ปกนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องปล่อยชีวิตดำเนินไปตามทางของมัน

นิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องปล่อยชีวิตดำเนินไปตามทางของมัน

ในโลกนี้ หลายคนมักคิดว่าการบังคับผลลัพธ์หรือแก้แค้นต่อความอยุติธรรมจะนำไปสู่ความยุติธรรม แต่คำสอนของเต๋าชี้ว่า การปล่อยให้ชีวิตดำเนินไปตามธรรมชาติ คือหนทางที่จะรักษาความสงบและความสมดุลภายในใจ

มีนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องหนึ่ง เล่าจื๊อสอนผ่านชายผู้เผชิญความอยุติธรรมและความสูญเสียทั้งหมด จนเรียนรู้ว่า การฝืนฟ้าและความโกรธไม่ช่วยให้ชีวิตดีขึ้น กับนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องปล่อยชีวิตดำเนินไปตามทางของมัน

ภาพประกอบนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องปล่อยชีวิตดำเนินไปตามทางของมัน

เนื้อเรื่องนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องปล่อยชีวิตดำเนินไปตามทางของมัน

ลมฤดูใบไม้ร่วงพัดเศษใบไม้แห้งปลิวกระทบกำแพงศาลา เสียงระฆังจากวัดด้านตะวันตกดังแว่วเป็นระยะ ๆ เหมือนเสียงสะอื้นของฟ้า

เมืองฉางอานในยามนั้นคลาคล่ำด้วยความหวาดกลัว ข้าหลวงผู้ซื่อสัตย์ “ลู่เหวิน” ถูกตัดสินว่ารับสินบนจากพ่อค้าเกลือ ทั้งที่หลักฐานปลอมสร้างโดยขุนนางใหญ่ “เจิ้งหง” ผู้ซึ่งต้องการกลบความชั่วของตนเอง

ขณะเขาถูกปลดออกจากตำแหน่ง เสียงของผู้คนซุบซิบราวกับมีดเฉือนหัวใจ “คนที่เคยเทศน์สอนเรื่องคุณธรรมกลับรับสินบนเสียเอง!”

“ดูสิ! นี่แหละกรรมของคนชอบว่าผู้อื่นเป็นชั่ว!”

ลู่เหวินก้มหน้ากลางลานศาลา เหงื่อเย็นไหลซึมตามไรผม มือที่เคยถือปากกาเซ็นรับบัญชีราชการ สั่นจนควบคุมไม่อยู่

เขาไม่พูด ไม่อธิบาย เพราะรู้ว่าไม่มีคำใดชนะอำนาจที่ถูกซื้อไปแล้ว

วันเดียวกันนั้นเอง ภรรยาและลูกชายวัยหกขวบของเขาล้มป่วยด้วยโรคร้ายในย่านชาวบ้าน ยาขาดแคลน สมุนไพรทั้งหมดถูกเก็บส่งขึ้นวังเพื่อรักษาเจิ้งหงที่เพิ่ง “ไม่สบายเพราะเครียดจากคดี”

เขานั่งมองลูกหายใจรวยรินด้วยตาแดงกร่ำ เสียงภรรยาครวญเบา “ฟ้ายังจะมองข้ามเราอีกหรือ…”

แต่คำตอบของฟ้ามีเพียงเสียงฟ้าผ่าดังสนั่น ฝนตกลงมาอย่างหนักในคืนที่ควรแห้งแล้ง หลุมศพเล็ก ๆ สองหลุมข้างกระท่อมกลายเป็นโคลนเปียก ลู่เหวินยืนอยู่ในสายฝน มองขึ้นฟ้า

“หากฟ้ามีตา เหตุใดจึงปล่อยให้คนชั่วสุขสบาย คนดีต้องตายด้วยความทนทุกข์?”

เสียงนั้นไม่ได้มีใครตอบ มีเพียงสายฟ้าที่แลบวาบ ราวกับเย้ยเยาะมนุษย์ผู้ท้าทายสวรรค์

จากนั้น… สิ่งที่เหลืออยู่ในใจเขา ไม่ใช่ศรัทธาอีกต่อไป แต่คือไฟแห่งความแค้น

หลายคืนผ่านไป เขาเริ่มเก็บข่าวลือ วางแผนลอบเข้าเมืองในคืนเทศกาลไฟ เพื่อทำในสิ่งที่เขาเชื่อว่า “ฟ้าควรทำแต่ไม่ทำ”

เขาจะเป็นมือแห่งความยุติธรรมด้วยตัวเอง แม้ต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม

ค่ำคืนแห่งเทศกาลไฟ เมืองฉางอานสว่างไสวด้วยคบเพลิงและโคมลอยนับพัน เสียงขลุ่ยและหัวเราะของผู้คนดังระงม แต่ในตรอกแคบด้านหลังคฤหาสน์เจิ้งหง มีเพียงเงาหนึ่งกำลังเคลื่อนไหวอย่างเงียบงัน

ลู่เหวินในชุดชาวบ้าน ถือมีดสั้นที่ใช้เฉือนไม้ แต่คืนนี้จะเฉือนเนื้อคน เขาเล็ดลอดเข้าไปในเรือนหลังใหญ่ ผ่านบานประตูที่เปิดไว้เพื่อรับอากาศเย็นยามค่ำ ในห้องโถง เจิ้งหงกำลังนั่งดื่มสุรากับนางบำเรอ เสียงหัวเราะของคนที่ไม่เคยรู้จักคำว่า “บาป”

เพียงชั่วพริบตาเดียว มีดในมือของลู่เหวินเฉือนลำคอขุนนางชั่ว เสียงเลือดกระเซ็นใส่ผนัง ผสมกับเสียงโคมที่หล่นแตก

“นี่คือความยุติธรรมของข้า…” เขาพึมพำ

แต่ความโล่งใจที่หวังกลับไม่มา หัวใจเขายังหนักกว่าเดิม ราวกับฟ้ากำลังหัวเราะอยู่บนหัวเขา

ลู่เหวินมองไปยังยอดเขาทางเหนือ ที่นั่นคือ “วิหารแห่งสวรรค์” สถานที่ที่ประชาชนเชื่อว่าฟ้ารับฟังคำอธิษฐาน “หากฟ้าสมรู้ร่วมคิดกับคนเลว เช่นนั้นข้าจะเผามันทิ้งเสีย”

เขาเดินฝ่าสายฝนขึ้นไปบนเขา พอถึงวิหาร เขาจุดคบเพลิงโยนใส่ผ้าแพรศักดิ์สิทธิ์ ไฟลุกพรึบขึ้นทันที เปลวเพลิงสะท้อนในดวงตาเต็มไปด้วยความบ้าคลั่งและเศร้า

“สวรรค์! ได้ยินไหม ข้าคือคนที่เจ้าทอดทิ้ง! ถ้ามีธรรมอยู่จริง จงมาลงโทษข้า!”

แต่ฟ้ายังเงียบเช่นเดิม มีเพียงเสียงไม้กำลังแตก เสียงไฟกลืนศาลาจนเหลือเพียงเถ้าถ่าน และเงาของชายผู้เผาสวรรค์ที่ค่อย ๆ จางหายไปในควัน

รุ่งเช้า เขาถูกจับได้ที่เชิงเขา เลือดติดมือยังไม่แห้ง ขณะถูกมัดมือและพาไปยังศาลากลาง เขาไม่ร้องขอชีวิต ไม่หนี ไม่แม้แต่จะหลบตา

เพียงกล่าวว่า “ข้าเพียงทำในสิ่งที่ฟ้าไม่กล้าทำเท่านั้นเอง”

แต่ในใจลึก ๆ เขาเริ่มได้ยินเสียงบางอย่างก้องขึ้นมา… เสียงนั้นอ่อนโยน แต่ชัดเจน “เจ้ากล้าทำสิ่งใหญ่ แต่เจ้ากล้าที่จะหยุดหรือไม่?”

ภาพประกอบนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องปล่อยชีวิตดำเนินไปตามทางของมัน 2

เสียงโซ่ตรวนกระทบกันเบา ๆ ในเช้าหม่น ขบวนทหารนำลู่เหวินมุ่งสู่เมืองเพื่อรอคำพิพากษา แต่กลางทางมีชายชราในชุดผ้าป่านสีเทายืนอยู่ข้างสะพานไม้เก่า

เขาเพียงยิ้มอ่อน เอ่ยกับหัวหน้าทหารว่า “ปล่อยเขาไว้ที่นี่สักวันเถิด ข้าขอสนทนากับเขา”

ทหารเหล่านั้นแปลกใจ แต่เมื่อรู้ว่าคนตรงหน้าคือท่านเล่าจื๊อ ปรามาจารย์เต๋าที่แม้แต่ขุนนางยังยำเกรง พวกเขาจึงยอมถอยกลับ ทิ้งเพียงชายที่ถูกโซ่พันมือไว้กับชายชรา

ลู่เหวินหัวเราะเยาะตนเอง “ปราชญ์ผู้เลื่องชื่อมาสอนนักโทษหรือ?” เล่าจื๊อไม่ตอบ

เพียงเทน้ำชาลงถ้วยดินเผาสองใบ แล้วกล่าวเบา ๆ “เมื่อชามแตก น้ำย่อมไหลออก แต่เมื่อน้ำไหลมากเกินชาม มันก็ไม่ต่างจากการแตก… เจ้าคิดว่าอย่างไหนดีกว่ากัน?”

ลู่เหวินนิ่ง เงยหน้าขึ้นอย่างไม่เข้าใจ “ข้าไม่ต้องการปริศนา ข้าต้องการรู้ว่าทำไมฟ้าจึงปล่อยให้คนชั่วอยู่ ส่วนคนดีคนซื่อสัตย์ต้องตาย!”

เล่าจื๊อถอนหายใจยาว “ในชีวิตข้า มีศิษย์สองคน… หนึ่งชื่อหลิงอู่ อีกคนชื่ออี้เหวิน คนหนึ่งกล้าที่จะฝ่าฝืนสวรรค์เพราะเห็นว่าฟ้าไม่ยุติธรรม อีกคนกล้าที่จะ ไม่ฝืน แม้ฟ้าจะโหดร้ายต่อเขาเพียงใด เจ้าอยากฟังเรื่องของพวกเขาหรือไม่?”

“หากมันทำให้ข้าเข้าใจเหตุแห่งฟ้า ข้ายินดีฟัง”

“งั้นเจ้าจงฟังด้วยใจที่สงบ เพราะคำตอบของฟ้ามิได้อยู่ในเสียงของข้า แต่อยู่ในความเงียบของเจ้าเอง”

เสียงลมพัดผ่านต้นสนเบื้องหลังศาลา กลิ่นชาอุ่นจาง ๆ ลอยปนในอากาศ

เล่าจื๊อเริ่มเล่าช้า ๆ “หลิงอู่ เป็นศิษย์ที่มีใจกล้าหาญ เขาเห็นเจ้านายโกงกินก็ออกมาประณาม วันหนึ่งเมื่อเจ้านายสั่งฆ่าชาวบ้าน เขาจึงลงมือฆ่าเจ้านายเสียเอง ฟ้ารู้เรื่องนั้น และฝนตกทั้งวันทั้งคืนไม่หยุด หมู่บ้านของเขาจมน้ำ ผู้คนเรียกเขาว่าวีรบุรุษ แต่ข้ากลับเห็นเขาเป็นเพียงคนที่กล้าทำในสิ่งที่ตนอยากทำ โดยไม่รู้ว่าฟ้ากำลังสอนอะไร”

“แล้วอีกคนล่ะ?” ลู่เหวินถาม

“อี้เหวิน เป็นศิษย์ที่อ่อนโยน เขาเห็นความอยุติธรรมเช่นกัน แต่เลือกดูแลผู้คนที่เดือดร้อนจากมัน

เขาไม่ต่อต้าน ไม่โกรธ เขากล้าที่จะ ไม่กล้า ทำสิ่งที่ผิด แม้ต้องอยู่ใต้คนชั่ว

หลายปีผ่านไป เจ้านายผู้นั้นถูกประหารเพราะความชั่วของตนเอง ส่วนอี้เหวินยังอยู่ มีลู

หลานมากมาย และผู้คนจดจำเขาในฐานะผู้สร้างสะพานไม้ที่ไม่เคยพังแม้ฝนตกหลายฤดู”

เล่าจื๊อหันมามองตรง “เจ้าว่าใครชนะ?”

ลู่เหวินนิ่งไปนาน ก่อนตอบ “ข้าไม่รู้… หลิงอู่ได้ทำสิ่งที่ฟ้าไม่ทำ แต่อี้เหวินก็รอดในสิ่งที่ฟ้าไม่ช่วย”

เล่าจื๊อยิ้มบาง ๆ “และนั่นเองคือคำตอบ เจ้าอยากเข้าใจฟ้า แต่เจ้าใช้หัวใจที่ถูกไฟเผาไปแล้ว ถ้าฟ้าเหมือนมนุษย์ที่ต้องตอบสนองต่อความโกรธของเจ้า แล้วจะต่างจากเจ้าอย่างไร?”

ค่ำวันนั้น หลังดวงอาทิตย์ลับเขา ลู่เหวินนั่งอยู่คนเดียวในลานศาลา เขามองเห็นแสงดาวระยิบระยับบนฟ้า ฟ้าที่เขาเคยด่าทอและสาปแช่ง เสียงของเล่าจื๊อยังคงก้องอยู่ในใจ

“เราไม่อาจรู้ผลลัพธ์สุดท้ายของเหตุการณ์ได้ทั้งหมด การพยายามควบคุมทุกสิ่งหรือเร่งรัดให้เกิดผลตามใจตนมักสร้างความเสียหายแทนที่จะได้ประโยชน์”

น้ำตาของชายผู้เคยเผาวิหารค่อย ๆ ไหลลงมา ครั้งแรกในรอบหลายปีที่เขารู้สึกว่าหัวใจยังเต้นอยู่จริง ๆ

เช้าวันรุ่งขึ้น ทหารมารับตัวเขาไปยังศาลากลางเพื่อรับโทษ แต่บนใบหน้าที่เคยแข็งกร้าวกลับสงบ

เขาค้อมศีรษะต่อเล่าจื๊อ เอ่ยเพียงประโยคสั้น ๆ ก่อนจาก “ข้ารู้แล้วว่า ข้าไม่ได้แพ้ฟ้า ข้าเพียงแพ้ใจตนเอง…”

เล่าจื๊อพยักหน้าเบา ๆ “ผู้ที่กล้าอย่างแท้จริง คือผู้ที่กล้าที่จะไม่กล้า เพราะเขายอมให้เต๋านำทางแทนตนเอง”

เสียงระฆังวัดดังขึ้นอีกครั้ง ลู่เหวินเดินไปตามทางดินแคบ ๆ ที่ทอดสู่เมือง แสงอาทิตย์ยามรุ่งจับต้องเงาไม้ เหมือนแสงที่ลอดผ่านรอยแยกของฟ้า เขาไม่ได้มองย้อนกลับมาอีกเลย

และในความเงียบนั้น มีเพียงเสียงของสายลมเอ่ยช้า ๆ ราวถ้อยคำของสวรรค์… “ปล่อยให้ชีวิตดำเนินไปตามทางของมัน”

ภาพประกอบนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องปล่อยชีวิตดำเนินไปตามทางของมัน 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ชีวิตไม่สามารถถูกควบคุมหรือคาดการณ์ได้ทั้งหมด การพยายามบังคับผลลัพธ์หรือแก้แค้นต่อความอยุติธรรมเพียงอย่างเดียว มักนำมาซึ่งความทุกข์และความเสียหาย นี่คือแก่นของปล่อยให้ชีวิตดำเนินไปตามทางของมัน

ในนิทาน ลู่เหวินผู้เคยเป็นข้าหลวงผู้ซื่อสัตย์ ต้องเผชิญความอยุติธรรมและการสูญเสียทั้งหมดเมื่อพยายามแก้แค้นและท้าทายฟ้า แต่การเผชิญหน้ากับความโกรธและความบ้าคลั่งไม่ได้ช่วยให้เขาพบความยุติธรรมหรือความสงบ กลับกัน เขาเรียนรู้จากคำสอนของเล่าจื๊อว่า การยอมรับความเป็นไปของชีวิตและปล่อยให้สิ่งต่าง ๆ ดำเนินไปตามธรรมชาติ คือหนทางที่จะรักษาจิตใจให้สงบ เข้าใจเหตุและผล และไม่สูญเสียตัวเองไปกับความโกรธหรือความอยากควบคุมผู้อื่น

อ่านต่อ: นิทานเต้าเต๋อจิงแฝงข้อคิดดี ๆ และปรัชญาชีวิตสุดลึกซึ้งในวิถีเต๋าของเล่าจื๊อ

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องปล่อยชีวิตดำเนินไปตามทางของมัน (อังกฤษ: Allowing Men to Take Their Course) นิทานเรื่องนี้มาจากคัมภีร์เต้าเต๋อจิงบทที่ 73 ซึ่งกล่าวถึงการ “ปล่อยให้ชีวิตดำเนินไปตามทางของมัน” อันเป็นแก่นแท้ของวิถีเต๋า ความพยายามควบคุมหรือฝืนธรรมชาติของชีวิตไม่สามารถนำไปสู่ความสงบได้ การปล่อยให้สิ่งต่าง ๆ ดำเนินไปตามธรรมชาติ คือหนทางสู่ความเข้าใจตนเองและความสมดุลภายใน เล่าจื๊อได้บันทึกไว้ว่า:

ปล่อยให้ชีวิตดำเนินไปตามทางของมัน

ผู้ที่กล้าอย่างไม่รู้ที่ต่ำที่สูง กล้าที่จะฝ่าฝืนกฎหมายหรือทำผิดศีลธรรม ย่อมพบกับหายนะและความตาย
แต่ผู้ที่กล้าอย่างมีปัญญา กล้าที่จะ “ไม่กล้า” ทำสิ่งผิด กลับดำรงชีวิตอย่างยั่งยืน

ในสองหนทางนี้ หนึ่งดูเหมือนให้ประโยชน์ อีกหนึ่งดูเหมือนเสียเปรียบ แต่แท้จริงแล้ว ไม่มีผู้ใดรู้ได้แน่ว่า อะไรคือผลลัพธ์สุดท้ายเมื่อฟ้ามีบัญชา

ดังที่กล่าวไว้ว่า “เมื่อโทสะแห่งสวรรค์ลงทัณฑ์ผู้หนึ่ง มีผู้ใดเล่าจะเข้าใจเหตุแห่งนั้นได้จริง?”

เพราะเช่นนั้น ปราชญ์จึงไม่เร่งตัดสินผู้อื่น เขารู้ว่าฟ้ามิได้ต่อสู้กับสิ่งใด แต่กลับชนะได้โดยไม่ต้องใช้กำลัง
ฟ้ามิได้เอ่ยคำ แต่ได้รับคำตอบโดยธรรมชาติ มิได้เรียกหา แต่ผู้คนกลับมาหาเอง
แม้ความเคลื่อนไหวของฟ้าดูเงียบสงบ แต่ทุกสิ่งล้วนดำเนินไปอย่างมีระเบียบ

ข่ายของสวรรค์กว้างใหญ่และห่างกันราวจะปล่อยให้สิ่งต่าง ๆ หลุดรอดได้ แต่แท้จริงแล้ว ไม่มีสิ่งใดหลุดพ้นไปจากเต๋าเลยแม้แต่น้อย

โดยเล่าจื๊อสอนว่า เราไม่อาจรู้ผลลัพธ์สุดท้ายของเหตุการณ์ได้ทั้งหมด การพยายามควบคุมทุกสิ่งหรือเร่งรัดให้เกิดผลตามใจตนมักสร้างความเสียหายแทนที่จะได้ประโยชน์ ความไม่ยึดติด การละวาง และเชื่อในความเรียบร้อยตามธรรมชาติของชีวิตและโลก โดยไม่พยายามบังคับหรือฝืนสิ่งที่เกิดขึ้น

นิทานเรื่องนี้จึงถูกแต่งขึ้นเพื่อสะท้อนคำสอนในบทดังกล่าว โดยเปรียบการพยายามบังคับผลลัพธ์กับความทุกข์และความเสียหายที่เกิดขึ้น แม้ภายนอกจะดูเหมือนสิ่งต่าง ๆ ยังคงผิดพลาดหรือโหดร้าย แต่แท้จริงแล้วเป็นโอกาสให้กลับมาสู่ความสงบภายใน และนี่คือหัวใจของ “ปล่อยให้ชีวิตดำเนินไปตามทางของมัน” ที่เล่าจื๊ออยากให้ผู้คนได้ตระหนักและเรียนรู้

คติธรรม: “ผู้ที่เข้าใจชีวิตไม่พยายามบังคับสิ่งใด แต่ปล่อยให้ทุกสิ่งดำเนินไปตามธรรมชาติ เขาย่อมพบความสงบ แม้ฟ้าอาจไม่ตอบสนองต่อความโกรธหรือความอยากของตน”