ปกนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องหนทางแห่งสวรรค์

นิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องหนทางแห่งสวรรค์

ในโลกนี้ ผู้คนมักคิดว่าความสุขและความพอใจเกิดจากการครอบครองและสะสมสิ่งต่าง ๆ แต่คำสอนของเต๋ากลับเตือนใจว่า การอยู่กับสิ่งที่มี และปล่อยสิ่งที่เกินไป คือหนทางสู่ความสงบและสมดุลที่แท้จริง

มีนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องหนึ่ง ที่สอนผ่านชายหนุ่มผู้เร่ร่อนที่ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ไม่ยึดมั่นในสิ่งใด แต่กลับพบความสงบและความยิ่งใหญ่ในตัวเอง โดยไม่ต้องพยายามควบคุมโลกหรือครอบครองสิ่งใดเลย กับนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องหนทางแห่งสวรรค์

ภาพประกอบนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องหนทางแห่งสวรรค์

เนื้อเรื่องนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องหนทางแห่งสวรรค์

สายลมยามเช้าพัดผ่านหุบเขา กลิ่นชื้นของดินหลังฝนเมื่อคืนอบอวลในอากาศ

เล่าจื๊อเดินอย่างเงียบงันตามทางแคบที่คดไปตามเชิงเขา ผ้าคลุมของเขาชุ่มด้วยหยาดหมอก ดวงตาสงบแต่มิได้หยุดครุ่นคิด

เขาหยุดเมื่อได้ยินเสียงบางอย่าง เสียงหวีดเบา ๆ ของหญ้าแห้งเสียดสีกัน และเสียงฮัมเพลงทำนองง่าย ๆ

ชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างลำธาร กำลังถักรองเท้าจากใบหญ้าในมือเปล่า ผมยาวยุ่งแต่สะอาด ใบหน้ามีรอยยิ้มที่ไม่ได้มีเหตุผลใด ๆ ราวกับความสุขไหลเวียนอยู่ในตัวเองอยู่แล้ว

เล่าจื๊อเอ่ยถามเบา ๆ “เจ้าทำรองเท้าขายหรือ?”

ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น ยิ้มบาง ๆ “ไม่ขายหรอก ทำไว้ใส่เอง พอพังแล้วก็ทำใหม่ แค่ทำให้พอดีกับเท้า ก็ไม่ต้องการอะไรอีก”

เล่าจื๊อมองเขาอย่างพิจารณา มีเพียงถุงสัมภาระเล็ก ๆ เอาไว้ประทังชีวิต “แล้วเจ้ามีที่พักไหม?”

“ไม่มี” เขาหัวเราะเบา ๆ “คืนนี้ถ้าไม่มีฝน ข้าก็นอนใต้ต้นไม้ ถ้ามีก็หลบในถ้ำ หรือที่ไหนที่พื้นไม่เปียก”

“เจ้าไม่กลัวหนาวหรืออดหรือ?”

ชายหนุ่มยักไหล่ “ถ้าหิวก็กิน ถ้ามี ถ้าไม่มีก็อดไปก่อน แล้วพรุ่งนี้ก็มักมีใครแบ่งให้เสมอ… โลกมันไม่เคยขาดของที่ต้องใช้หรอก มีแต่คนที่อยากได้เกินจำเป็นเท่านั้นที่รู้สึกว่าขาด”

เล่าจื๊อชะงัก คำพูดเรียบง่ายนั้นกลับสั่นสะเทือนในใจ

เขานั่งลงข้างลำธาร มองสายน้ำไหลเอื่อย ชายหนุ่มยื่นน้ำให้จากกระบอกไม้ไผ่ “ดื่มสิ น้ำนี้เย็นดีนัก ข้าเรียกมันว่าน้ำแห่งการไหล มันไม่หวงตัวเองเลยสักนิด”

เล่าจื๊อจิบและยิ้มบาง ๆ “เจ้าชื่ออะไรหรือ?”

“อวิ๋น… หมายถึงเมฆ”

“เจ้าร่อนเร่ไปไหนหรือ?”

“ไปเรื่อย ไม่มีที่ต้องไป” เขาตอบ “ข้าอยู่ตรงไหนที่เท้าหยุด ก็ถือว่านั่นคือบ้าน”

เล่าจื๊อมองเขาอีกครั้ง ชายหนุ่มที่ไม่มีอะไรเลย แต่กลับดูเต็มไปด้วยความสงบยิ่งกว่ากษัตริย์บนบัลลังก์

เล่าจื๊อร่วมเดินทางกับอวิ๋นไปตามทางคดเคี้ยว เขาอยากรู้ว่าชายหนุ่มคนนี้มีชีวิตอยู่อย่างไรโดยไม่พึ่งสิ่งใด

กลางทางมีหญิงชราทำฟืนตก อวิ๋นรีบเข้าไปช่วยอย่างเงียบ ๆ พอเธอขอบคุณ เขากลับยิ้ม “อย่าขอบคุณเลย ข้าก็แค่มีแรงเหลือเท่านั้นเอง” แล้วเดินต่อไปอย่างไม่คิดอะไร

เล่าจื๊อเอ่ยถาม “เจ้าช่วยคนไปมากมายโดยไม่หวังผลเลยหรือ?”

“ข้าไม่ได้ช่วยใครหรอก” เขาหัวเราะเบา ๆ “ข้าแค่ทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เช่นเดียวกับที่ฝนตกลงมาบนดินโดยไม่คิดจะชุ่มใครเป็นพิเศษ”

เล่าจื๊อเงียบงันไป เขาเคยสอนเรื่องความเมตตาและคุณธรรมมานับครั้ง แต่ไม่เคยเห็นผู้ใดที่ทำความดีโดยไม่รู้ว่าตนกำลังทำความดีเช่นนี้

พอเดินถึงหมู่บ้านเล็ก ๆ มีชายคนหนึ่งร้องเรียก “เจ้าหนุ่ม! มาช่วยข้ายกของหน่อยเถิด”

อวิ๋นไม่ลังเล เขายกของหนักให้จนเสร็จ ชายเจ้าของร้านยื่นเหรียญทองแดงให้ แต่เขากลับโบกมือ “เก็บไว้เถิด ท่านต้องใช้มันมากกว่าข้า”

เล่าจื๊อเดินตามมา เอ่ยเสียงเรียบ “เจ้าปฏิเสธสิ่งตอบแทน ทำไม?”

“เพราะข้ามีอยู่แล้วทุกอย่างที่ข้าต้องการในตอนนี้” อวิ๋นหันมายิ้ม “ถ้าเอาเหรียญนั้นมา ข้าก็ต้องมีถุงใส่ ต้องมีที่เก็บ ต้องคอยระวังมันไม่ให้หาย… นั่นเหนื่อยกว่าเยอะ”

เล่าจื๊อหัวเราะออกมาน้อย ๆ เป็นครั้งแรกในรอบหลายวัน เขาเริ่มรู้สึกว่าโลกที่อวิ๋นอยู่ นิ่งและเบากว่าโลกของเขามากนัก

คืนนั้น พวกเขาจุดไฟใต้ฟ้าเปิดกว้าง อวิ๋นมองเปลวไฟแล้วพูดอย่างไม่ตั้งใจ “ท่านรู้ไหม ข้าเคยมองเห็นว่าโลกมันเหมือนคันธนู ปลายหนึ่งตึง อีกปลายหนึ่งหย่อน ถ้าไม่สมดุล มันก็ยิงไม่ได้”

เล่าจื๊อมองไฟสะท้อนในดวงตาเขา “คันธนูของสวรรค์…” เขาคิดในใจ “บางที ความสมดุลของสวรรค์ก็อยู่ในชายผู้ไม่ต้องการสิ่งใดเลยเช่นนี้เอง”

ภาพประกอบนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องหนทางแห่งสวรรค์ 2

รุ่งเช้า แสงอาทิตย์อาบยอดไม้สีทองอ่อน สายหมอกลอยต่ำเหนือพื้นดิน อวิ๋นยังคงนั่งพิงหินริมธาร เขากำลังซ่อมหม้อดินแตกด้วยดินเหนียวจากลำธาร ราวกับทำสิ่งสำคัญที่สุดในโลก

เล่าจื๊อมองเขาอยู่เงียบ ๆ ก่อนเอ่ยถาม “เจ้ามีชีวิตอยู่โดยไม่มุ่งหวังสิ่งใดเลยหรืออวิ๋น? ไม่คิดจะสร้าง ไม่คิดจะสะสม ไม่คิดจะมีชื่อเสียง?”

อวิ๋นหัวเราะบาง ๆ “สร้างไปทำไมเล่า ในเมื่อทุกสิ่งที่สร้างย่อมเสื่อมไปเอง ชื่อเสียงก็เหมือนลมพัดผ่าน มีแต่คนที่วิ่งตามเสียงมันเท่านั้นที่เหนื่อย”

“แต่ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้ มนุษย์จะอยู่ไปเพื่ออะไร?”

“เพื่ออยู่” เขาตอบเรียบง่าย “ไม่ใช่เพื่อเป็นอะไร”

เล่าจื๊อเงียบงัน คำตอบนั้นเรียบเสียจนเหมือนไร้สาระ แต่กลับทิ่มแทงหัวใจอย่างประหลาด

ไม่นาน พายุฝนเริ่มตั้งเค้า ลมแรงพัดจนต้นไม้เอน เสียงฟ้าร้องคำราม อวิ๋นเพียงเก็บของเล็กน้อยแล้วหลบใต้โขดหิน ไม่รีบร้อน ไม่ตระหนก

เล่าจื๊อมองเห็นเขาหัวเราะออกมาในยามฟ้าผ่า “เจ้าหัวเราะอะไร?”

“ข้าแค่คิดว่าฝนกับฟ้ามันก็ทำหน้าที่ของมันเท่านั้น ไม่มีใครขัดขืน มันเลยงดงามดี”

เมื่อฝนซา ทั้งคู่เดินต่อ ลำธารที่เคยนิ่งกลับเชี่ยวกราก อวิ๋นหยุดยืนมองสายน้ำ แล้วกล่าวเบา ๆ “ดูสิท่าน อะไรที่มากเกินไป ย่อมทำลายสิ่งรอบข้าง แม้น้ำที่ให้ชีวิต เมื่อมันไหลแรงเกินไป ก็พัดทุกอย่างหายไปหมด”

เล่าจื๊อพยักหน้า “ใช่แล้ว…” เขาคิดในใจ “สิ่งใดมากเกินย่อมต้องลด สิ่งใดขาดแคลนย่อมต้องเติม เหมือนคันธนูของสวรรค์ที่ดึงความตึงให้สมดุล”

ในคืนนั้นเอง เขาจดจำทุกคำของอวิ๋นไว้ในใจ รู้สึกเหมือนเขาไม่ได้เรียนจากชายเร่ร่อน แต่จาก “หนทางของสวรรค์” ที่ซ่อนอยู่ในความธรรมดานั้นต่างหาก

เช้าวันถัดมา แดดยามเช้าทอแสงบางเหนือขุนเขา อวิ๋นเดินไปตักน้ำ ลมพัดใบไม้ปลิวลงสู่ธาร เขามองใบไม้ที่ลอยไปกับกระแสน้ำแล้วพูดเบา ๆ “ท่านนักปราชญ์เห็นไหม ใบไม้มันไม่เลือกทาง แต่มันก็ไม่จมหรอก มันแค่ไหลไปตามทางที่ควรไป”

เล่าจื๊อนิ่งอยู่ครู่ ก่อนเอ่ยช้า ๆ “ข้าใช้ชีวิตมาครึ่งศตวรรษ พยายามเข้าใจฟ้าและดิน แต่กลับไม่เห็นชัดเท่าวันนี้…”

เขาหยิบไม้ขึ้นมาวาดรูปคันธนูบนพื้นดิน “สวรรค์ก็เหมือนคันธนู ส่วนที่สูงย่อมลดลง ส่วนที่ต่ำย่อมถูกดึงขึ้น เพื่อให้เกิดสมดุล”

อวิ๋นยิ้ม “นั่นคือเหตุผลที่โลกอยู่ได้ เพราะมันไม่เลือกข้าง”

เล่าจื๊อมองหน้าเขา ดวงตาฉายแววเข้าใจที่ลึกกว่าเดิม “เจ้ามีแต่ความว่าง แต่กลับมีทุกสิ่ง เพราะเจ้าไม่ยึดสิ่งใดไว้เลย… ข้าเข้าใจแล้ว ความยิ่งใหญ่ของสวรรค์อยู่ตรงนั้นเอง ในการไม่ถือครอง”

เขาเงียบไปครู่ ก่อนพูดช้า ๆ ราวกับบันทึกไว้ในใจตนเอง “ผู้ที่ยึดมั่น มักดึงสิ่งที่โลกขาดมาเพื่อบำรุงตนเอง แต่ผู้ที่เข้าใจหนทางแห่งสวรรค์ จะให้สิ่งที่เกินของตนกลับคืน เพื่อให้ทุกสิ่งสมดุล”

อวิ๋นหัวเราะเบา ๆ “งั้นท่านก็เหมือนสายน้ำแล้วสิ รู้ว่าเมื่อใดควรไหล เมื่อใดควรนิ่ง”

เสียงธารน้ำยังคงไหลเบา ๆ ใบไม้ยังปลิวตามแรงลม ไม่มีสิ่งใดต้องเร่ง ไม่มีสิ่งใดต้องครอบครอง โลกสมบูรณ์ในตัวมันเองเสมอ

เล่าจื๊อเงยหน้ามองฟ้า แสงอาทิตย์ค่อย ๆ แผ่ลงมาราวกับโอบกอดสรรพสิ่งไว้ด้วยความเท่าเทียม เขายิ้ม และกล่าวเบา ๆ “หนทางแห่งสวรรค์… อยู่ตรงการไม่ยึดมั่นในสิ่งใดเลย”

และในยามนั้น เสียงลมที่พัดผ่าน ดูราวกับคำตอบของจักรวาลเอง

ภาพประกอบนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องหนทางแห่งสวรรค์ 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ความยิ่งใหญ่ที่แท้จริงไม่ได้อยู่ในอำนาจหรือความมั่งคั่ง แต่อยู่ในการเข้าใจสมดุลของธรรมชาติ และรู้จัก “ให้” เพื่อให้โลกดำรงอยู่อย่างกลมกลืน สิ่งที่มากเกินควรถูกลด สิ่งที่ขาดควรถูกเติม

ในเรื่อง เล่าจื๊อได้เรียนรู้จากชายเร่ร่อนนามอวิ๋น ผู้ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายไร้ความยึดติด อวิ๋นไม่แสวงหาเกียรติยศ ไม่ครอบครองสิ่งใดเกินจำเป็น เขาเพียงอยู่ตามจังหวะของโลก เหมือนสายน้ำที่ไหลไปโดยไม่ฝืน เมื่อเล่าจื๊อได้เห็นสิ่งนี้ เขาจึงเข้าใจว่า “หนทางแห่งสวรรค์” ไม่ใช่การแสวงหาความสูงสุด แต่คือการคืนความสมดุลให้แก่ชีวิตและสรรพสิ่ง เหมือนคันธนูของฟ้าที่ดึงส่วนสูงลงและยกส่วนต่ำขึ้น เพื่อให้ทุกอย่างดำรงอยู่ร่วมกันได้อย่างพอดี

อ่านต่อ: นิทานเต้าเต๋อจิงแฝงข้อคิดดี ๆ และปรัชญาชีวิตสุดลึกซึ้งในวิถีเต๋าจากเล่าจื๊อ

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องหนทางแห่งสวรรค์ (อังกฤษ: The Way of Heaven) นิทานเรื่องนี้มาจากคัมภีร์เต้าเต๋อจิงบทที่ 77 ซึ่งเล่าจื๊อกล่าวถึง “วิถีทางแห่งสวรรค์” โดยเปรียบฟ้ากับคันธนูที่ดึงส่วนที่สูงให้ต่ำลง และยกส่วนที่ต่ำให้สูงขึ้น เพื่อรักษาความสมดุลของทุกสรรพสิ่ง ฟ้าไม่ยึดไว้ซึ่งความมากเกินไป และไม่ปล่อยให้สิ่งใดขาดแคลนเกินจำเป็น สิ่งที่เหลือจะถูกคืนกลับไปยังสิ่งที่ขาดเสมอ นี่คือกฎแห่งสมดุลอันละเอียดอ่อน ที่ธรรมชาติปฏิบัติโดยไม่ต้องมีคำสั่งหรือผู้บังคับบัญชาใด ๆ เล่าจื๊อได้บันทึกไว้ว่า:

วิถีทางแห่งสวรรค์

หนทางของสวรรค์อาจเปรียบเหมือนการดึงคันธนู ส่วนที่สูงถูกดึงลง ส่วนที่ต่ำถูกยกขึ้น สวรรค์ลดสิ่งที่เกินความจำเป็น และเติมเต็มสิ่งที่ขาดแคลน

นี่คือหนทางของสวรรค์ที่คอยปรับสมดุลให้พอเหมาะ ไม่เหมือนกับหนทางของมนุษย์ที่มักเอาสิ่งที่มีไม่พอจากผู้อื่นมาเพิ่มให้ตัวเอง

ใครกันที่สามารถใช้ความอุดมสมบูรณ์ของตนเองเพื่อช่วยเหลือสรรพสิ่งใต้ฟ้าได้? มีเพียงผู้ที่ครอบครองเต๋าเท่านั้น

ดังนั้นปราชญ์ผู้ปกครองทำหน้าที่โดยไม่ยึดมั่นในผลลัพธ์ เขาสร้างคุณงามความดีแต่ไม่โอ้อวด ไม่แสดงความเหนือกว่าใคร

เล่าจื๊อสอนว่า ผู้ที่เข้าใจหนทางนี้จะไม่แสวงหาความได้เปรียบ หรือสะสมสิ่งใดเพื่อประโยชน์ตน เพราะยิ่งยึดไว้มาก ก็ยิ่งสูญเสียความกลมกลืนกับฟ้าและดิน ผู้มีคุณธรรมจึง “ให้” มากกว่ารับ ปล่อยวางมากกว่ายึดมั่น และกระทำโดยไม่หวังผล เพื่อให้ทุกสิ่งดำเนินไปตามธรรมชาติอย่างสมดุล

นิทานเรื่องนี้จึงถูกแต่งขึ้นเพื่อสะท้อนคำสอนในบทนี้ ผ่านการพบกันของเล่าจื๊อกับชายเร่ร่อนผู้เข้าใจความพอดีในชีวิตโดยไม่ต้องเรียนรู้จากคัมภีร์ เขามีเพียงความสงบและความไม่ยึดมั่น แต่กลับกลายเป็นผู้ที่อยู่ในแนวทางแห่งสวรรค์โดยแท้ นี่คือหัวใจของคำสอนในบทนี้ที่ว่า ความยิ่งใหญ่ของสวรรค์อยู่ใน “การให้โดยไม่ถือครอง” และการคืนสู่สมดุลแห่งธรรมชาติอันนิรันดร์

คติธรรม: “ผู้ที่เข้าใจหนทางแห่งสวรรค์ ย่อมให้สิ่งที่เกินกลับคืน และปล่อยสิ่งที่ขาดให้เติมเต็ม โดยไม่ยึดมั่นในของตน เพราะความสมดุลเกิดขึ้นจากการไม่ถือครอง และความยิ่งใหญ่เกิดขึ้นจากการปล่อยวาง”