ในโลกนี้ ผู้คนมักเข้าใจสิ่งเดียวกันแตกต่างกัน บางคนเชื่อและปฏิบัติตามอย่างจริงจัง บางคนลังเลและสับสน ส่วนบางคนหัวเราะเยาะในสิ่งที่เข้าใจยาก แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนไป คือความจริงและหนทางแห่งเต๋ายังคงดำเนินอยู่เสมอ
มีนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องหนึ่ง เล่าถึงศิษย์สามคนที่รับคำสอนแตกต่างกันสุดขั้ว เส้นทางชีวิตของแต่ละคนสะท้อนความจริงว่า การเข้าใจหรือไม่เข้าใจอาจต่างกัน แต่เต๋ายังคงเกื้อกูลและดำรงอยู่ในทุกสิ่งอย่างเงียบงัน กับนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องความเหมือนและความต่าง

เนื้อเรื่องนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องความเหมือนและความต่าง
ลมเย็นพัดแผ่วในยามเย็น ณ ศาลาไม้กลางหมู่บ้าน เสียงระฆังเล็ก ๆ ที่แขวนไว้ตรงชายคาไหวเบา ๆ ราวกับประกาศการเริ่มต้นบทเรียนสำคัญ
ท่านเล่าจื๊อนั่งนิ่งด้วยสีหน้าสงบ ราวกับสายธารที่ไหลเรื่อยไม่หวั่นไหว รอบตัวท่านมีศิษย์นั่งเรียงอยู่สามคน แต่ละคนต่างมีแววตาและอุปนิสัยแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ศิษย์คนแรก ชายหนุ่มผู้เคร่งขรึม ก้มหน้าลงอย่างนอบน้อม ดวงตาเป็นประกายราวกับกระหายจะเรียนรู้ทุกถ้อยคำ
ศิษย์คนที่สอง ชายวัยกลางคน ใบหน้าดูสับสน บางครั้งพยักหน้าเห็นด้วย แต่บางครั้งก็กระสับกระส่ายเหมือนไม่อาจตัดสินใจ
ศิษย์คนที่สาม หนุ่มร่างสูงใหญ่ แววตาซุกซน แอบยกยิ้มเยาะอยู่บ่อย ๆ คล้ายเห็นทุกสิ่งเป็นเพียงเรื่องตลกขบขัน
เล่าจื๊อทอดตามองศิษย์ทั้งสาม ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงเรียบอ่อนโยน “หนทางแห่งเต๋า มิใช่สิ่งที่เห็นได้ด้วยตา มิใช่สิ่งที่จับต้องได้ด้วยมือ หากแต่คือสายลมหายใจที่หล่อเลี้ยงทุกชีวิต”

ศิษย์คนแรกประนมมือขึ้นทันที “อาจารย์ โปรดชี้แนะเถิด ข้าจะนำคำสอนนี้ไปปฏิบัติให้เต็มที่”
ศิษย์คนที่สองขมวดคิ้ว “เต๋า… คือสิ่งที่มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้…แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่ามันมีอยู่จริง?”
ศิษย์คนที่สามหัวเราะเสียงดัง “ฮ่า ฮ่า! ถ้าเจ้าพูดว่าหนทางที่แท้จริงมองไม่เห็น แล้วเราจะไม่เดินหลงไปกันหมดหรือ? ช่างเป็นเรื่องเหลวไหล!”
เล่าจื๊อมิได้โกรธหรือห้ามปราม เพียงยิ้มบาง ๆ แล้วหลับตาลง ดุจสายลมที่ปล่อยให้เสียงหัวเราะนั้นลอยหายไปเอง
รุ่งอรุณวันต่อมา แสงตะวันแรกสาดผ่านทิวเขา เสียงนกก้องกังวาน ศิษย์ทั้งสามกลับมานั่งล้อมเล่าจื๊ออีกครั้ง
เล่าจื๊อหยิบขันไม้ที่บรรจุน้ำใสขึ้นมา “จงดูเถิด น้ำนี้ใสกระจ่าง แต่ไร้ซึ่งรูปทรงของตนเอง มันเข้ากับทุกสิ่งได้โดยไม่ขัดแย้ง นี่แหละหนทางของเต๋า”
ศิษย์คนแรกเพ่งมองตาไม่กะพริบ ก่อนเอ่ยเบา ๆ “น้ำไร้รูป แต่กลับเกื้อกูลแก่สรรพสิ่ง ข้าเข้าใจแล้วอาจารย์…ข้าจะใช้ชีวิตดุจน้ำนั้น”
ศิษย์คนที่สองส่ายหัวเบา ๆ “บางครั้งข้าอยากเชื่อ แต่บางครั้งก็คิดว่าเป็นเพียงคำสอนลอยลม… เต๋าอาจดีจริง แต่ใครจะพิสูจน์ได้เล่า?”
ศิษย์คนที่สามหัวเราะพลางตักน้ำขึ้นมาจิบ “อา… ก็น้ำธรรมดานี่เอง ข้าดื่มได้ทุกวัน ไม่เห็นต้องไปคิดอะไรให้ยุ่งยาก ฮ่า ฮ่า!”
เล่าจื๊อเพียงยิ้มบาง ๆ อีกครั้ง ไม่ตำหนิ ไม่บังคับ ปล่อยให้ปฏิกิริยาของศิษย์แต่ละคนสะท้อนจิตใจของตนเอง

กาลเวลาผ่านไปหลายปี เมล็ดพันธุ์แห่งคำสอนที่เล่าจื๊อหว่านไว้ ได้เติบโตแตกต่างกันในใจศิษย์แต่ละคน
ศิษย์คนแรก เลือกใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายในหมู่บ้าน เขาตื่นเช้าตรู่ ออกไปช่วยชาวบ้านทำนา ซ่อมสะพานเล็ก ๆ และแบ่งปันข้าวปลากับเพื่อนบ้าน ใคร ๆ ต่างเคารพรักเพราะเขาไม่โอ้อวด “น้ำที่ไร้รูป ย่อมหล่อเลี้ยงชีวิต ข้าขอเป็นเช่นนั้น” เขามักเอ่ยเสมอ ทุกย่างก้าวของเขาคือการปฏิบัติเต๋าโดยไม่ต้องกล่าวคำสอนใด
ศิษย์คนที่สอง เดินทางไปทั่ว เหมือนใจยังหาคำตอบไม่ได้ วันหนึ่งเขาใช้ชีวิตสงบอยู่ท่ามกลางหุบเขา นั่งสมาธิฟังเสียงลม แต่ไม่นานก็กลับไปหลงใหลในความวุ่นวายของตลาดเมืองใหญ่ ดื่มสุรากับนักเลงและถกเถียงเรื่องคำสอนอย่างเคร่งเครียด “บางที…ข้าเชื่อได้ แต่บางครั้งก็คล้ายเป็นหมอกควัน” เขามักบ่นกับตนเอง เขาหาความสงบเจอ แต่ไม่อาจรักษาไว้ได้นาน
ศิษย์คนที่สาม ยังคงหัวเราะเยาะอยู่เสมอ เขากลายเป็นพ่อค้าใหญ่ เดินเรือค้าข้ามแม่น้ำ แต่ความโลภทำให้เขาต้องเผชิญหนี้สินและความขัดแย้งมากมาย ยามค่ำคืน เมื่อเหลือเพียงความเงียบ เขามักนั่งมองดวงจันทร์บนท้องฟ้า พลันนึกถึงเสียงเล่าจื๊อที่เคยกล่าว “หนทางแท้จริงมองไม่เห็น จับต้องไม่ได้”
เขาหัวเราะออกมา แต่คราวนี้หัวเราะอย่างฝืน ๆ คล้ายเสียงสะท้อนของความว่างเปล่า
วันหนึ่ง เมื่อกาลเวลาล่วงเลย ศิษย์ทั้งสามได้หวนกลับมายังศาลาเก่าใต้ร่มไม้ใหญ่ ที่ซึ่งพวกเขาเคยนั่งฟังคำสอนครั้งแรก สีหน้าของแต่ละคนบอกเล่าเส้นทางที่แตกต่างกัน คนหนึ่งเต็มไปด้วยความสงบสุข อีกคนยังว้าวุ่นไม่มั่นคง ส่วนอีกคนแม้หัวเราะ แต่กลับมีร่องรอยเหน็ดเหนื่อยซ่อนอยู่ในแววตา
เล่าจื๊อมองพวกเขาทีละคน แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเบา ๆ แต่หนักแน่น “หนทางแห่งเต๋า มิได้ให้ทุกผู้คนเข้าใจเหมือนกัน บางคนเห็นค่าก็ลงมือปฏิบัติ บางคนลังเลก็หยุดอยู่กึ่งกลาง บางคนหัวเราะเยาะก็เพราะมันลึกเกินกว่าจะเข้าถึงได้”
ศิษย์คนที่สองเงยหน้าถาม “อาจารย์… ถ้าเช่นนั้น ผู้ที่หัวเราะเยาะย่อมไม่มีวันเข้าถึงเต๋าหรือไม่?”
เล่าจื๊อส่ายหน้า ยิ้มบาง ๆ “แม้เสียงหัวเราะ ก็ยังสะท้อนถึงการมีอยู่ของเต๋า หากหนทางนี้ไม่ถูกหัวเราะเยาะเลย มันก็คงไม่ใช่หนทางที่แท้จริงแล้ว”
ศิษย์ทั้งสามก้มศีรษะลง บางคนเข้าใจ บางคนยังสับสน บางคนยังดื้อรั้น แต่เต๋าไม่ได้เปลี่ยนไปเพราะปฏิกิริยาของใคร
เล่าจื๊อหันไปมองท้องฟ้าที่ไร้เมฆ พลางพึมพำกับตนเอง “วิถึเต๋านั้นซ่อนอยู่ ไร้นาม แต่เกื้อกูลต่อสรรพสิ่งโดยไม่เลือกข้าง แม้ไม่ถูกรู้จัก ก็ยังทำให้โลกสมบูรณ์อยู่เสมอ”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า.. คำสอนอันลึกซึ้งไม่อาจทำให้ทุกคนเข้าใจเหมือนกัน บางคนศรัทธาและลงมือปฏิบัติจริงจัง บางคนเชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง และบางคนกลับหัวเราะเยาะ แต่ไม่ว่าปฏิกิริยาจะต่างกันอย่างไร เต๋าก็ยังเป็นเต๋า มิได้เปลี่ยนไปตามใจผู้ใด และนี่คือแก่นของเรื่อง “ความเหมือนและความต่าง”
ในนิทานนี้ ศิษย์ทั้งสามสะท้อนให้เห็นความแตกต่างของมนุษย์ คนแรกดำเนินชีวิตเรียบง่ายตามทางเต๋า จึงพบความสงบ คนที่สองโลเล หวั่นไหวระหว่างความจริงกับความสงสัย จึงไม่พบความมั่นคง ส่วนคนที่สามหัวเราะเยาะ แต่กลับเหน็ดเหนื่อยจากชีวิตที่ไล่ตามสิ่งภายนอก ความต่างเหล่านี้บอกเราว่า ความจริงแท้นั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับการยอมรับของใคร แต่เป็นสิ่งที่เกื้อกูลอยู่เสมอ และจะเผยให้เห็นเมื่อจิตใจของเราพร้อม
อ่านต่อ: นิทานเต้าเต๋อจิงสอนชีวิตผ่านปรัชญาวิถีเต๋าในรูปแบบนิทานอ่านง่าย ๆ
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องความเหมือนและความต่าง (อังกฤษ: Sameness and Difference) มาจากคัมภีร์เต้าเต๋อจิงบทที่ 41 ซึ่งกล่าวถึงปฏิกิริยาของผู้คนที่ได้ยินคำว่า “เต๋า” โดยแบ่งออกเป็นสามระดับผู้รู้แจ้งย่อมนำไปปฏิบัติจริงจัง ผู้มีใจไม่มั่นคงย่อมเชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง และผู้ตื้นเขินย่อมหัวเราะเยาะ หากคำสอนไม่ถูกหัวเราะเยาะ ก็ย่อมไม่ใช่หนทางแท้ เพราะหนทางที่แท้จริงย่อมเกินกว่าที่คนทั่วไปจะเข้าใจได้ง่าย เล่าจื๊อได้บันทึกไว้ว่า:
ความเหมือนและความต่าง
นักปราชญ์ชั้นสูง เมื่อฟังเรื่องเต๋า จะนำไปปฏิบัติอย่างจริงจัง
นักปราชญ์ชั้นกลาง บางครั้งก็รักษาไว้ บางครั้งก็พลัดหลง
นักปราชญ์ชั้นต่ำ ฟังแล้วหัวเราะเยาะ
เพราะเต๋าแท้ มักถูกมองแปลกและเข้าใจยากเต๋าเมื่อเห็นชัดที่สุด กลับดูเบาบาง
ผู้ก้าวตามมัน กลับเหมือนถอยหลัง
หนทางของมันเรียบง่าย แต่คล้ายทางขรุขระ
คุณธรรมสูงสุดเกิดจากความถ่อมตน
ความงดงามที่สุด กลับขัดตา
ผู้มีมากที่สุด กลับได้รับน้อยที่สุด
ความมั่นคงที่สุดของมันกลับดูต่ำต้อย
ความจริงแท้ของมัน กลับเหมือนเปลี่ยนแปลง
รูปทรงใหญ่ที่สุด กลับไม่เห็นมุมใด
ภาชนะใหญ่ ใช้เวลาทำนานที่สุด
เสียงของมันก้องดัง แต่ไม่เคยกล่าวคำใด
รูปลักษณ์ยิ่งใหญ่ เป็นเพียงเงาของเงาเต๋านั้นซ่อนอยู่และไร้ชื่อ
แต่เต๋านี่เองที่ชำนาญในการประทานสิ่งที่สรรพสิ่งต้องการ
และทำให้สรรพสิ่งสมบูรณ์ครบถ้วน
เล่าจื๊อสอนว่า ความลึกซึ้งของเต๋าไม่อาจตัดสินได้จากการยอมรับหรือปฏิเสธของผู้คน เต๋ายังคงเป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยงโลกอยู่เสมอโดยไม่ขึ้นกับท่าทีของใคร นิทานเรื่องนี้จึงสะท้อนความจริงดังกล่าว ผ่านภาพของศิษย์ทั้งสามที่ต่างกันสุดขั้ว เพื่อให้เข้าใจว่า แม้ปฏิกิริยาของมนุษย์จะแตกต่างกัน แต่เต๋าก็ยังคงดำเนินไปอย่างเงียบงัน
นิทานเรื่องนี้ถูกแต่งขึ้นเพื่อเปรียบเทียบชีวิตมนุษย์กับหนทางของเต๋า ศิษย์ทั้งสามคือภาพสะท้อนของผู้คนในโลกจริง บางคนเลือกปฏิบัติอย่างมั่นคง บางคนลังเลและสับสน บางคนหัวเราะเยาะแต่กลับต้องเรียนรู้ผ่านความผิดพลาด ความแตกต่างเหล่านี้ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจว่าแก่นแท้ของเต๋าไม่ได้อยู่ที่การเห็นพ้องหรือเชื่อเหมือนกัน แต่คือการเกื้อกูลและดำรงอยู่ในทุกสิ่งอย่างเงียบงัน และนี่คือหัวใจของ “ความเหมือนและความต่าง”
คติธรรม: “เต๋าอยู่ในทุกสิ่ง แม้ผู้คนจะเห็นต่างกัน ความจริงแท้ไม่ขึ้นอยู่กับการเข้าใจ แต่ขึ้นอยู่กับการเกื้อกูลและดำรงอยู่ของมันเอง”

