่มนั่งข้างกองไฟอย่างงุนงง

“นี่หรือคือความกลัว? ทำไมมันไม่รู้สึกอะไรเลยนะ…” เขาพึมพำ ก่อนเอนตัวพิงกำแพง แล้วหลับไปอย่างสบายใจ

ภาพประกอบนิทานกริมม์เรื่องชายหนุ่มผู้ไปเรียนรู้ความกลัว 2

คืนที่สองมาถึง เสียงระฆังยามค่ำดังแผ่วลอยมาตามลม เด็กหนุ่มก่อไฟอีกครั้งกลางห้องโถงใหญ่ของปราสาท และบ่นเบา ๆ “วันนี้จะมีใครมาหลอกข้าอีกไหมนะ ข้าอยากรู้จักความกลัวเสียที”

ทันใดนั้น ประตูบานใหญ่ก็เปิดออกเอง เสียงลั่นสนั่นจนฝุ่นปลิวว่อน ลมเย็นพัดวูบดับกองไฟ เหลือเพียงแสงจันทร์สาดผ่านหน้าต่าง

มีชายสองคนเดินออกมาจากเงามืด แบกโลงศพมาวางไว้ตรงหน้าเขาอย่างช้า ๆ แล้วเสียงหนึ่งพูดว่า “เจ้าจะช่วยเราฝังเพื่อนคนนี้ไหม?”

เด็กหนุ่มลุกขึ้น พูดนิ่ง ๆ “แน่นอนสิ คนตายก็สมควรได้พักผ่อน”

เขายื่นมือไปช่วยแบก แต่ทันทีที่มือแตะโลง ฝาโลงก็เปิดออก ในนั้นคือร่างคนตายที่ตาเบิกโพลง!

เด็กหนุ่มกลับพูดเฉย ๆ “เจ้าหนาวใช่ไหม? มานี่ ข้าจะอังไฟให้”

เขาก่อไฟอีกครั้ง พูดไปเรื่อยขณะช่วยจับมือศพยื่นเข้าใกล้ไฟ “อุ่นขึ้นไหมล่ะ?”

แต่แล้วศพค่อย ๆ ขยับ… เสียงแหบพร่าดังขึ้น “ข้า…หนาว…”

“ก็ข้ากำลังอังให้อยู่นี่ไง” เขาตอบหน้าตาเฉย

ศพนั้นลุกพรวดขึ้น คว้าแขนเขาไว้แน่นเหมือนจะดึงเข้าไปในโลง เด็กหนุ่มสะบัดสุดแรง แล้วผลักมันกลับลงไปพูดเสียงขุ่น “อย่าซนสิ! เจ้าได้ความอบอุ่นแล้วก็ไปนอนได้!”

เขาปิดฝาโลงดัง ปัง! แล้วเดินกลับมานั่งข้างกองไฟ พูดพลางหาว “ข้าไม่เห็นจะกลัวเลยสักนิด…”

รุ่งเช้า ข้ารับใช้ในเมืองแอบมาดู เห็นเขานอนหลับอย่างสบาย ก็ส่ายหน้า “หมอนี่มันคนหรือปีศาจกันแน่เนี่ย?”

คืนที่สาม คืนสุดท้าย แสงจันทร์เต็มดวงลอยเหนือปราสาทเก่า ราวกับรู้ว่าจะเกิดเรื่องไม่ธรรมดา

เด็กหนุ่มเริ่มคุ้นชินกับความเงียบของที่นี่ เขาก่อไฟ เตรียมหม้อหุงอาหาร พูดพึมพำ “คืนนี้คงไม่มีอะไรอีกสินะ… น่าเบื่อจัง”

ทันใดนั้น เสียงกระทืบเท้าดังสนั่นจากเพดาน ทั้งห้องสั่นสะเทือน ฝุ่นตกกระจาย

“ใครอยู่บนนั้น?” เขาตะโกนขึ้นไป

สิ้นคำถาม พื้นเพดานก็เปิดออก โครม! ศีรษะมนุษย์สิบหัวกลิ้งลงมาตรงหน้าเขา กลิ้งเป็นวงรอบกองไฟ ตาเบิกโพลง จ้องเขาไม่กะพริบ

แต่เขากลับพูดนิ่ง ๆ “พวกเจ้ามาได้ก็ดีสิ จะเล่นลูกบอลกันไหม?” แล้วหยิบหัวขึ้นมาขว้างเล่น เหมือนเด็กเล่นลูกแก้ว

ทันใดนั้น ร่างของเจ้าของหัวทั้งสิบโผล่ลงมาประกอบเข้ากัน พากันหัวเราะเสียงแหบ “เจ้ากล้าเล่นกับเรางั้นหรือ?”

“แน่นอนสิ! แต่พวกเจ้าจะเล่นไพ่กับข้าก่อนไหม?” เด็กหนุ่มพูดหน้าตาย แล้วหยิบสำรับไพ่มาวางกลางวง

เหล่าผีหัวเราะลั่น เสียงก้องไปทั่วห้อง แล้วค่อย ๆ จางหายไปเหมือนควัน ก่อนทิ้งไว้เพียงความเงียบ

เช้าวันที่สี่ เขาตื่นขึ้นมาอย่างสบายใจ กษัตริย์เสด็จมาดูด้วยตนเอง “เจ้าอยู่ครบสามคืนแล้วงั้นหรือ?”

เด็กหนุ่มยิ้ม “ใช่แล้วฝ่าบาท แต่ข้าก็ยังไม่รู้เลยว่าความกลัวมันคืออะไร…”

กษัตริย์หัวเราะจนเสียงก้อง “เจ้านี่แหละคนแปลกที่สุดในอาณาจักร! งั้นจงแต่งกับเจ้าหญิงและครอบครองทองคำตามสัญญาเถิด”

หลังพิธีแต่งงาน เจ้าหญิงแสนสวยยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน แต่ก็นึกขำที่สามีของตนไม่รู้จักแม้แต่ความกลัว

คืนหนึ่ง ขณะที่เขากำลังหลับ เจ้าหญิงแกล้งลอบหยิบปลาทองตัวเล็ก ๆ ที่จับได้จากลำธาร แช่น้ำเย็นจัด แล้วเทใส่ตัวเขา

“อ๊ากกก! หนาว! หนาวจะตายอยู่แล้ว!” เขากระโดดพรวดขึ้นจากเตียง หน้าซีดเป็นไก่ต้ม

เจ้าหญิงหัวเราะร่า “ในที่สุดเจ้าก็รู้แล้วว่าความกลัวเป็นยังไง มันแค่ความเย็นที่ใจยังไม่เคยเจอเท่านั้นเอง”

เด็กหนุ่มเกาหัว ก่อนหัวเราะตาม “อ้อ…นี่สินะ ความกลัว!”

ภาพประกอบนิทานกริมม์เรื่องชายหนุ่มผู้ไปเรียนรู้ความกลัว 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ความกลัวเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเผชิญและไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ มันไม่ใช่เพียงอารมณ์ที่ทำให้เราตกใจหรือหวาดหวั่น แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เราเรียนรู้ เข้าใจตัวเอง ตระหนักถึงความเปราะบางของชีวิต และเติบโตขึ้นทั้งทางใจและปัญญา

อ่านต่อ: คอลเลคชั่นนิทานกริมม์อ่านสนุกเพลิดเพลิน อ่านได้ทุกวัยที่นี่ taleZZZ.com

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานกริมม์เรื่องชายหนุ่มผู้ไปเรียนรู้ความกลัว (อังกฤษ: The Story of the Youth Who Went Forth to Learn What Fear Was) นิทานเรื่องนี้เป็นหนึ่งในคอลเลคชั่นลำดับ 004 ของนิทานกริมม์ (KHM 004) ซึ่งรวบรวมโดยพี่น้องกริมม์ ชาวเยอรมันในศตวรรษที่ 19 เพื่อบันทึกเรื่องเล่าพื้นบ้านและวัฒนธรรมท้องถิ่นให้คงอยู่

เรื่องราวในนิทานสะท้อนถึงการเรียนรู้ความกลัวของมนุษย์ ผ่านการผจญภัยของเด็กหนุ่มที่ไม่รู้จักหวาดกลัวต่อสิ่งลึกลับและสิ่งเหนือธรรมชาติ การเผชิญหน้ากับผี ปีศาจ และเหตุการณ์ประหลาดต่าง ๆ ทำให้เขาได้เรียนรู้ว่า ความกลัวไม่ใช่สิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง แต่เป็นความรู้สึกที่เตือนใจและทำให้เข้าใจชีวิตมากขึ้น

เด็กหนุ่มกลับได้รู้จักความกลัวจริง ๆ ผ่านสิ่งง่าย ๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น ความเย็นจากน้ำที่เจ้าหญิงแกล้งให้สัมผัส ทำให้ผู้เล่าและผู้อ่านเข้าใจว่า ความกลัวนั้นอยู่รอบตัวและเกิดจากการตระหนักถึงสิ่งที่ใจยังไม่เคยพบเจอ ความกลัวจึงเป็นบทเรียนสำคัญในการเติบโตและเข้าใจตัวเองอย่างแท้จริง

คติธรรม: “ความกลัวไม่ใช่ศัตรู แต่เป็นครูผู้สอนใจ ให้เรารู้จักระวัง เข้าใจตัวเอง และเติบโตผ่านประสบการณ์ที่ยังไม่เคยเผชิญ”