ในโลกนี้ ผู้คนมักคิดว่าการใช้กำลังหรือการเปิดเผยทุกอย่างคือหนทางสู่ชัยชนะ แต่คำสอนของเต๋าบอกว่า การเคลื่อนไหวอย่างรอบคอบและการซ่อนพลังไว้เบื้องหลัง อาจทรงพลังยิ่งกว่าการประจันหน้าตรง ๆ
มีนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องหนึ่ง ซึ่งเล่าจื๊อสอนผ่านเหตุการณ์ของฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ในสงครามกลางเมือง การวางกลยุทธ์อย่างเงียบสงบและการใช้อ่อนโยนอย่างชาญฉลาดสามารถเปลี่ยนสถานการณ์โดยไม่ต้องเผชิญหน้าโดยตรง และสิ่งสำคัญบางอย่างควรเก็บไว้ในความลับ กับนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องกลบแสงสว่าง

เนื้อเรื่องนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องกลบแสงสว่าง
เรื่องราวของเมืองที่แตกแยกเป็นสองฝ่ายกลางเวิ้งน้ำและเนินเขา ข้าจะบันทึกไว้ เพื่อเตือนใจผู้คนให้เห็นว่าอำนาจไม่ใช่ทุกสิ่ง และความอ่อนโยนอาจชนะความแข็ง
ข้าจะเล่าให้เจ้าฟัง ถึงเมืองหนึ่งที่แตกแยกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายเหนือดุดัน ก้าวร้าว ใช้กำลังและเสียงคำรามเพื่อข่มขู่ชาวบ้าน ส่วนฝ่ายใต้ซ่อนตัวอยู่ในป่าและซอกเขาอย่างรอบคอบ ชาวบ้านต่างหวาดกลัวและสับสน
เมื่อมองไปยังเมือง ฝ่ายใต้ได้ส่งอาหารและน้ำไปถึงผู้คนที่ถูกทิ้งร้าง โดยไม่เปิดเผยชื่อผู้ให้ ผู้คนในตลาดถามกันด้วยความสงสัย
“ใครส่งของเหล่านี้มาให้เรา?” หนุ่มสาวถาม
“ไม่สำคัญหรอก เพียงให้เราอยู่รอดก็พอ” คนแก่ตอบ
ข้ามองฝ่ายเหนือที่ยืนอยู่บนเนิน พวกเขาเห็นความสงบในหมู่บ้าน แต่ไม่เข้าใจว่าการช่วยเหลือเล็ก ๆ นี้คือการ กลบแสง ของฝ่ายใต้ การกระทำที่เงียบเชียบทำให้ชาวบ้านเริ่มได้กำลังใจ แต่ฝ่ายเหนือยังไม่ทันระวัง
ข้าคิดในใจ… ความอ่อนโยนบางครั้งสามารถเอาชนะความแข็งกร้าว และสิ่งสำคัญบางอย่างต้องเก็บไว้ในความเงียบ ไม่จำเป็นต้องเปิดเผยให้ใครเห็น
เมื่อพระอาทิตย์โผล่พ้นยอดเขา ฝ่ายเหนือเริ่มส่งกองทัพใหญ่เข้าโจมตี แต่ฝ่ายใต้กลับไม่ปะทะตรง พวกเขาส่งทหารเพียงเล็กน้อยเข้าแนวรบ ทำให้ฝ่ายเหนือได้ชัยชนะเล็ก ๆ
“เราเอาชนะแล้ว ทุกอย่างเป็นไปตามที่ข้าต้องการ!” ผู้นำฝ่ายเหนือประกาศ
ข้าคิดในใจ… “ชัยชนะเล็ก ๆ อาจเป็นดาบที่ซ่อนอยู่ ฝ่ายใต้ไม่ได้ปรากฏตัวเต็มที่ แต่กำลังควบคุมเกมอยู่เบื้องหลัง”
ฝ่ายใต้ยังคงให้ความช่วยเหลืออย่างลับ ๆ ทำให้ชาวบ้านปลอดภัย พวกเขาเคลื่อนไหวช้า ๆ แต่มั่นคง ใช้ความอ่อนโยนแทนการเผชิญหน้าตรง ทุกการกระทำมีจังหวะและจุดประสงค์ ไม่เปิดเผยกำลังหรือแผนการที่แท้จริง
และข้าเข้าใจว่า… “สิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นแผนการ กำลัง หรือความรู้ ต้องไม่เปิดเผยง่าย ๆ การโชว์ให้คนเห็นมากเกินไป อาจนำไปสู่ความพินาศ”
ค่ำคืนหนึ่ง ฝ่ายใต้ยังคงเงียบสงบ ชาวบ้านเริ่มซ่อนความหวังไว้ในใจ พวกเขารู้สึกปลอดภัยแม้ท่ามกลางความโกรธของฝ่ายเหนือ

รุ่งเช้าวันต่อมา ฝ่ายเหนือยังคงส่งกองทัพใหญ่เข้าตีแนวรบ ฝ่ายใต้ไม่ได้เคลื่อนไหวเต็มกำลัง พวกเขาปล่อยให้ฝ่ายเหนือรู้สึกว่าชัยชนะอยู่ในมือ การเคลื่อนไหวทุกอย่างของฝ่ายใต้ถูกวางอย่างรอบคอบและค่อยเป็นค่อยไป
“เมื่อคนคิดว่าตนแข็งแรงที่สุด มักจะเผลอเปิดช่องโหว่ที่มองไม่เห็น ความอ่อนโยนอาจซ่อนพลังไว้ใต้เงียบสงบ”
ฝ่ายใต้ใช้กลยุทธ์ง่ายแต่ชาญฉลาด พวกเขาแทรกทหารเพียงเล็กน้อยเข้าไปในจุดสำคัญ ทำให้ฝ่ายเหนือเชื่อว่ากำลังควบคุมทุกอย่าง แต่เบื้องหลัง ฝ่ายใต้ได้ซ่อนกำลังจริงไว้ และช่วยชาวบ้านปกป้องเส้นทางลับ ทำให้ฝ่ายเหนือไม่สามารถเข้าถึงทรัพยากรสำคัญ
“เห็นไหมว่า พลังไม่ได้อยู่ที่เสียงคำรามหรือจำนวนทหารเพียงอย่างเดียว” ข้าคิด
“ความอ่อนโยนที่วางอย่างรอบคอบสามารถเปลี่ยนความคิดของผู้คนและพลิกสถานการณ์ได้”
ข้าเห็นว่า… “สิ่งที่สำคัญต้องเก็บไว้ในเงามืด ไม่ควรเปิดเผยง่าย ๆ เหมือนเครื่องมือสำคัญของรัฐ ความรู้และกำลังที่แท้จริงจึงปลอดภัยและมีประสิทธิภาพยิ่งกว่า”
ค่ำคืนหนึ่ง ฝ่ายเหนือคิดว่าพวกเขายังควบคุมเมืองได้เต็มที่ แต่ฝ่ายใต้ได้เคลื่อนกำลังสำคัญไปยังจุดลับ ทำให้การจู่โจมครั้งใหญ่ของฝ่ายเหนือล้มเหลว ชาวบ้านปลอดภัย พวกเขาไม่รู้ว่าการรบที่แท้จริงถูกกำหนดด้วยความอ่อนโยนและกลยุทธ์ลับ
ข้าตระหนักได้ว่า… “ผู้ที่ต้องการครอบงำมักรีบแสดงกำลัง แต่ผู้ที่ชาญฉลาดจะซ่อนพลังไว้และรอจังหวะเหมาะสม สิ่งสำคัญไม่ควรถูกเปิดเผยง่าย ๆ เพราะการโชว์เกินไปอาจนำความพินาศมาเอง”
ในเช้าวันรุ่งขึ้น ฝ่ายเหนือพยายามรวบรวมกำลังใหม่ แต่ชาวบ้านเริ่มเข้าใจว่าฝ่ายใต้ไม่ได้แข็งแรงแค่ด้านกำลัง แต่มีความรู้และการวางกลยุทธ์ที่เหนือกว่า แม้ไม่เผชิญหน้าตรง ๆ
และในที่สุดแล้ว “ความอ่อนโยนที่วางอย่างรอบคอบสามารถเอาชนะความแข็งกร้าว สิ่งสำคัญบางอย่างต้องเก็บไว้ในความเงียบ และผู้ที่รู้จักกลบแสงตน จะครอบงำโลกโดยไม่ให้ใครเห็น”
และเมืองนั้นสงบลง ฝ่ายใต้ไม่ได้รบเต็มกำลัง แต่ทุกการกระทำของพวกเขาเงียบ ๆ แฝงด้วยพลัง ทำให้ผู้คนปลอดภัยและความอ่อนโยนชนะความแข็งกร้าวอย่างแท้จริง

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ความอ่อนโยนที่วางอย่างรอบคอบสามารถเอาชนะความแข็งกร้าว และสิ่งสำคัญบางอย่างต้องเก็บไว้ในความเงียบ ไม่จำเป็นต้องเปิดเผยให้ผู้อื่นเห็น นี่แหละคือการกลบแสง
ในนิทาน ฝ่ายใต้ในสงครามกลางเมืองเลือกซ่อนกำลังและวางกลยุทธ์ลับ พวกเขาช่วยชาวบ้าน เสริมความแข็งแกร่งแก่ฝ่ายตรงข้ามเล็กน้อย และปล่อยให้ฝ่ายเหนือชนะเล็ก ๆ เพื่อทำให้ศัตรูชะล่าใจ การกระทำที่เงียบสงบและรอบคอบนี้ทำให้ฝ่ายใต้สามารถเอาชนะฝ่ายเหนือโดยไม่ปะทะเต็มกำลัง และปกป้องสิ่งสำคัญไว้ได้อย่างปลอดภัย
อ่านต่อ: เรียนรู้ปรัชญาสุดลึกซึ้งแห่งวิถีเต๋าผ่านนิทานเต้าเต๋อจิง
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องกลบแสงสว่าง (อังกฤษ: Minimising The Light) นิทานเรื่องนี้มาจากคัมภีร์เต้าเต๋อจิงบทที่ 36 ซึ่งกล่าวถึงหลักการ “กลบแสง” และความสัมพันธ์ระหว่างอ่อนและแข็ง การที่ผู้ใดสามารถซ่อนพลังและเจตนาไว้เบื้องหลังความอ่อนโยน ย่อมเอาชนะสิ่งที่แข็งกร้าวได้โดยไม่ต้องเผชิญหน้าอย่างตรงไปตรงมา ความเงียบสงบและการไม่เปิดเผยคือวิธีปฏิบัติที่สูงส่งที่สุดของผู้รู้จักเต๋า เล่าจื๊อได้บันทึกไว้ว่า:
การกลบแสง
ผู้ใดกำลังจะหายใจเข้า ย่อมต้องปล่อยลมหายใจออกก่อน
ผู้ใดจะทำให้ผู้อื่นอ่อนแอ ย่อมต้องเสริมกำลังแก่เขาก่อน
ผู้ใดจะโค่นล้ม ย่อมต้องเคยชูขึ้นสูงก่อน
ผู้ใดจะริบเอา ย่อมต้องเคยมอบให้ก่อน
นี่เรียกว่า “การกลบแสงแห่งวิถี”อ่อนย่อมชนะที่แข็ง
อ่อนแอย่อมชนะที่แข็งแรงปลาจึงไม่ควรถูกช้อนขึ้นจากน้ำลึก
เครื่องมือของรัฐที่ให้ประโยชน์แก่แผ่นดิน ก็ไม่ควรถูกเปิดเผยแก่สายตาประชาชน
โดยเล่าจื๊อสอนว่า ผู้ที่เข้าใจหลักการนี้ย่อมรู้จักการเตรียมตัวและการวางกลยุทธ์ก่อนลงมือ ทำให้สามารถเปลี่ยนสถานการณ์ให้เอื้อต่อความสำเร็จโดยไม่ต้องใช้กำลังเต็มที่ รู้จักเสริมกำลังแก่ผู้อื่นก่อนที่จะลดทอนความเข้มแข็งของเขา และเก็บสิ่งสำคัญไว้ในความเงียบ เพื่อให้พลังและความรู้ไม่สูญเปล่า
นิทานเรื่องนี้จึงถูกแต่งขึ้นเพื่อสะท้อนคำสอนในบทดังกล่าว โดยเปรียบสงครามกลางเมืองกับการปฏิบัติที่ชาญฉลาดของผู้รู้จักกลบแสง ฝ่ายใต้ใช้ความอ่อนโยนและการเตรียมล่วงหน้าเอาชนะฝ่ายเหนือโดยไม่ปะทะเต็มกำลัง แม้ภายนอกดูเหมือนไม่ปรากฏความพยายาม แต่แท้จริงแล้วคือการครอบงำสถานการณ์ด้วยความเงียบและกลยุทธ์อันชาญฉลาด และนี่คือหัวใจของ “การกลบแสง” ที่เล่าจื๊ออยากให้ผู้คนได้ตระหนักและเรียนรู้
คติธรรม: “ผู้รู้จักซ่อนแสงและใช้ความอ่อนโยน ย่อมเอาชนะความแข็งกร้าวโดยไม่ต้องปะทะ และรักษาสิ่งสำคัญไว้ในความเงียบ”