ในโลกนี้ หลายคนมักเชื่อว่าการปกครองต้องใช้กำลังหรือกฎเกณฑ์เข้มงวด แต่คำสอนของเต๋าบอกว่า การปล่อยให้สิ่งต่าง ๆ ดำเนินไปตามธรรมชาติ คือหนทางที่แท้จริงของการสร้างบ้านเมืองสงบร่มเย็น
มีนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องราวผ่านเหตุการณ์ของฮ่องเต้ในราชวงศ์ฮั่น ตอนที่บ้านเมืองเริ่มฟื้นตัวหลังความปั่นป่วน สะท้อนให้เห็นว่าผู้นำที่สงบและไม่ถูกความอยากครอบงำ สามารถทำให้ประชาชนและบ้านเมืองกลับมาสมดุลได้โดยไม่ต้องเร่งรัด กับนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องการปกครองอันไม่ฝืนธรรมชาติ

เนื้อเรื่องนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องการปกครองอันไม่ฝืนธรรมชาติ
ครั้งหนึ่งในสมัยราชวงศ์ฮั่นตอนต้น หลังสงครามกลางเมืองที่ยืดเยื้อ บ้านเมืองเต็มไปด้วยความระส่ำระสาย ข้าวยากหมากแพง ผู้คนสิ้นแรงด้วยการถูกเกณฑ์ทั้งแรงงานและภาษี ฮ่องเต้พระองค์ใหม่เพิ่งขึ้นครองราชย์
ขุนนางรอบข้างต่างเร่งเร้าให้พระองค์แสดงพระบารมี สร้างกฎหมายเข้มงวด จัดทัพใหญ่แสดงแสนยานุภาพ
แต่พระองค์กลับเลือกอีกทางหนึ่ง พระองค์ทรงถอนทหารจากหลายหัวเมืองที่เคยถูกใช้กดขี่ชาวบ้าน ยกเลิกภาษีอันหนักหน่วง
และมิได้เร่งสร้างวังใหม่หรือกำแพงใหญ่เพื่ออวดเกียรติ ทรงประทับอย่างเรียบง่าย ใช้ตำหนักเดิมที่ทรุดโทรมเล็กน้อย แต่เพียงพอสำหรับการบำเพ็ญพระราชกิจ
เช้าตรู่ ฮ่องเต้เสด็จไปสวนด้านหลังวัง บางวันทรงนั่งอยู่ริมสระน้ำมองปลาแหวกว่าย บางวันทอดพระเนตรท้องฟ้าที่ปกคลุมด้วยหมู่เมฆ พระองค์มิได้ตรัสสิ่งใดกับใครนัก
นอกจากถามถึงความเป็นอยู่ของชาวนาและพ่อค้าเล็ก ๆ ที่ส่งข่าวมา ขุนนางทั้งหลายจึงประหลาดใจยิ่งนัก เหตุใดผู้นำของแผ่นดินจึงไม่เริ่มงานใหญ่โต ไม่ใช้โอกาสนี้กอบกู้ศักดิ์ศรีจักรวรรดิให้กลับคืน?
วันหนึ่ง ขุนนางผู้ใหญ่นามว่าอู่กง กราบทูลต่อเบื้องพระพักตร์ว่า “ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท แผ่นดินเพิ่งรวมกันไม่นาน ประชาชนยังไม่กล้าเชื่อมั่น หากพระองค์ไม่ตรากฎหมายใหม่ ไม่จัดทัพใหญ่เพื่อให้ข้างนอกเกรงใจ บ้านเมืองอาจสั่นคลอนอีกครั้งกระมังพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรยิ้มอ่อน ตรัสเบา ๆ ว่า “อู่กดง เจ้ารู้หรือไม่แม่น้ำใหญ่ไม่เคยเร่งน้ำสาขาให้ไหลมา แต่มันก็ไหลมาเอง เพราะแม่น้ำเพียงต่ำต้อยกว่าที่อื่นเท่านั้นเอง ข้าเพียงวางใจอยู่ในความสงบ ประชาชนก็จะกลับไปหาความสงบด้วยตนเอง”
ขุนนางยังไม่เข้าใจนัก พระองค์จึงเสริมว่า “เต๋าไม่ทำสิ่งใดเพราะอยากอวด หรือเพราะอยากได้ เมื่อไม่หวังผล จึงไม่มีสิ่งใดที่ทำไม่ได้ หากผู้นำบังคับประชาชนมาก ประชาชนก็ยิ่งคิดหลีกหนี แต่หากผู้นำสงบ ประชาชนจะกลับไปทำไร่นา ดูแลครอบครัว และบ้านเมืองจะฟื้นขึ้นเองโดยไม่ต้องใช้โซ่ตรวนบังคับ”
เมื่อถ้อยคำนั้นจบลง ขุนนางทั้งหลายต่างเงียบงัน พวกเขามองพระพักตร์ที่สงบนิ่งของฮ่องเต้ แล้วหวนคิดถึงหมู่บ้านที่เคยผ่านระหว่างเดินทางเข้าวัง
ที่นั่น เด็กเล็กวิ่งเล่นกลางทุ่ง ข้าวต้นอ่อนเขียวขจี ไม่มีเสียงคร่ำครวญเหมือนเมื่อหลายปีก่อน ความสงบที่เห็นนั้น เกิดขึ้นโดยไม่มีผู้ใดสั่ง แต่เพราะผู้คนเริ่มไว้ใจว่าฟ้าข้างบนไม่กดขี่พวกเขาอีกต่อไป

กาลเวลาผ่านไป หลายปีต่อมา บ้านเมืองภายใต้การปกครองอันสงบเงียบเริ่มเปลี่ยนแปลงไปเองโดยไม่รู้ตัว ตลาดที่เคยร้างเพราะภาษีหนัก บัดนี้กลับมีผู้ค้าหลากหลายชนิด สินค้าจากต่างเมืองถูกลำเลียงมาโดยไม่ต้องมีคำสั่งบังคับ ชาวนาที่เคยถูกเกณฑ์แรงงานจนทุ่งร้าง กลับมาทำไร่นาเต็มที่ พืชพันธุ์งอกงาม
ผู้คนต่างเล่าขานว่า “ฮ่องเต้มิได้เร่งรัด แต่บ้านเมืองกลับดีขึ้นกว่าเดิม”
ทหารที่เคยจับอาวุธด้วยความหวาดกลัว ตอนนี้วางอาวุธลง กลับบ้านไปเป็นชาวนา ชาวบ้านในชายแดนไม่ต้องหลบซ่อนจากทัพใหญ่อีกต่อไป เสียงไก่ขันตอนรุ่งสาง เสียงเด็กหัวเราะตอนเย็น กลายเป็นหลักฐานของความสงบสุขที่งอกเงยขึ้นเอง
แต่ในวังนั้น มีขุนนางบางพวกยังคงกังวล วันหนึ่งพวกเขาพูดกันว่า “หากเราไม่ขยายพระราชวัง ไม่สร้างกำแพงใหญ่ จะไม่ถูกต่างแคว้นดูแคลนหรือ? หากเราไม่แสดงพระบารมี จะป้องกันศัตรูได้อย่างไร?”
ฮ่องเต้เมื่อได้ฟัง มิได้กริ้วโกรธ ตรัสเพียงว่า “ถ้าข้าอยากได้ ข้าไม่อยากได้สิ่งใดนอกจากความเรียบง่าย ความเรียบง่ายนั้นไม่ต้องมีชื่อ ไม่ต้องมีเกียรติอวดใคร แต่เมื่อสิ่งทั้งหลายสงบลงได้ ก็เป็นเกียรติสูงสุดแล้วมิใช่หรือ?”
วันหนึ่งหลังฝนตกหนัก พระองค์เสด็จไปยืนริมระเบียง มองหมู่เมฆเคลื่อนช้า ๆ เหนือหลังคาวัง พระพักตร์สงบนิ่ง พระองค์ตรัสกับขุนนางที่ติดตามว่า “ดูเถิด เมฆมิได้แย่งกันขึ้นฟ้า แต่ก็ลอยไปตามแรงลม น้ำมิได้เร่งจะลงหุบ แต่ก็ไหลไปจนถึงทะเล เต๋าก็เป็นเช่นนั้นเอง หากเราปกครองด้วยความอยาก บ้านเมืองจะเต็มไปด้วยความตึงเครียด แต่หากเราปล่อยวาง บ้านเมืองจะเจริญไปเองตามครรลอง”
จากนั้นพระองค์หันกลับเข้าตำหนัก ปล่อยให้เสียงลมและฝนพัดผ่านไปเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น แต่ในความเงียบนั้น ขุนนางทั้งหลายเริ่มเข้าใจ ว่าพระองค์กำลังใช้ ตำราปกครองวิถีเต๋า โดยไม่ต้องเปิดเผยออกมาเป็นตัวอักษรใด ๆ เลย
และเป็นดุจดังที่เล่าจื๊อบันทึกไว้ บ้านเมืองในรัชกาลนั้นสงบร่มเย็น เศรษฐกิจฟื้น ผู้คนอยู่เย็นเป็นสุข เสียงหัวเราะของเด็ก ๆ และเสียงเครื่องดนตรีในงานมงคลดังขึ้นทั่วแผ่นดิน ความสงบนี้มิได้อยู่เพียงชั่วอายุคน แต่ยังส่งต่อไปอีกหลายยุคสมัย จนผู้คนภายหลังยกย่องว่านั่นคือยุคแห่งความร่มเย็นที่แท้จริง และยังจะสงบร่มเย็นอีกหลายรัชสมัย
เมื่อผู้คนได้ย้อนนึกถึง จึงฉุกคิดว่า การปกครองที่ดีที่สุด บางครั้งไม่ใช่การกระทำที่มากมาย แต่คือการไม่ฝืนสิ่งใด ไม่กดขี่ ไม่เร่งเร้า และปล่อยให้ธรรมชาติของผู้คนเบ่งบานเองดุจดอกไม้ที่บานในฤดูกาลของมัน
นี่แหละหัวใจของการปกครองในวิถีเต๋า ที่ไร้การโอ้อวด แต่ทรงพลังเหนือสิ่งใด

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ความสงบและการไม่ฝืนธรรมชาติ คือหัวใจของการปกครองที่แท้จริง ผู้นำที่ไม่เร่งรัด ไม่อวดอำนาจ ไม่กดขี่ แต่ปล่อยให้สิ่งต่าง ๆ เดินไปตามครรลอง ย่อมทำให้บ้านเมืองสงบร่มเย็นอย่างยั่งยืน นี่แหละคือการปกครองอันไม่ฝืนธรรมชาติ
ดังที่เห็นในเรื่องราว ฮ่องเต้ไม่เลือกใช้กำลังหรือกฎหมายเข้มงวด แต่เลือกความเรียบง่ายและการปล่อยวาง ผลลัพธ์คือประชาชนกลับมามีชีวิตปกติ บ้านเมืองฟื้นตัวได้เอง และความสงบนี้ยังส่งต่อไปอีกหลายยุคสมัย ชี้ให้เราเห็นว่า บางครั้งการไม่ทำเพราะอยากได้ ต่างหาก คือการทำที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
อ่านต่อ: นิทานเต้าเต๋อจิงแฝงข้อคิดดี ๆ และปรัชญาชีวิตสุดลึกซึ้งในวิถีเต๋าของเล่าจื๊อ
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องการปกครองอันไม่ฝืนธรรมชาติ (อังกฤษ: The Exercise of Government) นิทานเรื่องนี้มาจากคัมภีร์เต้าเต๋อจิงบทที่ 37 ซึ่งกล่าวถึง “การปกครองโดยไม่แซกแทรงโดยไม่ฝืนธรรมชาติ” หลักการของเต๋าไม่ได้เน้นการบังคับหรือการโอ้อวดอำนาจ หากแต่ชี้ให้เห็นว่า บ้านเมืองและประชาชนจะดำเนินไปอย่างถูกต้องและสงบร่มเย็น เมื่อผู้นำยอมวางใจในครรลองของธรรมชาติ เล่าจื๊อได้บันทึกไว้ว่า:
การปกครอง
วิถีเต๋าเมื่อดำเนินไปตามครรลองปกติแล้ว
ย่อมไม่ทำสิ่งใด (เพียงเพื่อการทำ)
แต่ก็ไม่มีสิ่งใดที่มันไม่อาจทำสำเร็จหากเจ้าผู้ครองนครและกษัตริย์สามารถธำรงรักษามันไว้ได้
สรรพสิ่งทั้งหลายก็จะเปลี่ยนแปลงไปเองโดยธรรมชาติหากการเปลี่ยนแปลงนั้นกลายเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าปรารถนา
ข้าพเจ้าก็จะกล่าวความปรารถนานั้น
ด้วย “ความเรียบง่ายไร้นาม”ความเรียบง่ายไร้นาม
ย่อมปลอดพ้นจากเป้าหมายภายนอกทั้งปวง
เมื่อไม่มีความอยาก จิตย่อมสงบและนิ่ง
และสรรพสิ่งก็จะดำเนินไปอย่างถูกต้องเองตามวิถีของมัน
เล่าจื๊อสอนว่า ผู้นำที่เข้าใจหลักการนี้ย่อมรู้จักปล่อยวาง ไม่ตั้งความอยากส่วนตัว หรือเร่งรัดประชาชน แต่ใช้ความสงบและความเรียบง่ายในการบริหาร การกระทำเช่นนี้ทำให้บ้านเมืองฟื้นตัวด้วยตัวเอง และความสงบสุขจะส่งต่อไปอย่างยาวนาน แนวคิดนี้สามารถประยุกต์แนวคิดกับการปกครองชีวิตตนเองได้อีกด้วยครับ
นิทานเรื่องนี้จึงถูกแต่งขึ้นเพื่อสะท้อนคำสอนในบทดังกล่าว เปรียบการปกครองอย่างเงียบสงบของฮ่องเต้กับการไหลของแม่น้ำและการหมุนเวียนของธรรมชาติ แม้ภายนอกดูเหมือนไม่ได้ทำอะไร แต่แท้จริงแล้วคือวิถีที่ทรงพลังและยั่งยืนที่สุด
คติธรรม: “ผู้นำที่ไม่เร่งรัด ไม่โอ้อวด และปล่อยให้สิ่งต่าง ๆ ดำเนินไปตามครรลอง ย่อมทำให้บ้านเมืองสงบร่มเย็นโดยไม่ต้องบังคับ”