ในโลกนี้ หลายคนมักคิดว่าความสำเร็จเกิดจากการครอบครองและควบคุมสิ่งต่าง ๆ แต่คำสอนของเต๋าชี้ว่า ความยิ่งใหญ่แท้จริงอาจอยู่ลึกกว่านั้น
มีนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องหนึ่ง เล่าจื๊อสังเกตเหตุการณ์ชีวิตของผู้คน ผ่านสายตาของตนเอง เพื่อให้ผู้ใดสนใจได้ค่อย ๆ ตระหนักถึงแก่นธรรมชาติของชีวิต กับนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องจำแนกคุณธรรมทั้งหลาย

เนื้อเรื่องนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องจำแนกคุณธรรมทั้งหลาย
วันหนึ่ง ข้าได้เดินทางผ่านนครใหญ่ที่รุ่งเรือง บ้านเรือนสูงใหญ่ประดับด้วยลวดลายงดงาม ประตูไม้แกะสลัก ทองเหลืองเงาวับประดับตามมุมถนน เสียงพ่อค้าแม่ค้าตะโกนเรียกลูกค้าดังก้องไปทั่วบรรยากาศ
ในย่านการค้านั้น ข้าเห็นชายคนหนึ่ง ยืนอยู่กลางตลาดอย่างสง่า เขาคือเจ้าของหอการค้าผู้มั่งคั่งที่สุดของเมือง เสื้อคลุมไหมสีทองปักลายมังกรส่องประกายตัดกับแดดยามสาย ใบหน้ากลมอวบอิ่ม เสียงหัวเราะทรงอำนาจก้องสะท้อนทั่วตรอก
เขายกถ้วยสุราขึ้นสูง พลางเอ่ยกับผู้คนที่ล้อมรอบ “พวกเจ้าดูสิ! ทรัพย์สินของข้ามีเหลือกินเหลือใช้จนรุ่นลูกหลานก็ไม่หมด ใครในเมืองนี้กล้าขัดคำข้าบ้างเล่า?”
ฝูงชนพากันหัวเราะอย่างฝืน ๆ บ้างก็พนมมือ บ้างก็ก้มศีรษะ แต่แววตาแฝงความเกรงกลัวมากกว่าความเคารพ
ชายมั่งคั่งคนนั้นเดินอวดไปตามร้านรวง ซื้อของชิ้นเล็ก ๆ แล้วเหวี่ยงเหรียญทองลงบนพื้นอย่างไม่ใส่ใจ “ทองของข้า มีไว้โปรยเล่นยังไม่รู้จักหมด” เขากล่าวอย่างโอหัง
ผู้คนเก็บเหรียญอย่างรีบร้อน แต่ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยคำตำหนิ ข้าสังเกตเห็นมือของคนหนึ่งสั่นระริกขณะหยิบเหรียญขึ้นมา ความสั่นนั้นมิใช่เพราะดีใจ หากแต่เพราะกลัวสายตาจับจ้องของผู้มั่งคั่ง
ในหัวใจของข้า พลันสะท้อนถ้อยคำโบราณขึ้นมา “รู้จักผู้อื่น คือผู้มีปัญญาแยบคาย แต่รู้จักตนเอง คือผู้มีปัญญาที่แท้จริง”
ชายผู้นั้นอาจเข้าใจคนอื่น รู้ว่าใครต้องการอะไร และใช้สิ่งนั้นควบคุมพวกเขา แต่เขายังมิได้รู้จักใจของตนเองเลย…
เมื่อข้าเดินออกจากตลาดใหญ่ เสียงอึกทึกค่อย ๆ จางหายไป ข้าก้าวเข้าสู่เขตนอกเมือง ริมลำธารเงียบสงบ ลมเย็นพัดเอื่อยพาใบไม้ร่วงหล่น
ตรงนั้น… ข้าเห็นเพิงไม้เก่าคร่ำคร่า ที่แทบจะพังลงได้ทุกเมื่อ ชายผู้หนึ่งนั่งอยู่บนพื้นดิน เขาเป็นเพียงชาวบ้านยากไร้ เสื้อสีน้ำตาลขาดรุ่งริ่ง กางเกงดำเก่า เท้าเปล่าที่เต็มไปด้วยฝุ่นโคลน ผมและหนวดเคราขาวคล้ายหิมะที่ปกคลุมเขา
เขากำลังแบ่งข้าวถ้วยเล็ก ๆ ของตนเองให้แก่หญิงชราผู้หนึ่งที่มาขอพึ่งพิง แม้ข้าวนั้นมีเพียงน้อยนิด แต่ชายชราก็ยื่นไปด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น “ท่านลุง… ท่านเองก็ดูหิวโหย เหตุใดยังแบ่งให้ข้าเล่า?” หญิงชรากล่าวเสียงสั่น
ชายยากจนหัวเราะเบา ๆ แล้วตอบด้วยเสียงอ่อนโยน “แม้น้อยนิด แต่แบ่งได้ ใจจึงอิ่ม แม้ท้องยังว่าง แต่หัวใจกลับไม่เคยขาด”
หญิงชราเงียบไป น้ำตาคลอเบ้า ก่อนจะก้มศีรษะขอบคุณอย่างจริงใจ
ข้ายืนมองจากไกล ๆ ใจข้าอบอุ่นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว และในความเงียบสงัดนั้น ถ้อยคำอีกตอนหนึ่งพลันดังขึ้นในใจ “เอาชนะผู้อื่น คือผู้เข้มแข็ง แต่เอาชนะตนเอง คือผู้ยิ่งใหญ่กว่า”
ชายมั่งคั่งในตลาด อาจเอาชนะใจคนทั้งเมืองได้ด้วยทรัพย์ แต่ชายผู้ยากไร้นี้… เขาเอาชนะความหิวโหยของตนเอง เพื่อมอบรอยยิ้มให้ผู้อื่น นั่นต่างหากคือพลังที่ยิ่งใหญ่กว่า

ที่จัตุรัสกลางนครมีงานรื่นเริง ผู้มั่งคั่งคนนั้นนั่งอยู่บนแท่นสูง อาหาร เครื่องดื่ม และนักดนตรีรายล้อมเขา ผู้คนแสร้งหัวเราะร่า บ้างก็ยกถ้วยดื่มเพื่อตามใจเขา แต่ข้าเห็นชัดว่าแววตาทุกคู่แฝงความเหนื่อยล้า
ชายมั่งคั่งเอ่ยขึ้นเสียงดัง “ชีวิตที่มั่งมีเช่นนี้แหละคือความสุขแท้จริง! ข้ามีมากกว่าคนทั้งเมืองรวมกันเสียอีก”
ทันใดนั้น ชายหนุ่มผู้รับใช้สะดุดล้ม ทำให้สุราหกรดชุดไหมของเขา เสียงดนตรีหยุดลง ผู้คนตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว
ชายมั่งคั่งตวาดเสียงก้อง “เจ้าโง่! ของสิ้นเปลืองข้าเสียหายเพราะเจ้า จะให้โทษเช่นไรดี!”
เสียงครวญขอโทษดังระงมจากปากคนรับใช้ แต่ในที่สุดเขาก็ถูกเฆี่ยนตีท่ามกลางสายตาผู้คน ทั้งหมดก้มหน้าหลบ ไม่กล้าแม้แต่จะถอนหายใจ
ในหัวใจข้ากลับสะท้อนอีกถ้อยคำ “รู้จักพอใจในสิ่งที่ตนมี คือความมั่งคั่งที่แท้จริง”
ชายคนนั้นร่ำรวยเงินทอง แต่ใจไม่เคยเต็ม เขาแสวงหาความสุขจากสิ่งภายนอก ยิ่งได้มากเท่าไร ก็ยิ่งหวาดกลัวที่จะสูญเสีย และยิ่งโกรธง่ายเมื่อสิ่งเล็กน้อยไม่เป็นไปดั่งใจ
หลังจากออกจากงานรื่นเริง ข้าได้เดินกลับมายังเพิงเก่าริมลำธาร ชายยากจนยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น เขากำลังซ่อมตะกร้าไม้ไผ่เล็ก ๆ ด้วยมือเปล่า ร้องเพลงพื้นบ้านเบา ๆ ไปด้วย
ข้าแอบนั่งลงเงียบ ๆ ที่ระเบียงหินใกล้ ๆ ฟังเสียงเพลงนั้นจนจบ เขาหันมามองข้า แล้วยิ้มอย่างไม่รู้ว่าข้าเป็นใคร “ท่านนักเดินทาง ดูท่านอ่อนล้า มานั่งพักดื่มน้ำฝนสักหน่อยเถิด”
เขายื่นขันไม้ไผ่ใส่น้ำฝนมาให้ น้ำใสสะอาด แม้มิใช่สุราราคาแพง แต่กลับทำให้ใจข้าเย็นชื่นนัก
ข้ามองชายชราแล้วเกิดคำถามขึ้นในใจ เหตุใดเขายังมีรอยยิ้มทั้งที่แทบไม่เหลือสิ่งใดเลย?
เขาเหมือนฟังเสียงในใจของข้าได้ จึงพูดเบา ๆ ราวกับตอบความคิดนั้น “ข้าอาจไม่ร่ำรวย แต่ทุกวันยังมีแรงหายใจ ยังมีมือไว้ทำสิ่งเล็กน้อยให้สำเร็จได้ ก็พอแล้ว”
คำพูดนั้นเรียบง่าย แต่ดังก้องในใจข้า ราวกับเตือนให้เข้าใจว่า
“มีความเพียรพยายามไม่หยุด คือผู้มีเจตจำนงมั่นคง” เพราะชายยากจนผู้นี้ แม้ชีวิตเต็มไปด้วยความลำบาก แต่เขายังคงลุกขึ้นทุกเช้า ทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยสองมือของตนเอง ไม่เคยท้อถอยต่อโชคชะตา
“ไม่ละทิ้งหน้าที่และความรับผิดชอบ คือผู้ยืนยาวในคุณธรรม” แม้จะยากไร้ เขาก็ยังแบ่งข้าวถ้วยเล็กให้หญิงชราเมื่อวาน รักษาความเมตตาต่อผู้ที่ลำบากยิ่งกว่า ไม่ทอดทิ้งหน้าที่ของความเป็นมนุษย์ที่ควรเกื้อกูลกัน
“ผู้ที่แม้สิ้นชีพแต่ชื่อยังคงอยู่ไม่ดับสูญ คือผู้มีชีวิตอมตะในเต๋า” ข้าเชื่อมั่นว่า แม้วันหนึ่งชายชราผู้นี้จะจากโลกไป แต่ความกรุณา ความพอใจในสิ่งที่มี และรอยยิ้มอันอบอุ่นของเขาจะยังคงอยู่ในความทรงจำของผู้คน และนั่นคือความเป็นอมตะในวิถีเต๋า
ในยามเย็น แสงอาทิตย์สุดท้ายทอดลงบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยย่นของชายผู้นั้น เขาอาจเป็นเพียงชาวบ้านยากจน แต่แท้จริงแล้ว… เขาได้ใช้ชีวิตที่มั่งคั่งและยิ่งใหญ่กว่าผู้ครอบครองทองคำทั้งเมืองเสียอีก

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… แก่นแท้ของ “การจำแนกคุณธรรมทั้งหลาย” คือการหันกลับมารู้จักตนเอง รู้จักควบคุมใจของตน และพอใจในสิ่งที่มีอยู่แล้ว ผู้ที่มั่งมีจริงมิใช่ผู้ครอบครองทองคำล้นฟ้า แต่คือผู้ที่สามารถเอาชนะความไม่รู้จักพอและความกลัวภายในตนเองได้ นี่แหละคือความมั่งคั่งและพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในหลักเต๋า
ในเรื่องราวนี้ ชายผู้มั่งคั่งสะท้อนให้เห็นถึงความว่างเปล่าของการไล่ตามภายนอก ส่วนชายยากจนกลับส่องแสงด้วยความเพียร ความเมตตา และความพอใจในสิ่งเล็กน้อย จนกลายเป็นผู้ที่มีชีวิต “ยืนยาวในคุณธรรม” แม้ไร้สมบัติใด ๆ คำสอนของเล่าจื๊อจึงชี้ให้เห็นว่า ผู้ที่รู้จักใจตนเองและดำเนินชีวิตอย่างไม่ละทิ้งคุณธรรม คือผู้ที่จะคงอยู่ในความทรงจำของผู้คนอย่างอมตะ
อ่านต่อ: นิทานเต้าเต๋อจิงสรุปจากคัมภีร์เต้าเต๋อจิงเล่าในรูปแบบนิทานสนุกและเข้าใจง่ายได้ข้อคิดดี ๆ
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องจำแนกคุณธรรมทั้งหลาย (อังกฤษ: Discriminating Between Attributes) นิทานเรื่องนี้มาจากคัมภีร์เต้าเต๋อจิงบทที่ 33 ซึ่งกล่าวถึง “การจำแนกคุณธรรม” แก่นของบทนี้ชี้ให้เห็นความแตกต่างระหว่างการมองออกไปภายนอกและการหันกลับมาภายในตนเอง ผู้ที่รู้จักผู้อื่นเป็นผู้มีปัญญาแยบคาย แต่ผู้ที่รู้จักตนเองนั้นคือผู้มีปัญญาแท้จริง การเอาชนะคนอื่นแสดงถึงความเข้มแข็ง แต่การเอาชนะใจตนเองแสดงถึงความยิ่งใหญ่จริง ๆ เล่าจื๊อได้บันทึกไว้ว่า:
การแยกแยะคุณสมบัติและคุณธรรม
ผู้ที่เข้าใจผู้อื่น ย่อมมีปัญญา
ผู้ที่เข้าใจตนเอง ย่อมสว่างไสวในจิต
ผู้ที่เอาชนะผู้อื่น ย่อมมีอำนาจ
ผู้ที่เอาชนะตนเอง ย่อมเข้มแข็งและมั่นคงเหนือกาลเวลา
ผู้ที่รู้จักพอใจในสิ่งที่มี ย่อมมั่งคั่งโดยแท้
ผู้ที่ลงมือด้วยพลังและความมุ่งมั่น ย่อมมีเจตจำนงแน่วแน่
ผู้ที่ไม่หลงจากหน้าที่ของตน ย่อมดำรงอยู่ยาวนาน
ผู้ที่จากไป แต่ยังคงแก่นแท้ของตนไว้ ย่อมดำรงอยู่ดุจนิรันดร์
เล่าจื๊อได้สอนว่า ผู้คนบางคนมีทรัพย์สมบัติมากมาย แต่จิตใจยังไม่สงบ ในขณะที่ผู้ยากจนแต่พอใจในสิ่งที่ตนมี กลับมีชีวิตมั่งคั่งและมั่นคงกว่า สิ่งนี้สอนให้เข้าใจว่า ความร่ำรวยและอำนาจภายนอกมิได้วัดคุณค่าของชีวิต แต่การเข้าใจตนเอง รู้จักพอเพียง และรักษาคุณธรรมต่างหากที่ทำให้ชีวิตยืนยาวและทรงคุณค่า
นิทานเรื่องนี้จึงถูกแต่งขึ้นเพื่อสะท้อนคำสอนดังกล่าว ผ่านภาพเปรียบเทียบของชายผู้มั่งคั่งและชายยากจน แม้ภายนอกแตกต่าง แต่ความเข้าใจและความพอใจในใจต่างหากที่เป็นสมบัติสูงสุด นิทานนี้จึงชี้ให้เห็นว่า การเข้าใจตนเองและดำเนินชีวิตด้วยความเมตตาและความเพียร คือหัวใจของ “การจำแนกระหว่างคุณลักษณะ” ที่เล่าจื๊ออยากให้ผู้คนได้ตระหนัก
คติธรรม: “รู้จักตนเอง ยิ่งใหญ่กว่าการชนะใคร รู้จักพอใจ คือความมั่งคั่งแท้จริง”