ปกนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องการยึดมั่นในพันธะและคำสัญญา

นิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องการยึดมั่นในพันธะและคำสัญญา

ผู้คนมากมายมักคิดว่าการรักษาคำมั่นและพันธะต้องยึดมั่นอย่างเข้มงวด แต่ในหนทางแห่งเต๋า กลับสอนให้เข้าใจว่า ความผูกพันที่แท้จริงมิได้อยู่ในถ้อยคำหรือสัญญา แต่อยู่ในใจที่รู้จักวางและให้อภัย

มีนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องหนึ่ง ที่เล่าจื๊อใช้สะท้อนความหมายของ “การไม่เรียกร้องคืนจากอดีต” ผ่านเรื่องราวของมิตรภาพสองชีวิตที่ถูกทดสอบด้วยพันธะและการให้อภัย กับนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องการยึดมั่นในพันธะและคำสัญญา

ภาพประกอบนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องการยึดมั่นในพันธะและคำสัญญา

เนื้อเรื่องนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องการยึดมั่นในพันธะและคำสัญญา

ครั้งหนึ่งเมื่อผู้คนพูดถึงความซื่อสัตย์ พันธะจึงเกิดขึ้น แต่เมื่อพันธะเกิดขึ้น ความขัดแย้งก็มักติดตามมา ข้าเคยรู้จักชายสองคนในหมู่บ้านเล็ก ๆ ริมภูเขา เขาทั้งคู่เป็นช่างปั้นหม้อ ผู้หนึ่งชื่อเวินซาน อีกผู้ชื่อจื่อหาน และข้าจะเล่าให้เจ้าฟัง…

ลมอุ่นต้นฤดูใบไม้ผลิพัดผ่านหมู่บ้านหัตถกรรมริมภูเขา เสียงค้อนดินดังเป็นจังหวะ “ตึก ตึก ตึก” คล้ายทำนองแห่งมิตรภาพระหว่างชายหนุ่มสองคน

เจาหลิง มือปั้นหนุ่มผู้สุขุม รอบคอบ
เวินซาน ชายเลือดร้อนผู้เปี่ยมความฝันและกล้าเสี่ยง

ทั้งคู่เติบโตมาด้วยกัน เรียนศิลปะปั้นเครื่องดินเผาจากอาจารย์คนเดียวกัน และมีความฝันเหมือนกัน จะสร้างโรงปั้นของตนเองให้ชื่อก้องไปทั่วแคว้น

วันหนึ่ง ขณะพระอาทิตย์คล้อยลง เจาหลิงวางชิ้นงานสุดท้ายลงบนโต๊ะ เวินซานหัวเราะ “อีกไม่นาน เราจะมีเตาไฟของเราเอง!”

เจาหลิงยิ้มมุมปาก “แต่ก่อนจะถึงวันนั้น… เราควรมีสัญญาไว้กันเผื่อวันใดลืมคำพูดของตัวเอง”

ทั้งคู่เขียนสัญญาด้วยหมึกดำลงบนกระดาษแผ่นเดียว แล้วฉีกครึ่ง แบ่งไว้คนละส่วน “เมื่อวันหนึ่งเราสร้างโรงปั้นได้จริง กำไรหรือขาดทุน แบ่งกันเท่าเทียม”

เวินซานพูดพลางหัวเราะ “ถ้าเราจะจน ก็จนด้วยกัน ถ้าจะรวย ก็รวยด้วยกัน” เสียงหัวเราะสองเสียงสะท้อนก้องไปกับแสงสุดท้ายของวัน เหมือนคำมั่นที่สวรรค์ได้ยินชัดเจน

จากนั้น ทั้งคู่เริ่มต้นสร้างโรงปั้นเล็ก ๆ ข้างลำธาร ไฟเตาค่อย ๆ จุดขึ้นทุกค่ำคืน ผลงานของพวกเขาเริ่มขายได้ ชื่อของ “เตาเจาเวิน” เริ่มแพร่ไปทั่วเมือง

ผู้คนพูดถึงฝีมือ และมิตรภาพอันแน่นแฟ้นของทั้งสอง

แต่เมื่อโชคลาภเริ่มไหลมา ความแตกต่างในหัวใจก็เริ่มเผยออก เวินซานอยากขยายกิจการ ขายไปยังเมืองใหญ่ เจาหลิงกลับยืนยัน “เราเกิดจากดิน อย่าให้ความโลภทำให้เราห่างจากมัน”

เวินซานหัวเราะ “เจ้าชอบความสงบ แต่โลกไม่สงบอย่างเจ้า”

รอยร้าวเล็ก ๆ เกิดขึ้นระหว่างเพื่อนสองคน เหมือนเครื่องปั้นที่มีรอยบิ่นจนแทบมองไม่เห็น แต่ถ้าอบไฟต่อไป มันอาจแตกได้ทุกเมื่อ

ค่ำวันหนึ่ง เจาหลิงกลับมาที่โรงปั้นหลังเดินทางไปส่งสินค้า

เขาเห็นเตาเผาถูกเปิดกว้าง และคนงานใหม่กำลังบรรจุสินค้าจำนวนมากลงลังไม้ ด้านข้างมีตราพ่อค้าจากเมืองหลวงติดอยู่

“เวินซาน นี่มันอะไร?”

เวินซานเงยหน้าจากโต๊ะบัญชี “ข้าเพียงทำในสิ่งที่เจ้าช้าเกินไปจะทำ”

“เจ้าขายลายปั้นของเราให้คนอื่นโดยไม่บอกข้า?”

“ข้าเรียกมันว่าขยายธุรกิจ ไม่ใช่การทรยศ”

เจาหลิงมองเตาที่เคยสร้างด้วยกัน เหมือนมองสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกลบหลู่ “เราเคยสาบานว่าจะไม่ละโมบ เราเขียนสัญญาไว้จำไม่ได้หรือ?”

เวินซานหัวเราะในลำคอ “สัญญา? แผ่นกระดาษนั้นมันไม่ทำให้ข้ามีชีวิตอยู่ได้ เจาหลิง โลกนี้ต้องกิน ต้องรอด”

เจาหลิงนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนหยิบเศษกระดาษครึ่งหนึ่งของตนออกมา

เขาฉีกมันกลางมือ เสียงขาดนั้นดังราวกับหัวใจของเขาเอง “ตั้งแต่วันนี้ ไม่มีสัญญา ไม่มีมิตรภาพ”

เวินซานไม่พูดอะไร เก็บเศษกระดาษของอีกครึ่งหนึ่งไว้ในอกเสื้อ ฝนเริ่มตกลงมา เสียงหยดน้ำกระทบหลังคาไม้ดังเป็นจังหวะเศร้า

เตาไฟที่เคยสว่างค่อย ๆ มอดลง เหลือเพียงเถ้าถ่านอุ่น ๆ ที่เตือนให้รู้ว่าความฝันบางอย่างเผาไหม้ได้ง่ายเพียงใด…

ภาพประกอบนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องการยึดมั่นในพันธะและคำสัญญา 2

หลายปีผ่านไป หลังเหตุการณ์วันนั้น โรงปั้น “เตาเจาเวิน” กลายเป็นชื่อที่ไม่มีใครเอ่ยอีกแล้ว

เวินซานร่ำรวยขึ้นในช่วงหนึ่ง แต่กิจการของเขาก็เริ่มเสื่อมถอย เครื่องปั้นที่ผลิตด้วยความรีบเร่งและความโลภไม่งามเหมือนเดิม

ผู้คนเริ่มหันหนี เขาเหลือเพียงบ้านใหญ่ที่ว่างเปล่าและเงาของตนเอง

คืนหนึ่ง ลมหนาวพัดผ่านประตูไม้ เขาหยิบห่อผ้าขึ้นมา ในนั้นมีเศษกระดาษสัญญาครึ่งหนึ่ง ที่เขาเคยเก็บไว้ หมึกจางแทบมองไม่เห็น แต่ลายมือของเพื่อนยังคงอยู่

เขากำเศษกระดาษนั้นแน่น แล้วตัดสินใจเดินทางกลับหมู่บ้านเก่า

เมื่อมาถึง เขาพบเจาหลิงนั่งอยู่ข้างเตาเผาเก่า ผมของเขาเริ่มขาวแต่ดวงตายังนิ่งสงบเหมือนวันวาน

เตาเผานั้นมีเพียงไฟเล็ก ๆ และชามดินเผาไม่กี่ใบเรียงอยู่ตรงหน้า

เวินซานคุกเข่าลง วางเศษกระดาษของตนตรงหน้าเพื่อน

“ข้ากลับมา… เพื่อคืนพันธะ” เขากล่าวเสียงสั่น

“นี่คือครึ่งหนึ่งของสัญญา ข้ารักษามันไว้เสมอ ถึงแม้จะทำลายทุกอย่างแล้วก็ตาม”

เจาหลิงเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนหยิบเศษกระดาษของตนออกมาจากกล่องไม้เก่า กระดาษนั้นซีดจางจนแทบเป็นผง แต่ยังอยู่ครบ

“เจ้ามาช้าไปหน่อย” เขาพูดเบา ๆ

เวินซานก้มหน้า “ข้าขอโทษ ข้าคืนให้ทั้งหมดแล้ว”

เจาหลิงยิ้มจาง ๆ เขาฉีกกระดาษทั้งสองครึ่งต่อหน้าตาเวินซาน เศษกระดาษปลิวไปกับลม เหมือนฝุ่นที่ไม่มีใครจดจำ

“พันธะไม่ได้อยู่บนกระดาษ มันอยู่ในใจ หากใจเราสงบ สัญญาก็สมบูรณ์แล้ว”

เวินซานน้ำตาไหลเงียบ ๆ เขาค้อมศีรษะจนแตะพื้น เสียงไฟในเตาดังเบา ๆ เหมือนหัวใจสองดวงกลับมาหายใจพร้อมกันอีกครั้ง

คืนนั้น เจาหลิงต้มชาให้เพื่อนเก่า ไฟในเตาเผาค่อย ๆ ลุกวาบขึ้นอีกครั้ง ราวกับยินดีต้อนรับความสงบที่หวนคืน

“เจ้ารู้ไหม ทำไมข้าไม่เรียกร้องให้เจ้าชดใช้?” เจาหลิงถาม

เวินซานส่ายหน้า “เพราะในพันธะ มีสองฝั่ง ฝั่งหนึ่งเรียกร้อง อีกฝั่งให้อภัย”

เขายกชาถ้วยเล็กขึ้น “ข้าเลือกฝั่งซ้าย ฝั่งที่ไม่เร่งรัด ไม่เอาคืน แต่จดจำด้วยใจที่สงบ”

เวินซานพึมพำ “ข้าทำลายทุกอย่างไปแล้ว แม้แต่มิตรภาพ”

“มิตรภาพไม่แตกหรอก มันแค่เงียบ” เจาหลิงตอบ “และเมื่อเจ้าหยุดเรียกร้อง มันก็กลับมาพูดกับเจ้าอีกครั้ง”

ลมพัดเศษกระดาษที่เหลืออยู่ให้ลอยหายไปในความมืด เหลือเพียงแสงไฟจากเตาเผาที่ส่องสว่างกลางคืนเย็น

ในความเงียบงันนั้น มีความหมายของเต๋าซ่อนอยู่ การปล่อยพันธะให้เป็นอิสระ มิใช่เพื่อลืมอดีต แต่เพื่อให้หัวใจว่างพอจะเริ่มต้นอีกครั้ง

รุ่งเช้า เวินซานลุกขึ้นจากเสื่อ เตาเผายังคงอุ่นอยู่ เขากล่าวลาพร้อมรอยยิ้มบาง “ข้าจะไม่สร้างเตาใหม่อีก แต่จะจดจำไฟของคืนนี้ไว้ในใจ”

เจาหลิงพยักหน้า “จงจำไว้ พันธะที่แท้ ไม่ต้องผูกไว้ด้วยกระดาษ แต่อยู่ในความนิ่งของใจผู้ไม่เรียกร้อง”

ควันไฟลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า เหมือนคำมั่นใหม่ที่ไม่ต้องเขียนด้วยหมึก เพราะครั้งนี้ ทั้งสองต่างเข้าใจเต๋าแล้วจริง ๆ

ภาพประกอบนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องการยึดมั่นในพันธะและคำสัญญา 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… การให้อภัยที่แท้จริง ไม่ได้หมายถึงการลืมสิ่งที่เกิดขึ้น หรือทำราวกับว่ามันไม่เคยมีอยู่ แต่คือการยอมรับความเจ็บปวดโดยไม่เรียกร้องคืนจากมันอีก การวางใจเช่นนี้ทำให้เราหลุดพ้นจากพันธะที่ผูกไว้กับอดีต และได้พบกับความสงบที่แท้ในปัจจุบัน

ในนิทานเรื่องนี้ มิตรภาพของชายสองคนที่เริ่มต้นจากความฝันเดียวกันกลับต้องแตกหักเพราะความโลภและการทรยศ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ทั้งคู่ได้ตระหนักว่า พันธะที่แท้ไม่เคยขาด เพียงแต่ถูกปิดบังด้วยความคาดหวังและการถือมั่น เมื่อหัวใจเรียนรู้ที่จะให้อภัยโดยไม่เรียกร้อง ความสัมพันธ์ที่เคยแตกสลายก็กลับมาสงบงามได้อีกครั้ง ดั่งเปลวไฟในเตาที่ดับไปแล้ว แต่ยังทิ้งไออุ่นแห่งความเข้าใจไว้ไม่เสื่อมคลาย

อ่านต่อ: นิทานเต้าเต๋อจิงสอดแทรกปรัชญาชีวิตแห่งวิถีเต๋าในรูปแบบนิทานอ่านง่าย ๆ

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องการยึดมั่นในพันธะและคำสัญญา (อังกฤษ: Adherence to Bond or Covenant) นิทานเรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากคัมภีร์เต้าเต๋อจิงบทที่ 79 ซึ่งกล่าวถึง “การคงไว้ซึ่งพันธะหลังความขัดแย้ง” แม้เมื่อความบาดหมางผ่านพ้นไป พันธะเดิมก็ยังคงหลงเหลืออยู่ เต๋าสอนว่า ผู้มีคุณธรรมแท้ไม่เรียกร้องสิ่งใดตอบแทน และไม่ถือโทษกับสิ่งที่ล่วงแล้ว เพราะเมื่อใจยังเรียกร้อง ความไม่สงบก็จะคงอยู่ต่อไปไม่สิ้นสุด เล่าจื๊อได้บันทึกไว้ว่า:

การยึดมั่นในพันธะและคำสัญญา

เมื่อความบาดหมางอันยิ่งใหญ่ได้รับการไกล่เกลี่ย แม้จะคืนดีกันแล้วก็ตาม แต่ในใจของผู้ที่เคยถูกทำร้าย มักยังคงมีความขุ่นข้องหลงเหลืออยู่ แล้วอย่างนี้จะเป็นประโยชน์ต่ออีกฝ่ายได้อย่างไรเล่า?

ดังนั้น เพื่อไม่ให้เกิดสิ่งนี้ขึ้นผู้มีปัญญาจึงเลือกที่จะถือ “ฝั่งซ้าย” ของสัญญาไว้ (ซึ่งในธรรมเนียมโบราณ ฝั่งซ้ายหมายถึงผู้ให้อภัยหรือผู้ไม่เร่งรัดเรียกร้องสิ่งตอบแทน เขาไม่รีบร้อนให้ผู้อื่นต้องชดใช้ทันที แต่เก็บพันธะไว้ในใจด้วยความสงบ)

ผู้ที่ดำรงอยู่ในหนทางแห่งเต๋าจะยึดมั่นในความถูกต้องของข้อตกลง ส่วนผู้ที่ไม่มีคุณธรรมเต๋า จะยึดมั่นแต่ในผลประโยชน์ของตนเอง

หนทางแห่งฟ้าหรือ “เต้า” ไม่เข้าข้างใคร ไม่ลำเอียงในความรักหรือความเกลียด แต่ย่อมอยู่ข้างของผู้มีคุณธรรมเสมอ

เล่าจื๊อจึงชี้ให้เห็นว่า การให้อภัยไม่ใช่การปิดตาไม่มองอดีต แต่คือการยอมรับมันโดยไม่แบกความเจ็บไว้ในใจ ผู้ที่เข้าใจหลักนี้ย่อมรู้จัก “วางพันธะโดยไม่ตัดขาด” และ “รักษาความดีโดยไม่เรียกร้อง” ซึ่งเป็นหนทางแห่งผู้เดินบนวิถีเต๋า

นิทานเรื่องนี้จึงถูกแต่งขึ้นเพื่อสะท้อนคำสอนในบทดังกล่าว ผ่านเรื่องราวของมิตรภาพที่แตกสลายและการให้อภัยที่เติบโตจากเถ้าถ่านของคำมั่นเดิม เพื่อบอกให้รู้ว่า พันธะที่แท้ไม่อยู่บนแผ่นกระดาษหรือคำพูด แต่อยู่ในใจที่ไม่เรียกร้อง และนี่คือหัวใจของ “การยึดมั่นในพันธะและคำสัญญา” ที่เล่าจื๊ออยากให้ผู้คนได้ตระหนัก

คติธรรม: “การให้อภัยที่แท้จริง ไม่ใช่การบังคับให้ลืมอดีต แต่คือการไม่เรียกร้องคืนจากมันอีก เพราะเมื่อใจไม่ยึดมั่นในการทวงคืน พันธะแห่งความสงบก็จะเกิดขึ้นเองโดยไม่ต้องผูกไว้ด้วยคำสัญญา”