ปกนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องใช้พลังลึกลับแห่งเต๋า

นิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องใช้พลังลึกลับแห่งเต๋า

ในโลกนี้ หลายคนมักเชื่อว่าชัยชนะเกิดจากแรงและอำนาจ แต่คำสอนของเต๋าชี้ว่า ความสงบและความเข้าใจต่างหากคือพลังที่แท้จริง

มีนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องหนึ่ง ที่เล่าจื๊อสอนให้ผู้คนเห็นคุณค่าของการปล่อยวางและการเคลื่อนไหวโดยไม่บังคับ ผ่านเรื่องราวของผู้ที่ค้นพบพลังลึกลับแห่งเต๋า ซึ่งเปลี่ยนใจและมุมมองของตนเองไปตลอดกาล กับนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องใช้พลังลึกลับแห่งเต๋า

ภาพประกอบนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องใช้พลังลึกลับแห่งเต๋า

เนื้อเรื่องนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องใช้พลังลึกลับแห่งเต๋า

กาลหนึ่ง เมฆครึ้มปกคลุมพระราชวังแห่งรัฐฉี บนบัลลังก์ทอง ฮ่องเต้หนุ่มผู้ทะเยอทะยานยืนทอดพระเนตรแผนที่ศึกที่คลี่อยู่เบื้องหน้า ขอบเขตแดนของอ๋องหลินกำลังขยายเข้ามาไม่หยุดเสียงรายงานจากแม่ทัพทำให้บรรยากาศในท้องพระโรงตึงเครียด

“ฝ่าบาท หากเรามิรีบโจมตี ศัตรูจะเข้ายึดหุบเขาอวิ๋นภายในไม่กี่วัน!” แม่ทัพหลิวหานคุกเข่ากล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แต่ฮ่องเต้ยังคงเงียบ พระเนตรเต็มไปด้วยความกังวล

“การชนะศึก ข้าก็อยากได้” พระองค์ตรัสเบา “แต่ข้าไม่อยากให้เลือดของประชาชนต้องรินไหลทั่วแผ่นดิน”

ข้าราชบริพารคนหนึ่งกราบทูล “ใต้หล้า มีแต่ท่านเล่าจื๊อเท่านั้นผู้เข้าใจพลังลึกลับแห่งเต๋า ว่ากันว่าท่านสามารถทำให้สงครามยุติโดยไม่ต้องรบจริง”

ฮ่องเต้พยักหน้า “จงส่งสารไปเชิญบรมครูผู้นั้นมา หากเต๋ามีจริง ข้าอยากเห็นด้วยตาตนเอง”

สามวันต่อมา…

เสียงกลองศึกดังสะท้อนทั่วแผ่นดินฉี เหล่าทหารกำลังเร่งฝึกอาวุธ เสียงเหล็กกระทบกันดังระงมทั่วลาน ท่ามกลางกลิ่นเหงื่อและฝุ่นดินนั้น ชายชราผมขาวยาวถึงบ่า เดินช้า ๆ เข้ามาในค่าย

“ท่านคือเล่าจื๊อหรือไม่?” แม่ทัพหนุ่มหลิวหานเอ่ยขึ้น พลางก้มหัวด้วยความเคารพ

“ข้าได้ยินชื่อเสียงของท่านมานาน ว่ารู้วิชาเต๋าอันลึกล้ำ ข้าอยากเรียนรู้พลังนั้น เพื่อให้แผ่นดินนี้สงบโดยไม่ต้องพ่ายแพ้ใคร”

เล่าจื๊อยิ้มบาง ๆ “เจ้าพูดถึง ‘พลัง’ แต่เต๋า… มิใช่พลังที่เจ้าคิด”

หลิวหานขมวดคิ้ว “มิใช่พลัง? แล้วมันคือสิ่งใดกันเล่า?”

“เต๋า… ไร้รูป ไร้เสียง ไร้กลิ่น” เสียงชรานุ่มและแผ่วเบา “แต่เมื่อเจ้าก้าวเดินตามมัน โลกจะคล้อยตามเจ้าเอง แม้เจ้ามิได้ออกแรงแม้แต่น้อย”

แม่ทัพหนุ่มหัวเราะเบา ๆ “คำของท่านฟังดูสูงส่ง แต่ในสนามรบ หากข้าไม่ออกแรง ไม่ชักดาบ จะชนะได้อย่างไร?”

เล่าจื๊อหันสายตาไปยังลานกว้างที่ทหารกำลังฝึกดาบ “เจ้าจะรู้คำตอบ เมื่อเจ้าหยุดฝึก ‘การต่อสู้’ แล้วเริ่มฝึก ‘การหยุดต่อสู้’ แทน”

คำพูดนั้นเหมือนเมล็ดพันธุ์ที่ตกลงบนพื้นแห้งผาก ยังไม่งอกงาม แต่ซ่อนชีวิตไว้ภายใน

หลายสัปดาห์ต่อมา กองทัพฉีเผชิญหน้ากับกองทัพอ๋องหลินที่ชายแดนหุบเขา
เสียงกลองศึกดังสะท้านฟ้า เหล่าทหารเตรียมอาวุธพร้อมรบ

แต่เล่าจื๊อสั่งเพียงว่า “อย่าตั้งโล่ อย่าชูหอก อย่าบุกแม้ครึ่งก้าว จงนิ่งเสีย”

หลิวหานตกใจ “นิ่ง? ตอนนี้หรือ? ศัตรูกำลังบุกมาเป็นหมื่น!”

เล่าจื๊อหันมามองด้วยสายตาอ่อนโยน “เมื่อเจ้าวิ่งตามพายุ เจ้าจะถูกกลืนไปกับมัน แต่เมื่อเจ้าหยุด… พายุจะผ่านไปเอง”

หลิวหานกัดฟันแน่น แต่สุดท้ายก็ยอมทำตาม เขาสั่งให้ทัพหยุดเคลื่อนไหว ทหารทุกนายยืนเงียบ ราวกับภูเขาหิน

ยามค่ำ หมอกขาวหนาทึบลอยเข้าปกคลุมทั่วสนามรบ กองทัพศัตรูที่รุกมาถึงหุบเขาเริ่มมองไม่เห็นเส้นทาง เสียงตะโกนสับสนดังขึ้นในความมืด

“แม่ทัพ! ทางนี้ไม่ใช่แนวเดิม!”
“พวกเราหลงทาง!”

หลิวหานมองภาพนั้นอยู่ไกล ๆ ใจสั่นระรัว นี่หรือคือเต๋า… มันเคลื่อนไหวเอง โดยที่เราไม่ต้องเคลื่อนไหวเลย…

เล่าจื๊อยืนเงียบอยู่ข้างเขา สายลมอ่อนพัดปลายหนวดเคราขาวสะบัดเบา ๆ “เจ้ากำลังเห็นพลังลึกลับแห่งเต๋า มันไร้รูปร่าง แต่แผ่ไปทั่วทุกสิ่ง”

หลิวหานมองไปยังหมอกที่ปกคลุมหุบเขา ในสายหมอกนั้น เขาไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เห็นคือหมอก… หรือคือเต๋าเอง

ภาพประกอบนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องใช้พลังลึกลับแห่งเต๋า 2

รุ่งเช้าวันถัดมา หมอกยังหนาทึบราวม่านแห่งสวรรค์ เสียงศัตรูดังอยู่ห่างออกไป บางคนตะโกนหาทางกลับ บางคนเหวี่ยงหอกใส่อากาศ

หลิวหานเดินเข้ามาใกล้เล่าจื๊อ พลางถามเสียงเบา “พวกเขากำลังสับสน… เราควรโจมตีเดี๋ยวนี้ไหมท่าน?”

เล่าจื๊อส่ายหน้า “เต๋าไม่โจมตี เต๋าเพียง ‘ให้ทุกสิ่งเป็นไปของมัน’”

หลิวหานนิ่งคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะสั่งให้พลทหารจุดคบเพลิงเปลี่ยนตำแหน่ง “จุดไฟทางตะวันตกเฉียงเหนือ สร้างเงาไฟให้เหมือนเรามีกองทัพใหญ่ซุ่มอยู่”

ไม่นาน เสียงศัตรูดังระงมขึ้นอีกครั้ง “พวกเราถูกล้อม! พวกมันอยู่รอบตัวเราแล้ว!”

เสียงเท้าเร่งเร้าดังสะท้อนผ่านผืนหุบเขา เหล่าทหารของอ๋องหลินแตกตื่นหนีเอาชีวิตรอดโดยไม่มีใครบังคับ

หลิวหานยืนนิ่ง มองแสงไฟสะท้อนในหมอก ไม่มีเสียงเหล็กปะทะ ไม่มีเลือด ไม่มีเสียงร้องแต่สงครามก็จบลงแล้ว

นี่คือชัยชนะ… โดยที่ข้าแทบไม่ได้ขยับมือเลยสักครั้งเดียว…

เล่าจื๊อหัวเราะเบา ๆ “เมื่อเจ้าหยุด โลกจะเคลื่อนไหวแทนเจ้า นั่นแหละคือพลังลึกลับแห่งเต๋า”

หลิวหานค้อมศีรษะ “ข้าคิดว่าการไม่ทำคือความอ่อนแอ… แต่แท้จริงแล้ว มันคือการยอมให้เต๋าทำแทนเรา”

เล่าจื๊อยิ้ม “เมื่อเจ้ารู้จักวางอาวุธภายในใจ นั่นแหละเจ้าถืออาวุธที่ไม่มีวันพ่าย”

หลายวันต่อมา กองทัพฉีกลับเมืองหลวงพร้อมชัยชนะ ผู้คนร้องยินดี ราชสำนักจัดงานเฉลิมฉลอง

แต่หลิวหานกลับไม่ดื่ม ไม่ยิ้ม เขาเพียงจ้องเปลวเทียนที่ไหววูบในห้องสงบ

“ท่านอาจารย์…” เขากล่าวเสียงแผ่ว “เราชนะโดยไม่เสียเลือด… แต่ข้าไม่รู้สึกยินดีเลย”

เล่าจื๊อเดินเข้ามาช้า ๆ วางมือลงบนบ่าของเขา “เพราะเจ้าเริ่มรู้แล้ว ว่าชัยชนะที่แท้จริง มิได้อยู่ที่การมีอำนาจเหนือใคร แต่คือการคืนทุกสิ่งสู่สมดุล”

หลิวหานหลุบตาลง “เต๋าไม่ปรารถนาจะชนะ… เพราะเต๋าไม่เคยต่อสู้ตั้งแต่ต้น

เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เงียบงัน ลมพัดหมอกขาวให้ลอยบางเบา เงาของเล่าจื๊อค่อย ๆ เลือนหายไปกับสายลม

เสียงของอาจารย์ยังดังก้องอยู่ในใจ “ผู้ที่เศร้าต่อสงคราม นั่นแหละ คือผู้เข้าใจเต๋าแล้ว”

หลิวหานหลับตา สูดลมหายใจลึก ข้ารู้แล้ว… พลังลึกลับแห่งเต๋า มิใช่พลังที่เปลี่ยนโลก แต่คือพลังที่เปลี่ยนใจคน

วันรุ่งขึ้น เล่าจื๊อกลับเข้าเฝ้าฮ่องเต้ในท้องพระโรง พระองค์ประทับบนบัลลังก์ ทรงยิ้มเมื่อเห็นบรมครู “ท่านเล่าจื๊อ แผ่นดินฉีของเรามิได้เสียทหารแม้คนเดียว เต๋าของท่านช่างวิเศษยิ่งนัก”

เล่าจื๊อยกมือขึ้นช้า ๆ
“ฝ่าบาท เต๋ามิได้มีไว้เพื่อให้ผู้คนยกย่อง แต่เพื่อให้ผู้คนหยุดเบียดเบียนกัน”

“หากเต๋ามีพลัง” เขากล่าวต่อ “พลังนั้นไม่ใช่การบังคับโลก แต่คือการทำให้โลกกลับสู่ความสงบเดิมของมัน”

ฮ่องเต้ทอดพระเนตรไปนอกหน้าต่าง เห็นประชาชนกลับมาทำนาอย่างสงบ “ข้าเข้าใจแล้ว… ชัยชนะที่แท้ มิใช่การขยายแผ่นดิน แต่คือการรักษาความสงบในใจราษฎร”

เล่าจื๊อยิ้มบาง ๆ “นั่นแหละฝ่าบาท คือการใช้พลังลึกลับแห่งเต๋าโดยแท้”

แสงอาทิตย์อ่อนส่องลอดผ่านม่านทอง เสียงลมพัดพลิ้วผ่านพระลาน เล่าจื๊อเดินจากไปเงียบ ๆ ทิ้งไว้เพียงความสงบที่กระจายทั่วทั้งวัง เหมือนเต๋าที่ไม่อาจเห็น แต่แผ่ไปทั่วทุกสิ่ง

ภาพประกอบนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องใช้พลังลึกลับแห่งเต๋า 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า.. พลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุด มิใช่พลังที่ใช้เอาชนะผู้อื่น แต่คือพลังที่เปลี่ยนแปลงจิตใจตนเองให้สงบและเมตตา นี่คือแก่นของพลังลึกลับแห่งเต๋า

ในเรื่องนี้ เล่าจื๊อสอนให้แม่ทัพหลิวหานเข้าใจว่า เต๋ามิใช่กลยุทธ์หรืออาคม แต่คือหนทางแห่งความสมดุลและความสงบ เมื่อหลิวหานใช้เต๋านำกองทัพโดยไม่ฆ่าฟัน เขาได้ชัยชนะโดยไม่สร้างความทุกข์ และเมื่อเขาเศร้าต่อสงครามแม้จะชนะ นั่นแสดงว่าเขาเข้าใจเต๋าแล้วอย่างแท้จริง ว่าการเอาชนะใจตน สำคัญกว่าการเอาชนะโลก

อ่านต่อ: เรียนรู้ปรัชญาเต๋าลึกซึ้งแบบเข้าใจง่าย ๆ ผ่านนิทานเต้าเต๋อจิงสั้น ๆ สนก ๆ ที่นี่ taleZZZ.com

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องใช้พลังลึกลับแห่งเต๋า (อังกฤษ: The Use of The Mysterious Dao) นิทานเรื่องนี้มาจากคัมภีร์เต้าเต๋อจิงบทที่ 69 ซึ่งกล่าวถึงการใช้ “พลังลึกลับ” อันเป็นแก่นแท้ของวิถีเต๋า ที่ความสงบและความไม่ฝืนธรรมชาติย่อมชนะความแข็งและความรุนแรง พลังที่แท้จริงมิใช่การเอาชนะผู้อื่น แต่คือการเข้าใจโลกและใจตนเองให้คล้อยตามสรรพสิ่ง โดยไม่ต้องใช้แรงหรืออำนาจโดยตรง เล่าจื๊อได้บันทึกไว้ว่า:

การใช้พลังลึกลับแห่งเต๋า

บรมครูด้านศิลปะแห่งสงครามเคยกล่าวไว้ว่า
ข้าพเจ้าไม่กล้าเป็นฝ่ายเริ่มก่อน แต่ข้ายินดีจะเป็นฝ่ายรับไว้
ข้าไม่กล้าก้าวไปข้างหน้าแม้เพียงก้าวเดียว แต่จะถอยหลังสักฟุตหนึ่งแทน

สิ่งนี้เรียกว่าการจัดทัพโดยไม่มีทัพ
การเปลือยแขนต่อสู้โดยไม่ต้องยกแขนขึ้น
การถืออาวุธโดยไม่ต้องมีอาวุธอยู่ในมือ
การบุกเข้าหาศัตรู โดยที่แท้แล้วไม่มีศัตรูให้บุกเข้าใส่

ไม่มีภัยใดใหญ่หลวงไปกว่าการเริ่มสงครามอย่างประมาทเบาใจ
เพราะนั่นคือหนทางสู่การสูญเสียความอ่อนโยนอันล้ำค่าไปโดยสิ้นเชิง

ดังนั้น เมื่ออาวุธของสองฝ่ายต้องมาปะทะกันจริง ๆ
ผู้ที่รู้สึกเสียใจต่อสงครามต่างหาก คือผู้ชนะที่แท้จริง

โดยเล่าจื๊อสอนให้แม่ทัพหลิวหานเข้าใจว่า การหยุดนิ่งและวางใจให้โลกดำเนินไปเอง อาจนำมาซึ่งชัยชนะที่แท้จริง การต่อสู้ไม่จำเป็นต้องใช้กำลังเสมอไป แต่เพียงรู้จักปล่อยวาง รู้จักความสงบ และเข้าใจการเคลื่อนไหวของสิ่งรอบตัว ก็สามารถเปลี่ยนเหตุการณ์ให้เป็นผลลัพธ์ที่ต้องการได้

นิทานเรื่องนี้จึงถูกแต่งขึ้นเพื่อสะท้อนคำสอนในบทดังกล่าว โดยเปรียบการใช้กลยุทธ์ที่ไม่ปรากฏตาและความนิ่งสงบของกองทัพกับพลังลึกลับแห่งเต๋า แม้ภายนอกเหมือนข้าศึกจะชนะหรือสถานการณ์ย่ำแย่ แต่แท้จริงแล้วความเข้าใจและการไม่ฝืนธรรมชาติคือชัยชนะที่แท้จริง

คติธรรม: “ผู้ที่รู้จักหยุดก่อนจึงได้เดินต่อ ผู้ที่รู้จักถอยก่อนจึงไม่พ่ายแพ้ พลังที่แท้จริงมิใช่การฝืนโลก แต่คือการปล่อยให้สรรพสิ่งคล้อยตาม และชนะใจตนเองด้วยความสงบ”