เมื่อโลกพังทลาย หลายคนมักรีบสร้างใหม่ด้วยความกลัวจะสูญสิ้น แต่ในคำสอนของเต๋า เล่าจื๊อกลับชี้ว่า ความมั่นคงไม่ได้เกิดจากสิ่งที่สร้างขึ้น หากเกิดจากใจที่ไม่ล้มตามสิ่งที่พัง
มีนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องหนึ่ง ที่เล่าถึงชายผู้สูญเสียทุกอย่าง แต่กลับค้นพบหนทางแห่งการยืนอยู่ได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องยึดเหนี่ยวสิ่งใดไว้ กับนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องการยืนอยู่ได้ด้วยตนเอง

เนื้อเรื่องนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องการยืนอยู่ได้ด้วยตนเอง
ลมร้อนพัดผ่านเถ้าถ่านและกลิ่นไม้ไหม้ยังคงอบอวลอยู่ในอากาศ เมืองทั้งเมืองเคยมีชีวิต เคยมีเสียงหัวเราะ เสียงตีเหล็ก เสียงเด็กเล่นริมลำธาร… บัดนี้ เหลือเพียงเถ้าธุลีที่กลบทุกสิ่งไว้ใต้ฟ้าเทาที่ไร้แสง
กลางซากเมืองนั้น มีชายหนุ่มผู้หนึ่งรอดชีวิต ชื่อของเขาหายไปพร้อมกับบ้านเรือนที่พังทลาย ไม่มีญาติ ไม่มีเพื่อน ไม่มีบ้าน
เขาเดินฝ่ากองเถ้าด้วยเท้าเปล่า ดวงตาไม่หลงเหลือความหวาดกลัว ในมือเขาถือดินสีดำกำมือหนึ่ง เถ้าของบ้านที่เขาเคยสร้างเองกับมือ
เขาเดินไปจนถึงลานกลางเมือง ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นจัตุรัส ที่นั่นมีเสาศิลาโบราณยังตั้งอยู่ เสาหินที่รอดจากไฟ เขานั่งลงเงียบ ๆ มองมันเหมือนคนมองเพื่อนเก่า
“ทุกสิ่งที่ข้ารู้จักได้กลายเป็นควัน… แล้วข้าจะเหลืออะไรให้ยึดติด?” คำถามผุดขึ้นในใจ แต่ไม่มีเสียงใดตอบกลับ
มีเพียงเสียงลมพัดพาเถ้าธุลีหมุนวนรอบตัวเขา เหมือนฟ้ากำลังเขียนคำตอบด้วยฝุ่น
วันนั้นเขาไม่ร้อง ไม่โกรธ ไม่สาปฟ้า ไม่หนีไปหาความรอด เขาเพียงนั่งอยู่ตรงนั้น เหมือนหินก้อนหนึ่งที่ยังไม่ยอมกลายเป็นเถ้า
บางครั้ง… การอยู่เฉย ๆ ท่ามกลางความสูญเสีย ก็เป็นการต่อต้านที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว
รุ่งเช้าวันหนึ่ง หลังเถ้าถ่านเย็นลง เขาเริ่มเก็บเศษไม้ เศษหิน มือที่สั่นเพราะหิวและเหนื่อยยังคงขยับช้า ๆ อย่างมีจังหวะ
เขาสร้างกระท่อมเล็ก ๆ จากไม้ที่ไม่ไหม้หมด และใช้เถ้าผสมดินทำอิฐหยาบ ๆ กลิ่นควันยังอยู่ในเสื้อผ้า แต่เขาไม่สนใจ
คนเร่ร่อนจากหมู่บ้านใกล้เคียงผ่านมา เห็นเขาทำงานก็หัวเราะ “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ เมืองนี้มันตายแล้ว ไม่มีใครกลับมาอีกหรอก”
ชายหนุ่มตอบเพียงยิ้มจาง ๆ “ข้าไม่ได้สร้างเมือง ข้าแค่สร้างที่ให้หัวใจได้อยู่”
วันต่อวัน เขาเลี้ยงไก่ ตกปลา หาอาหารพอประทังชีวิต ได้บ้างไม่ได้บ้าง ปลูกต้นไม้เล็ก ๆ ข้างคูน้ำที่ยังมีชีวิตอยู่ น้ำขุ่นแต่ยังไหล เสมือนลมหายใจของโลกที่ยังไม่ดับ เขารดน้ำมันทุกเช้า ใช้มือปาดเหงื่อ ใช้ใจวัดความเงียบ
โลกไม่ได้ต้องการผู้กอบกู้ มันต้องการเพียงผู้ที่ไม่ยอมหนีจากมัน
ฤดูฝนปีนั้น ต้นกล้าเล็ก ๆ ผลิใบ สีเขียวอ่อนตัดกับดินดำ เถ้าถ่าน และควันในอากาศ เขานั่งมองมันด้วยรอยยิ้มแรกในรอบหลายปี
จากสิ่งที่มอดไหม้ กลับงอกงามขึ้นใหม่… ไม่ใช่ด้วยปาฏิหาริย์ของฟ้า แต่ด้วยความเงียบของใจคนหนึ่ง

ปีแล้วปีเล่า… เถ้าถ่านเริ่มถูกกลืนด้วยหญ้า ดอกไม้ป่าเริ่มแทรกขึ้นตามรอยร้าวของกำแพง
กระท่อมของชายหนุ่มกลายเป็นที่พักพิงให้คนจรผู้หลงทาง
บางคนมาชั่วคืน บางคนอยู่ยาวจนช่วยกันสร้างเพิงเล็ก ๆ ล้อมรอบบ่อน้ำกลางเมือง
ชายหนุ่มเอ่ยเบา ๆ เหมือนกำลังเล่าฝัน “เมื่อใดที่คนหยุดแสวงหา เมื่อนั้นชีวิตจะเริ่มหายใจได้เอง”
ชายหนุ่มไม่เคยบอกให้ใครอยู่ต่อ เขาเพียงแบ่งข้าว แบ่งน้ำ แบ่งความเงียบ ไม่มีคำสั่ง ไม่มีผู้นำ ไม่มีผู้ตาม มีเพียงแรงมือที่ร่วมกันสานตะกร้า ก่ออิฐ และหัวเราะยามฝนโปรย
วันหนึ่ง มีพ่อค้าจากเมืองใหญ่เดินทางมาถึง เขามองเห็นกลุ่มคนในซากเมืองเก่าก็หัวเราะเสียงดัง “เจ้าทั้งหลายอยู่กลางซากเช่นนี้ เหตุใดไม่ไปหาที่เจริญกว่า มีตลาด มีเงิน มีชื่อเสียง!”
ชายหนุ่มยกตาขึ้นจากการสานตะกร้า พลางตอบเรียบ ๆ “เมืองของเจ้าเจริญเพราะมีสิ่งมากมาย แต่ของเราสงบเพราะมีเพียงสิ่งที่ต้องมี”
พ่อค้าหัวเราะหยัน “แล้วเจ้าจะไม่หิวหรือ?”
“หิวสิ” ชายหนุ่มตอบ “แต่ข้าหิวแค่ร่างกาย ไม่ใช่วิญญาณ”
คำตอบนั้นทำให้พ่อค้าเงียบไป เขามองรอบ ๆ เห็นคนเหล่านั้นยิ้มให้กันโดยไม่ต้องพูด เห็นเด็กเล็กวิ่งเล่นในลานเถ้าถ่าน และในแววตาของพวกเขา มีบางสิ่งที่ไม่มีในเมืองใดในแผ่นดิน ความสงบที่ไม่ต้องซื้อ
หลายปีผ่าน เมืองเล็กนั้นไม่กลับมายิ่งใหญ่ มันยังคงเล็ก เงียบ และช้า แต่เสียงหัวเราะกลับดังกว่าครั้งที่มันรุ่งเรืองที่สุด
เช้าวันหนึ่ง เล่าจื๊อเดินทางมาถึงเมืองนั้น ท่านมองเห็นชายหนุ่มซึ่งผมเริ่มแซมขาว ยืนตากแดดอยู่กลางสวน มือเขามีดินติดเต็มนิ้ว แต่แววตาเต็มไปด้วยแสงอ่อนของคนที่ไม่ต้องพิสูจน์สิ่งใดอีก
เล่าจื๊อยืนเงียบอยู่นาน ก่อนกล่าวช้า ๆ “เจ้าสร้างเมืองขึ้นใหม่จากเถ้าธุลีได้อย่างไร โดยไม่ขอความช่วยเหลือจากฟ้า?”
ชายหนุ่มยิ้ม “ข้าไม่ได้สร้างมันขึ้นมา ข้าเพียงไม่ปล่อยให้มันตายลง”
เล่าจื๊อหัวเราะเบา ๆ “ผู้คนในเมืองใหญ่ยืนอยู่ได้เพราะกำแพงและทอง แต่เจ้ากลับยืนอยู่ได้เพราะใจ… เจ้าคือผู้เข้าใจเต๋าโดยไม่ต้องอ่านตำรา”
สายลมอุ่นพัดผ่าน เถ้าถ่านเก่าลอยขึ้นบนฟ้า ก่อนตกกลับสู่พื้นเหมือนละอองแห่งความทรงจำ
เล่าจื๊อเอ่ยกับลม “ในที่สุด ข้าเข้าใจแล้ว การยืนอยู่ได้ด้วยตนเอง ไม่ใช่การไม่พึ่งพาใคร แต่คือการรู้จักอยู่กับโลกโดยไม่ต้องครอบครองมัน”
และเมื่อมนุษย์เรียนรู้ที่จะไม่หนีจากธรรมชาติของชีวิต เมืองใดที่ดับไป… ก็จะเกิดขึ้นอีกเสมอ ในใจของผู้ที่ยังไม่สิ้นศรัทธา

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… การยืนหยัดอยู่ได้ด้วยตนเอง ไม่ได้หมายถึงการตัดขาดจากโลก แต่คือการยืนอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังโดยไม่สิ้นศรัทธา รู้จักสร้างชีวิตใหม่จากสิ่งที่เหลืออยู่ โดยไม่โทษฟ้า ไม่หนีดิน และไม่รอปาฏิหาริย์จากใคร
ชายหนุ่มในนิทานไม่ได้กอบกู้เมืองด้วยกำลังหรือคำสั่ง เขาเพียงเลือกจะไม่ยอมให้ใจตายตามสิ่งรอบตัว แม้ไฟได้เผาผลาญทุกสิ่ง แต่เขายังสร้างขึ้นใหม่ด้วยมือเปล่า ด้วยใจที่นิ่งสงบและมั่นคง ความเงียบของเขากลายเป็นพลังที่ปลุกผู้คนให้กลับมาเห็นคุณค่าของชีวิตอีกครั้ง นี่คือพลังของการยืนหยัดโดยไม่ต้องเอาชนะสิ่งใด เพียงอยู่ให้ได้ด้วยความเข้าใจในหนทางของเต๋า
อ่านต่อ: นิทานเต้าเต๋อจิงแฝงข้อคิดดี ๆ และปรัชญาชีวิตสุดลึกซึ้งในวิถีเต๋าของเล่าจื๊อ
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องการยืนอยู่ได้ด้วยตนเอง (อังกฤษ: Standing Alone) นิทานเรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากคัมภีร์เต้าเต๋อจิงบทที่ 80 ซึ่งกล่าวถึง “การยืนหยัดอยู่ได้ด้วยตนเอง” เล่าจื๊อมองว่า สังคมที่ดีไม่จำเป็นต้องรุ่งเรืองด้วยอาวุธหรือเทคโนโลยี แต่ควรเป็นสังคมที่ผู้คนรู้จักพอใจในสิ่งที่มี ดำรงชีวิตอย่างสงบ ไม่แข่งขัน ไม่เร่งรีบ และไม่แสวงหาสิ่งเกินจำเป็น เพราะความสงบที่แท้จริงเกิดจากการกลับมาสู่ความเรียบง่ายในใจมนุษย์เอง เล่าจื๊อได้บันทึกไว้าว่า:
การยืนอยู่ได้ด้วยตนเอง
ในแผ่นดินเล็กที่มีผู้คนน้อย ข้าพเจ้าจะจัดระเบียบชีวิตให้เรียบง่ายและสงบงาม แม้ว่าจะมีผู้คนที่มีความสามารถมากมาย ดุจมีแรงของสิบหรือร้อยคน ก็จะไม่ต้องใช้พลังนั้นเพื่อแข่งขันหรือแสวงหาความยิ่งใหญ่ใด ๆ ข้าพเจ้าจะให้ผู้คนรู้จักคุณค่าของชีวิต มองความตายเป็นเรื่องน่าเศร้า แต่ไม่หนีจากมัน ไม่หวาดกลัวจนต้องแสวงหาที่หลบซ่อนจากธรรมชาติของชีวิต
แม้พวกเขาจะมีเรือและม้า ก็ไม่จำเป็นต้องใช้เดินทางไกล แม้จะมีเสื้อเกราะและอาวุธแหลมคม ก็ไม่จำเป็นต้องหยิบมาใช้ เพราะไม่มีศัตรูให้ต่อสู้ ข้าพเจ้าจะให้พวกเขากลับไปสู่ความเรียบง่าย เหมือนสมัยที่มนุษย์ใช้เพียงเชือกผูกปมแทนตัวอักษร ไม่มีความซับซ้อนของคำ ไม่มีการแย่งชิงด้วยถ้อยวาจา
พวกเขาจะมองว่าอาหารธรรมดาก็อร่อย เสื้อผ้าเรียบง่ายก็งดงาม บ้านที่เรียบโล่งก็อบอุ่น และวิถีชีวิตอันเรียบง่ายก็คือความสุขแท้จริง แม้จะมีรัฐเพื่อนบ้านอยู่ใกล้ เห็นควันจากปล่องไฟและได้ยินเสียงไก่ขันหรือสุนัขเห่าข้ามพรมแดน แต่ผู้คนจะไม่รู้สึกอยากเดินทางไปที่นั่น พวกเขาจะใช้ชีวิตอยู่ในแผ่นดินของตน ตั้งแต่วัยเยาว์จนถึงวัยชรา จนถึงวันที่ลมหายใจสุดท้าย โดยไม่ต้องแสวงหาอะไรเกินกว่าที่มีอยู่แล้ว
เล่าจื๊อสอนว่า แม้โลกภายนอกจะเปลี่ยนแปลงและเร่งรุดเพียงใด ผู้ที่เข้าใจเต๋าย่อมไม่สับสนไปตามนั้น เขาจะรู้ว่าความมั่นคงไม่ได้มาจากกำแพง เมือง หรือทรัพย์สิน แต่มาจากใจที่รู้จักอยู่ได้ด้วยตนเอง เมื่อมนุษย์เลิกพึ่งพาความเจริญภายนอก แล้วหันกลับมาสร้างความสงบภายใน เมื่อนั้นจึงจะพบความอิสระอันแท้จริง
นิทานเรื่องนี้จึงถูกแต่งขึ้นเพื่อสะท้อนคำสอนในบทดังกล่าว ผ่านเรื่องของชายหนุ่มผู้สูญเสียทุกสิ่งจากไฟสงคราม แต่กลับสร้างชีวิตขึ้นใหม่ด้วยสองมือ โดยไม่รอความช่วยเหลือจากฟ้าหรือผู้ใด เขาคือภาพแทนของผู้ที่ “ยืนอยู่ได้ด้วยตนเอง” ซึ่งเป็นหัวใจของบทนี้ แห่งคัมภีร์เต้าเต๋อจิง การกลับมามีชีวิตอยู่ร่วมกับโลกอย่างสงบ เรียบง่าย และมั่นคงในใจ
คติธรรม: “ความมั่นคงที่แท้จริง ไม่ได้เกิดจากสิ่งที่เราครอบครอง แต่อยู่ที่ใจที่ไม่ต้องการครอบครองสิ่งใดอีก ผู้ที่ยืนอยู่ได้ด้วยตนเอง ย่อมไม่หวั่นไหวต่อการสูญเสียใด ๆ ในโลก”

